บทที่ 994 ตะวันลับฟ้าแห่งจุดจบ
บทที่ 994 ตะวันลับฟ้าแห่งจุดจบ
พู่กันพิพากษามารน่ากลัวถึงเพียงใดน่ะหรือ?
เนื่องจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวที่สามารถทำลายราชาเปี้ยนเฉิงไปสู่ความว่างเปล่าได้ คงมีแต่ผู้เป็นเจ้าของเท่านั้นที่สามารถดึงพลังที่แท้จริงของสุดยอดศัสตรานี้ออกมาได้
ราชาฉู่เจียงและราชานรกสององค์สุดท้ายที่เหลืออยู่ต่างก็มีสีหน้าซีดเซียว พวกเขาทั้งรู้สึกหดหู่และหวาดกลัว เนื่องจากพวกเขาสามารถยืนยันได้จากพลังของพู่กันพิพากษามารว่าผู้ใช้ย่อมเป็นจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามอย่างไม่ต้องสงสัย!
และหากพวกเขาคาดเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นเสี้ยวจิตสำนึกของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามที่แฝงอยู่ในร่างของชายหนุ่มผู้นี้ที่มาจากภพมนุษย์
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวและสิ้นหวังได้แล้ว
แล้วใครคือจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามน่ะหรือ?
เมื่อนานมาแล้ว จักรพรรดิยมโลกได้ต่อสู้กับเหล่าทวยเทพและพุทธองค์ทั้งหลายด้วยตัวคนเดียว เขาได้สังหารทวยเทพและพุทธองค์นับไม่ถ้วนให้จมลงสู่ทะเลทุกข์ นับเป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เพียงแค่เอ่ยนาม ก็ทำให้ผู้คนทั้งสามภพต้องหวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด!
แม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยวจิตสำนึก แต่ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีพลังแก่กล้าและครองอำนาจสูงสุดมาหลายยุคหลายสมัย ก็สามารถทำลายล้างพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ราชาไท่ซานและราชาเปี้ยนเฉิงสิ้นชีพต่อหน้าต่อตา และพวกเขาถือเป็นตัวอย่างชั้นดี!
เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกกลับรู้สึกตื่นเต้นและมีชีวิตชีวายิ่ง ราวกับเขาได้เห็นยมโลกทั้งหมดกลับคืนสู่สถานะที่เป็นเอกภาพและเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกครั้ง ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม
“พู่กันพิพากษามาร ยมโลก… เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ไร้ผู้นำ?” เฉินซีก้มลง พลางกล่าวพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและเยือกเย็น ซึ่งท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความรู้สึกทางอารมณ์ที่ไม่เหมือนใคร
“น่าเสียดายที่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความตั้งใจของข้า”
“ระเบียบเป็นสิ่งที่ไร้รูปร่าง และหมุนเวียนอยู่ในจักรวาล ซึ่งเหล่าทวยเทพไม่สามารถละเมิดได้ หรือแม้แต่เซียนและพุทธองค์ก็เข้าไปยุ่งกับมันไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ สีดำและสีขาวต่างทำหน้าที่เป็นกระจกเงาสะท้อนกันและกัน ความดีความชั่วย่อมมีจุดสิ้นสุด ความใสกระจ่างหรือขุ่นมัวจะถูกแยกออกจากกัน ทุกสรรพสิ่งจะเป็นระเบียบเรียบร้อย และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะอยู่ใต้อำนาจของมัน…”
ทุกคนต่างตกตะลึง เมื่อได้ยินเสียงทอดถอนใจที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงชรา และลังเลเล็กน้อยว่าจะทำอย่างไรดี
เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่เข้าใจว่านี่คือเป้าหมายของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามที่พวกเขาติดตามมาตลอดชีวิต อีกฝ่ายต้องการที่จะถ่ายโอนลำดับในวัฏจักรการเกิดใหม่ไปยังโลกนับไม่ถ้วนในจักรวาล และต้องการให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาลได้กลับคืนสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อย!
น่าเสียดายที่มันเป็นเพราะว่าวัตถุประสงค์นี้ยิ่งใหญ่เกินไป จนเกินขอบเขตที่ทวยเทพและพุทธองค์ทั้งหลายจะทนทานได้ และนำไปสู่หายนะในท้ายที่สุด
แม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่ราชาฉู่เจียงและคนอื่น ๆ ก็ทราบว่า หากพวกเขายังคงไม่ลงมือ พวกเขาก็อาจจะต้องพินาศอยู่ที่นี่ในวันนี้
แต่เหตุผลที่พวกเขารู้สึกหมดหนทางและขัดแย้งกัน ก็เพราะสิ่งนี้เช่นกัน
ราชาไท่ซานตั้งใจจะหลบหนี แต่เขาก็ถูกสังหารโดยค่ายกลกรงเทวะหมื่นกระแสในที่สุด
ราชาเปี้ยนเฉิงคุกเข่าลงและร้องขอความเมตตา แต่เขาก็ยังหนีไม่พ้นการถูกพิพากษาและถูกพู่กันพิพากษามารสังหาร
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถหนีหรือร้องขอความเมตตาได้ มีหนทางรอดเพียงทางเดียวที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งพวกเขาจะต้องทุ่มสุดตัวและต่อสู้จนตัวตาย
แต่ว่า…
คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม! หากต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเขาก็คงไม่ต่างอะไรจากมดที่พยายามเขย่าต้นไม้ ไม่ต่างอะไรกับการต่อสู้กับความตายหรอกหรือ?
ในตอนนี้ ราชาฉู่เจียงและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับที่เฉินซีรู้สึกก่อนหน้านี้ พวกเขารู้สึกว่าคู่ต่อสู้ไม่อาจสั่นคลอนได้ และรู้สึกไร้พลัง
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ เฉินซีได้รับการปกป้องจากหม้อใบจิ๋ว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง
ในขณะที่ราชาฉู่เจียงกับคนอื่นไม่ได้มีโชคเช่นนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องลงมือ แม้ว่าพวกเขาจะทราบถึงผลลัพธ์ของเรื่องนี้ดีก็ตาม
ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวหรือพูดคุยใด ๆ มันเหมือนเป็นความเข้าใจโดยปริยาย เมื่อราชาฉู่เจียง ราชาฉินก่วง และราชาซ่งตี้ต่างเปิดฉากโจมตีอย่างดุเดือด
ตู้ม!
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำทั้งสามคนต่างก็ลงมือพร้อมกัน และโจมตีอย่างสิ้นหวังด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขา บริเวณรอบหน้าผาจึงได้ถูกปกคลุมด้วยพลังแห่งกฎที่หนาแน่นและเดือดพล่านของเซียนทองคำในชั่วพริบตา มันพลุ่งพล่านราวกับมหาสมุทรกว้างใหญ่และหุบเหวไร้ก้น ในขณะที่เปล่งแสงเจิดจ้าไร้ขอบเขตที่สามารถสั่นคลอนฟ้าดินได้!
ร่างของเฉินซียังคงนิ่งงันดุจก้อนหินเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ และดูเหมือนว่าเขาอยู่อีกฟากหนึ่ง ไม่ว่าการโจมตีเหล่านั้นจะน่ากลัวเพียงใด พวกมันก็ไม่สามารถแตะต้องชายหนุ่มได้แม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับการโจมตีเข้ามา!
ราวกับว่าเขาละทิ้งตัวตนทางกายภาพไปแล้ว!
แต่ราชาฉู่เจียงและคนอื่น ๆ ดูจะคาดหวังถึงสิ่งนี้มาตั้งแต่ต้น พวกเขาต่างกัดฟันแน่น ในขณะที่โจมตีอย่างรุนแรง พวกเขาแข็งแกร่งเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาบนท้องฟ้า ซึ่งหมายจะฉีกค่ายกลกรงเทวะหมื่นกระแสเพื่อเปิดเส้นทางสู่การเอาชีวิตรอด
ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะมีโอกาสรอดชีวิต
“ฉีซานเหอ?”
เฉินซีดูจะไม่แยแสต่อเหตุการณ์นี้นัก เขาหันหลังกลับมา ก่อนดวงตาที่ลึกล้ำและเก่าแก่จะจดจ้องไปยังมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกที่อยู่ใกล้เคียง
“เป็นผู้น้อยเองขอรับ” มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกประสานมือคำนับ ในขณะที่ใบหน้าที่เย็นชาและผอมซูบเผยท่าทางประหลาดใจอันน่ายินดี จากนั้นมันก็ถูกแทนที่ด้วยความจริงใจและกระตือรือร้น
เมื่อหลายปีก่อน ฉีซานเหอยังคงเป็นศิษย์ของโถงน้ำพุยมโลก ในเวลานั้น เขาเป็นชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ ถือเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ในหมู่คนรุ่นเยาว์ ด้วยเหตุนี้ เจ้าตัวจึงมีวาสนาได้พบกับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม
แน่นอนว่าในยามนั้น เขาเพิ่งเคยได้พบกับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามเป็นครั้งแรก ทว่าไม่ต้องกล่าวถึงตัวเขาเอง แม้แต่อาจารย์ของเขาก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาในสายตาของจักรพรรดิยมโลก ดังนั้นจักรพรรดิยมโลกย่อมไม่ให้ความสนใจกับฉีซานเหอมากนัก
แต่ฉีซานเหอไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามจะยังจำชื่อของคนที่ต่ำต้อยอย่างเขาได้!
แล้วเขาจะไม่ประหลาดใจกับสิ่งนี้ได้อย่างไร?
หากผู้คนจากโลกภายนอกล่วงรู้ความคิดของฉีซานเหอ มันจะทำให้ขากรรไกรของพวกเขาค้างอย่างแน่นอน เพราะหากมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกเป็นผู้ต่ำต้อย แล้วพวกเขาเล่าคือตัวอะไรกัน?
แน่นอน เมื่อเปรียบเทียบกับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม เป็นเรื่องที่ผู้อื่นจะยอมรับได้ง่ายมาก
เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลก จ้าวตำหนักของโถงยายเฒ่าเมิ่ง เจ้าเมืองของเมืองผู้หลงผิด มหาเสนาบดีของหกวิถีสังสารวัฏ หรือราชานรกทั้งสิบ พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นรุ่นน้องของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม ดังนั้นมันจึงสมเหตุสมผลสำหรับพวกเขาที่จะเรียกตัวเองว่าผู้ต้อยต่ำ
“ข้าจะฝากสมบัติเหล่านี้ไว้ในความดูแลของเจ้าเป็นการชั่วคราว” เฉินซีกล่าว ในขณะที่เขาส่งพู่กันพิพากษามารและระเบียนแดนมรณะให้แก่มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลก
มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกรู้สึกว่าจิตใจของเขาล่องลอย และเกือบจะมึนงง ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
…เมื่อรูปลักษณ์ดังกล่าวปรากฏต่อหน้าผู้อาวุโสอย่างเขาที่อยู่มายาวนาน มันก็แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าเขาตกใจมากเพียงใด!
“เด็กคนนี้จะมุ่งหน้าไปยังภพเซียนในที่สุด และสถานที่นั้นไม่อาจทนต่อการมีอยู่ของสมบัติทั้งสองนี้ได้” เฉินซีถอนหายใจและเผยให้เห็นความสิ้นหวัง
แม้ว่าคำพูดเหล่านี้จะถูกกล่าวออกมาจากปากของเฉินซี แต่มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกก็รู้ว่าคนที่ตรงอยู่หน้าคือจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม ดังนั้น ‘เด็ก’ ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงย่อมคือเฉินซีอย่างแน่นอน
“พระองค์…ขอให้เขาอยู่ในยมโลกได้นะพ่ะย่ะค่ะ” มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ข้าน่ะรึ?” ความรู้สึกซับซ้อนผุดขึ้นที่มุมปากของเฉินซี “ไม่มีผู้ใดขัดขวางเส้นทางของเขาได้ และแม้ว่าข้าจะบังคับให้เขาอยู่ที่นี่ แต่เขาเทพพยากรณ์จะไม่ยอมเป็นอันขาด”
มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกตกตะลึง
“เขาเทพพยากรณ์! นั่นเป็นหนึ่งในนิกายที่ลึกลับที่สุดในภพทั้งสามไม่ใช่หรือ?”
เขาทราบอย่างชัดเจนว่าจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามเคยถกกับปรมาจารย์ฝูซีแห่งเขาเทพพยากรณ์เกี่ยวกับเต๋าเป็นเวลาสิบวัน แม้ผลลัพธ์จะไม่ได้ประกาศต่อธารกำนัล แต่มันก็กลายเป็นตำนานที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งสามภพ
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า ชายหนุ่มคนนี้ที่มาจากภพมนุษย์จะเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์จริง ๆ เขาจึงอึ้งจนพูดไม่ออกและไม่รู้จะกล่าวอะไรดีอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“โปรดอย่าได้กังวล ผู้น้อยจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยเฉินซีดูแลสมบัติทั้งสองชิ้นนี้เป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ” เขาหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนที่มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกจะกล่าวอย่างเคร่งขรึม
จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เขาจะฝากสมบัติไว้ในการดูแลของมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกเป็นการชั่วคราว ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำเหล่านี้ได้
เมื่อลองเปรียบเทียบแล้ว เฉินซีเป็นทายาทที่แท้จริงของจักรพรรดิยมโลก ในขณะที่ไม่ว่าเขาจะคิดว่าตัวเองสูงส่งสักแค่ไหน มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกก็ทราบอย่างชัดเจนว่า ตนไม่สามารถแทนที่เฉินซีได้!
เฉินซีพยักหน้าและไม่กล่าวอันใดอีก ก่อนจะเงยหน้ามองไปทางด้านข้าง
ที่นั่น ราชาฉู่เจียงและคนอื่น ๆ เหมือนคนคลุ้มคลั่ง ในขณะที่พวกเขาพยายามระเบิดค่ายกลกรงเทวะหมื่นกระแสด้วยพลังทั้งหมดที่มี น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้… พวกเขายังไม่สามารถสร้างรอยร้าวเล็กน้อยบนมันได้ด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ สายตาของมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความสมเพช เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาหยิ่งผยองและยโสโอหัง แต่ตอนนี้พวกเขากลับตื่นตระหนกเหมือนสุนัขจรจัด มันช่างน่าสมเพช น่าสมเพชเสียจริง!
โอม!
ในขณะนี้ เฉินซีเอื้อมมือออกไปและทำท่าทางดึงเบา ๆ ที่กลางอากาศ ซึ่งการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มราบรื่นเหมือนสายน้ำและเหมือนอยู่ในโลกอื่น
แต่ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ แสงแดดจ้าของดวงอาทิตย์ก็ค่อย ๆ เลือนหาย มันเหมือนกับม่านแห่งกาลเวลาได้ถูกรูดเปิด เหมือนกับจุดจบของจักรวาล อีกทั้งยังเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายแห่งความเศร้าโศก ความหมดหนทาง และความสิ้นหวังอย่างไร้ขอบเขต
เต๋ารู้แจ้งจุดจบ… ตะวันลับฟ้าแห่งทวยเทพ!
เมื่อตะวันลับฟ้า สรรพสิ่งก็เป็นอันสิ้นสุด
หลังตะวันลับฟ้าคือความเงียบและความมืดมิดชั่วนิรันดร์ ซึ่งรุ่งอรุณในยามเช้าจะนำพาไปสู่ยุคใหม่
ดวงตาของมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกเบิกกว้าง ในขณะที่เขาแสดงอาการตกใจสุดขีด เขาดูจะไม่เคยคาดคิดว่าในชีวิตของตนจะมีวาสนาพอจะได้เห็นความลึกล้ำในตำนานที่เป็นสิ่งต้องห้าม!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เป็นเพราะเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบ จึงก่อร่างเป็นกฎสังสารวัฏ ซึ่งกระตุ้นจิตสังหารของทวยเทพและพุทธ์องค์ทั้งหลาย ดังนั้นพวกเขาจะไม่มีวันหยุดจนกว่าจะบดขยี้จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบได้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในทั้งสามภพ และไม่มีใครเคยพบเห็นมันอีก!
ในอีกด้านหนึ่ง ร่างของราชาฉู่เจียง ราชาฉินก่วง และราชาซ่งตี้ต่างแข็งทื่อเช่นกัน พวกเขาพากันหยุดโจมตี และตกตะลึงราวกับหุ่นรูปปั้นดินเหนียว
ตะวันลับฟ้า!
จุดจบ!
หลังจากผ่านกาลเวลามานานนับไม่ถ้วน มันก็ปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้ง!
แต่ในช่วงเวลาต่อมา พวกเขาก็ต้องตกใจ เพราะการโจมตีที่แฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบกำลังเข้ามาใกล้พวกเขา…
“ไม่!!!” เสียงโหยหวนที่บ้าคลั่งและไม่เต็มใจดังก้อง ราชาฉู่เจียงและคนอื่น ๆ ต่างเหมือนกับคนเสียสติ ขณะที่พวกเขาถูกเผาด้วยเปลวไฟแห่งกฎ และทุ่มพลังทั้งหมดที่มีออกไป แต่ทั้งหมดนี้กลับไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าตะวันลับฟ้า!
ในชั่วพริบตาต่อมา ร่างกายของพวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงตะวันลับฟ้า จากนั้นร่างของเซียนทองคำทั้งสามนี้ก็หายไปสู่ความว่างเปล่าอย่างเงียบงัน
เหมือนกลางวันค่อย ๆ ถูกกลางคืนกลืนกิน พวกเขาขัดขืนไม่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีแม้แต่ฉากนองเลือด แต่ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มันน่ากลัวและน่าสยดสยองมากขึ้น
มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกยังคงไม่ฟื้นตัวจากอาการตกใจได้ แม้ว่าม่านแห่งการต่อสู้จะถูกรูดปิดแล้วก็ตาม
ดังนั้นเขาจึงไม่ทันสังเกตว่า เฉินซีที่ยืนอยู่เคียงข้างได้สูญเสียกลิ่นอายอันน่าเกรงขามของการปกครองและดูแคลนทุกสิ่งในโลกไปแล้ว ยามนี้ ชายหนุ่มได้ฟื้นคืนสู่สภาพปกติและมีท่าทีที่ไม่ธรรมดาเช่นเมื่อก่อน
จิตใจของเฉินซีในเวลานี้ตกอยู่ในสภาวะรู้แจ้งที่แปลกประหลาด เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในห้วงจิตสำนึก มันโปร่งแสงเหมือนสีเหลืองอำพัน ทั้งยังเผยให้เห็นสีของตะวันอัสดง
เฉินซีรู้ว่านี่คือเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบ และเป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย ที่จิตสำนึกของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้ทิ้งไว้ ก่อนเขาจะหายไป
ส่วนจะรู้แจ้งหรือไม่นั้น ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับตัวเขา!