บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 995 กลับสู่แดนภวังค์ทมิฬ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 995 กลับสู่แดนภวังค์ทมิฬ

บทที่ 995 กลับสู่แดนภวังค์ทมิฬ

หลังจากครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน เฉินซีก็ยับยั้งตัวเองได้ในที่สุด

เต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบเป็นสิ่งต้องห้ามอันยิ่งใหญ่ที่ทั้งสามภพต่างล่วงรู้กันทั่ว มันมีพลังที่ไม่อาจหยั่งถึง และเป็นแก่นแท้แห่งความลึกล้ำที่ให้กำเนิดกฎแห่งการจุติ ทำให้ทวยเทพและพุทธองค์ทั้งหลายในโลกต่างหวาดกลัวมันอย่างยิ่ง

เมื่อเขารู้แจ้งในเต๋านี้ ผลที่ตามมาย่อมยากจะจินตนาการได้

เนื่องจากเฉินซีทราบว่า พลังของเขาในปัจจุบันยังไม่ถึงระดับที่ชายหนุ่มจะสามารถต่อสู้กับผู้ยิ่งใหญ่ในสามภพทั้งหมดได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจในตอนนี้ มีแต่จะทำให้ตายเร็วขึ้นเท่านั้น

“ช่างมันเถิด เคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ข้ามีอยู่ตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ดังนั้นถ้าข้ายังคงทำความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบอีกละก็ ข้าคงประเมินความสามารถตัวเองสูงเกินไป…”

เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และตื่นจากการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง

ลมภูเขาพัดหวีดหวิว ในขณะที่ทะเลเมฆเคลื่อนคล้อย …หลังจากการสิ้นชีพของราชาฉู่เจียงและราชานรกอีกสี่ตน ม่านของเหตุการณ์บนยอดเขาหมื่นกระแสก็ดูเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้ว

แต่เฉินซีทราบดีว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นเพียงชนวนที่จะทำให้ยมโลกปั่นป่วนเร็วขึ้น และจะชักนำไปสู่สงครามอันยิ่งใหญ่!

เนื่องจากราชานรกทั้งห้าที่เป็นตัวแทนกองกำลังของภพเซียนได้ล้มตายไปหมดสิ้น ดังนั้นดินแดนและกองกำลังที่อยู่ภายใต้คำสั่งของพวกเขา ย่อมถูกภพพุทธองค์เข้ายึดครอง ทำให้ความขัดแย้งครั้งใหญ่ปะทุขึ้น

นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างสองภพ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

เขาคาดการณ์ได้ว่า ทั่วทั้งยมโลกจะถูกปกคลุมด้วยเลือดและเปลวไฟแห่งการต่อสู้ในอนาคตอันใกล้นี้

ในทางกลับกัน เมื่อเผชิญกับการต่อสู้ระหว่างภพทั้งสอง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่ในยมโลกจะถูกพัดพาไปในวังวนนี้อย่างไม่แยแส และไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากพวกมันได้

เฉินซีได้แต่ถอนหายใจต่อเรื่องนี้ เพราะเขาไม่มีพลังที่จะทำอะไรกับมันได้

บางทีเขาควรจะเชื่อคำพูดที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า มีเพียงสงครามเท่านั้นที่จะสร้างระเบียบใหม่ให้แก่ยมโลกได้

ในระหว่างขั้นตอนนี้ ไม่มีที่ว่างสำหรับความสงสาร ความเมตตา และความอดกลั้น!

“ผู้อาวุโสจากไปแล้วหรือ?”

ในที่สุด มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกที่อยู่ใกล้เคียงก็หายจากอาการตกใจ ใบหน้าที่ผอมและเย็นชาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกสูญเสียและความผิดหวังที่ไม่สามารถปกปิดได้

เฉินซีพยักหน้าและมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า นับจากบัดนี้เป็นต้นไป จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามจะไม่ปรากฏตัวอีกต่อไป…

หลังได้รับการยืนยันจากเฉินซี มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกก็ถอนหายใจอีกครั้ง และความรู้สึกสูญเสียของเขาก็ยิ่งชัดเจน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจ้าตัวหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินซี ก่อนที่จะกล่าวว่า “ยมโลกกำลังจะตกสู่ความโกลาหล ข้าจะต้องไปเดี๋ยวนี้ น้องชาย ข้าจะรอให้เจ้ากลับมาที่ยมโลก เพื่อรับระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารกลับไป”

ทันทีที่กล่าวจบ มหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลกก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่ลังเล

“ผู้อาวุโสอย่าได้กังวล ข้าจะกลับมาอีกครั้งแน่นอนขอรับ โปรดรักษาตัวด้วย!” เฉินซีป้องมือคารวะและกล่าวจากระยะไกลด้วยท่าทางเคร่งขรึม

คลื่นซัดสาดขึ้นลง เมฆเคลื่อนออกไปและสงบลง ยอดเขาหมื่นกระแสตกสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมเย็นยะเยือกที่พัดหวีดหวิวผ่านท้องฟ้า

“เฉินซี” น้ำเสียงเย็นชาทว่าอ่อนโยนดังก้องอยู่ข้างหูของเขา ทำให้ร่างกายของเฉินซีแข็งทื่อ ในขณะที่ความคิดในใจทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก็พุ่งเข้ามาในหัวใจของชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ

เฉินซีหันกลับมาช้า ๆ และเขาก็ต้องตกตะลึง เมื่อร่างสง่างามที่คุ้นเคยนั้นได้ปรากฏขึ้นในสายตา!

ที่กลุ่มพุ่มไม้ดอกด้านข้างที่ห้อยลงมาจากหน้าผา เงาร่างงามสง่ายืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง นางสวมเสื้อผ้าสีขาวราวหิมะ มีผมสลวยยาวถึงเอวเหมือนน้ำตก มีรูปลักษณ์ที่งดงาม

ริมฝีปากสีแดงระเรื่อของหญิงสาวเหมือนดั่งกลีบดอกไม้ ในขณะที่ดวงตาของนางดูจะมากไปด้วยดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้า นอกจากนี้ รูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายยังคงงดงามและเผยให้เห็นความคลุมเครือเล็กน้อย …ราวกับเป็นตัวตนที่มาจากคนละโลกกันอย่างสิ้งเชิง ทั้งสง่างามและงดงามเสียจนยากหาใครเสมอเหมือน

ร่างนั้นคือชิงซิ่วอี้นั่นเอง!

ดวงตาของหญิงสาวในเวลานี้เต็มไปด้วยประกายแวววาว นางสบสายตากับเฉินซีโดยตรง ริมฝีปากที่สดใสและเรียบเนียนของชิงซิ่วอี้โค้งขึ้นเล็กน้อย ปรากฏเป็นรอยยิ้มพร่างพราวที่ทำให้ทุกสิ่งในสวรรค์และโลกต้องมัวหมอง

ลมบนภูเขาพัดโชยอย่างแผ่วเบา ทำให้กลีบดอกไม้ร่วงหล่นมากมาย และหมุนวนอย่างมีชีวิตชีวาอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะลอยละลิ่วไปบนท้องฟ้า

ทั้งสองต่างมองหน้ากันเงียบ ๆ และจ้องตากันเป็นเวลานาน

ในหัวใจของพวกเขาต่างกระเพื่อมขึ้นลงด้วยอารมณ์ความรู้สึก ในขณะที่จิตใจต่างหวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในวันวาน

คำพูดนับพันที่พวกเขาต้องการกล่าว กลับกลายเป็นความเงียบงัน ซึ่งดูเหมือนพวกเขาไม่ต้องการที่จะทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบและสุขสันต์นี้

ในขณะนี้ เวลาดูจะเลือนหายไป…

“หญิงสาวคนนั้นอยู่ที่ใดกัน?” ในที่สุด ชิงซิ่วอี้กลับเป็นฝ่ายทำลายความเงียบสงบ แต่ประโยคแรกที่นางกล่าวกลับทำให้เฉินซีไม่ทันตั้งตัว และจิตใจของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่มันจะติดขัด

“คนไหน…หญิงสาวคนไหนหรือ?” ทันทีที่กล่าวเรื่องนี้ เฉินซีค้นพบว่า แม้แต่ลิ้นของเขาก็ตะกุกตะกักเช่นกัน และมันทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก

“เกิดอะไรขึ้นกับข้า?”

ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำผิดอะไร แต่เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้

ดวงตาที่ใสกระจ่างของชิงซิ่วอี้หรี่ลงเล็กน้อย เหมือนพระจันทร์เสี้ยวคู่หนึ่งที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่นางกล่าวว่า “ข้าลืมไป ดูเหมือนตัวเจ้าจะไม่เคยขาดผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเลย”

คำพูดเหล่านี้ ทำให้เฉินซีรู้สึกติดขัดจนหายใจไม่ออกและละอายเล็กน้อย มันอึดอัดยิ่งกว่าเผชิญกับแรงกดดันจากเซียนทองคำด้วยซ้ำ

เขาจึงอ้าปากจะอธิบาย แต่ท้ายที่สุดก็ต้องหุบลง

เพราะสิ่งที่ชิงซิ่วอี้กล่าวก็ไม่ได้แตกต่างจากความจริงมากนัก เช่น ตู้ชิงซี เจิ้นหลิวชิง ฟ่านอวิ๋นหลาน มู่เหยา ย่าชิง อวิ๋นน่าและเหยียนเยียน หรือเป้ยหลิงที่ยังคงอยู่ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ในตอนนี้…

นอกจากนี้ เขาไม่มีความกล้าที่จะปฏิเสธเรื่องทั้งหมดนี้ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอยู่ของนาง

ชายหนุ่มจึงได้แต่นิ่งเงียบเหมือนนกกระจอกเทศที่เอาหัวมุดทราย

แม้เขาจะรู้ตัวดีว่า นอกจากฟ่านอวิ๋นหลานกับชิงซิ่วอี้แล้ว ตนหาได้มีความสัมพันธ์ทางกายกับหญิงสาวเหล่านั้นไม่ แต่เขาก็ไม่ได้โต้แย้งใด ๆ

เพราะความจริงจะเป็นที่ประจักษ์ ก็ต่อเมื่อมีคนโต้แย้งกันมากขึ้น แต่เรื่องระหว่างชายหญิง หากโต้แย้งไปมา… มันก็รังแต่จะเลวร้ายลงแทน!

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชิงซิ่วอี้เพียงหัวเราะอย่างไร้คำพูด ในขณะนั้น ใบหน้าที่สดใสของนางก็เหมือนกับดอกไม้ที่ผลิบานหลังฝนตก และมันช่างน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะรอยยิ้มของหญิงสาวเป็นดั่งแสงตะวันที่ส่องประกายเจิดจ้า

นางไม่สนใจเรื่องราวเหล่านี้ เพราะนางคือชิงซิ่วอี้

และนางก็เชื่อมั่นใจเช่นกันว่า ผู้ชายที่นางเลือกแล้วจะไม่ทำให้นางผิดหวังอย่างแน่นอน

ดังนั้นนางจะไม่ทำตัวเหมือนภรรยาขี้อิจฉาริษยา ภรรยาที่ดุร้าย หรือภรรยาที่ชอบนินทาว่ากล่าว ที่คอยจับผิดและระแวดระวังสงสัยกับผู้ชายของตน ราวกับว่าเขาเป็นหัวขโมย เพราะถ้านางทำเช่นนั้น นางก็จะไม่ใช่ชิงซิ่วอี้

เฉินซีตกตะลึงเมื่อเห็น ชิงซิ่วอี้หัวเราะ จากนั้นเขาก็เริ่มหัวเราะเช่นกัน ทว่าในใจของเขากลับเย้ยหยันตนเอง

‘ข้ายังคงไร้ประสบการณ์อยู่ดี’

ชิงซิ่วอี้เป็นคนที่ไม่เคยเต็มใจจะเผยความรู้สึกในใจของตัวเอง นางมักสงบและไม่แยแส อีกทั้งเปล่งกลิ่นอายอันสูงส่งออกมา ทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีใครในโลกนี้หรือเรื่องใดในโลก สามารถแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของนางได้

แต่เฉินซีรู้ตัวดีว่า อย่างน้อยที่สุด ตัวเขากับเฉินอันผู้เป็นบุตรชายต่างก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในหัวใจนาง

การที่รู้เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้ถามหญิงสาวอีกว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานางสบายดีหรือไม่ หรือพบเจอกับอันตรายและความพ่ายแพ้แบบใดมาบ้าง

ชิงซิ่วอี้ก็ไม่เคยถามเขาเช่นกันว่า เหน็ดเหนื่อยจากการฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อช่วยเหลือนางหรือไม่ หรือเขาคิดจะยอมแพ้บ้างหรือไม่

เมื่อพวกเขาต่างเห็นอีกฝ่ายปลอดภัยในเวลานี้ ปัญหาก่อนหน้านี้พลันกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ไปกันเถอะ” ชิงซิ่วอี้กล่าวขณะที่นางเดินมายืนอยู่เคียงข้างเฉินซี เรือนผมเงางามประหนึ่งน้ำตกของนางพลิ้วไหวตามแรงลม และส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้หัวใจสดชื่น

“เราจะไปที่ใดกัน?” เฉินซีตกใจเล็กน้อยกับการกระทำของชิงซิ่วอี้ แม้ว่าพวกเขาจะยืนเคียงข้างกันเท่านั้น แต่เมื่อนางทำเช่นนี้ มันจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“กลับแดนภวังค์ทมิฬ เพื่อไปพบกับบุตรชายของเรา” ชิงซิ่วอี้กล่าว ในขณะที่ใบหน้างามและคลุมเครือเล็กน้อยของหญิงสาว เต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่หายไปในพริบตา

“อื้อ” เฉินซีตอบตกลง จากนั้นเขาก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ารอสักครู่นะ”

ขณะที่กล่าวเช่นนั้น เขาก็โบกมือไปมา ทำให้เกิดแสงศักดิ์สิทธิ์แผ่ขยายออกไปในอากาศ ก่อนจะมีร่างงามปรากฏขึ้น รูปร่างหน้าตาของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ริมฝีปากสีเแดงของสตรีผู้นี้ซีดเผือด และท่วงท่าของนางก็สง่างาม …คือเป้ยหลิงนั่นเอง

เป้ยหลิงตกตะลึง และดูเหมือนว่าเพิ่งตื่นจากการบ่มเพาะของนาง ทำให้แววความสับสนฉายชัดในดวงตา ก่อนที่ดวงตาของหญิงสาวจะส่องประกายเมื่อเห็นเฉินซี โดยเผยให้เห็นถึงร่องรอยความสุข แต่เมื่อนางเห็นชิงซิ่วอี้ นางก็สงบสติอารมณ์ได้ทันที

ในขณะนี้ ชิงซิ่วอี้ก็ดูสงบมากเช่นกัน นางเพียงจ้องมองเป้ยหลิงเงียบ ๆ โดยไม่ได้กล่าวอะไรสักคำ

แม้ว่าการจ้องมองของชิงซิ่วอี้จะไม่ได้มีกลิ่นอายดุร้าย แต่มันก็ยังทำให้เป้ยหลิงอึดอัดใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้น หญิงสาวก็สงบจิตใจได้ และลืมตาขึ้นมองชิงซิ่วอี้ ในขณะที่ปฏิเสธจะแสดงความอ่อนแอ

เฉินซีไม่สบายใจอย่างมากเมื่อเห็นฉากนี้ เขาจึงรีบขัดจังหวะและแนะนำตัว “นี่คือคู่บำเพ็ญของข้า ชิงซิ่วอี้ ส่วนนี่คือเป้ยหลิง”

ชิงซิ่วอี้พยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้แล้ว

เป้ยหลิงก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ทันใดนั้น นางก็เริ่มยิ้มและมองไปทางเฉินซี พร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าจะไปแล้วหรือ?”

เฉินซีพยักหน้า ในขณะที่ความรู้สึกซับซ้อนซึ่งอธิบายยากได้ผุดขึ้นมาในใจของเขา

“ประเสริฐ ดูแลตัวเองด้วย” เป้ยหลิงดูราวกับว่านางไม่รู้สึกอะไร แต่สิ่งที่ผิดปกติก็คือ ใบหน้าเย็นชาและสวยงามไร้ที่เปรียบกลับมีรอยยิ้มดูผิดปกติอย่างมาก เมื่อเทียบกับนิสัยปกติของนาง

มันทั้งเปล่งประกาย มีเสน่ห์ และเจิดจรัสมาก

ขณะที่นางกล่าว หญิงสาวก็โบกมือเบา ๆ ก่อนจะหันหลังกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว นางจากไปอย่างสงบและไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

เฉินซีรู้สึกปั่นป่วนเล็กน้อยในใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี

เมื่อร่างอันโดดเดี่ยวของเป้ยหลิงกำลังจะเลือนหายไป ชิงซิ่วอี้ที่อยู่ใกล้เคียงก็กล่าวขึ้นอย่างกะทันหันว่า “เมื่อเจ้ามาถึงภพเซียน เราจะอยู่ด้วยกันได้”

มันคือภพเซียนไม่ใช่ภพมนุษย์ เพราะชิงซิ่วอี้เข้าใจแล้วว่า เมื่อพวกเขาแยกจากกันในตอนนี้ หากพวกเขาต้องการพบกันอีกในอนาคต ก็จะต้องอยู่ที่ภพเซียนเท่านั้น

“ตกลง ข้าขอตัวก่อน” เป้ยหลิงหันกลับมา ในขณะที่ใบหน้าอันเย็นชาและงดงามไร้ที่เปรียบของหญิงสาวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตาม นางก็หายตัวไปทันทีหลังจากนั้น

“ขอบคุณมาก” เฉินซีถอนสายตากลับมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

ชิงซิ่วอี้ส่ายหน้า และไม่ได้กล่าวอะไรต่อไป

หลังจากนั้น จู่ ๆ เฉินซีก็สวมกอดนางทันที แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาข้างใบหูที่เหมือนหยกของอีกฝ่าย “ข้ากังวลจริง ๆ ว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นเพียงความฝัน”

การสวมกอดอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ร่างกายของชิงซิ่วอี้แข็งทื่อ ในขณะที่ดวงตาใสกระจ่างของนางเบิกกว้าง และใบหน้าสีขาวหยกของหญิงสาวก็ฉายแววตื่นตระหนก ดูเหมือนนางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เฉินซีจะแสดงออกอย่างกล้าหาญเช่นนี้

แต่หลังจากนั้น นางก็สงบสติอารมณ์ได้ และความรู้สึกอบอุ่นก็เกิดขึ้นในหัวใจ เมื่อนางสัมผัสถึงความอบอุ่นที่มาจากผิวกายของเขา

ฟิ้ว!

บนเข็มทิศวิญญาณหวนกลับสีดำสนิทที่ปกคลุมไปด้วยประกายของโลหะ วงแหวนทองแดงขนาดใหญ่และเล็กต่างหมุนวนไปมาราวฟันเฟือง พวกมันส่งเสียงกึกกัก ก่อนจะชี้ไปยังโลกใบใหญ่ ซึ่งคือแดนภวังค์ทมิฬ จากนั้นมันก็ระเบิดแสงเจิดจ้าออกมา

หลังจากนั้น ทางเดินที่ลึกและเงียบสนิทก็เปิดออกในท้องฟ้า

เมื่อร่างของเฉินซีและชิงซิ่วอี้หายไปในทางเดินที่ลึกและเงียบสนิท ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

มีเพียงภูเขาหมื่นกระแสเท่านั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่บนชายฝั่งของทะเลทุกข์อันไร้ขอบเขต มันเฝ้าดูกาลเวลาที่ผ่านไปและการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์อย่างเงียบงัน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท