บทที่ 999 เอาชีวิตรอด
บทที่ 999 เอาชีวิตรอด
แคว้นสือ เมืองทะเลสาบม่วง โถงรัศมีวิญญาณ
ราตรีคล้อยต่ำ หนทางในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนราวน้ำหลาก แสงสว่างตัดกันไปมา ราวกับมังกรไฟคดเคี้ยว ดูคึกคักยิ่งนัก
ทว่าบรรยากาศในโถงรัศมีวิญญาณกลับหมองหม่นเงียบสงัด ฟู่อวิ๋นและผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ล้วนมีใบหน้ามืดมน ภายใต้แสงสว่างของตะเกียงเคลือบหลากสีสัน ทำให้ใบหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปมายากอธิบาย
ด้านข้างพวกเขา เหล่าศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรองเต็มไปด้วยโทสะ ดวงตาลุกโชนด้วยเปลวเพลิง
ขณะที่เฉินอวี่กับเฉินอันได้รับการคุ้มกันอยู่ด้านหลังโดยผู้อาวุโสฟู่อวิ๋น
เบื้องหน้าประตูของโถงใหญ่ตรงข้ามกับฝูงชน ตอนนี้มีกลุ่มคนยืนอยู่ นำโดยหญิงเฒ่าและชายชรา
ใบหน้าของชายชราขาวซีดไม่มีหนวดเครา สวมชุดคลุมสีเขียว เส้นผมสีน้ำตาลถูกถักเป็นเปียขนาดเล็ก ตาตี่จมูกโด่ง รูปลักษณ์ดูแปลกตานัก ขณะที่มีนกแก้วปากทองขนดำเกาะอยู่บนไหล่ซ้ายของเขา
ส่วนฝั่งหญิงเฒ่าสวมชุดคลุมขอบเงินพื้นหลังทองที่มีลวดลายจันทรา เส้นผมเป็นสีเงินราวหิมะ ประดับดอกไม้สีทองแถวหนึ่งกับปิ่นปักผมหยกสีม่วงที่ปักไว้ในแนวเฉียง รอบตัวนางเต็มไปด้วยอัญมณี ดูสง่างามหรูหรานัก
ไม่ว่าจะชายชราในชุดคลุมสีเขียว หรือหญิงเฒ่าเส้นผมสีเงิน ต่างมีกลิ่นอายเซียนทั่วทั้งร่าง ทำให้ดูยิ่งใหญ่ผ่าเผย ทว่าก็ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งในขณะเดียวกัน
ฝูงชนที่อยู่ด้านหลังพวกเขา มีทั้งชายและหญิง จำนวนมากกว่าสิบคน พวกเขาทุกคนอาบไล้ไปด้วยแสงจ้า ทั่วกายเปี่ยมด้วยพละกำลัง แต่ละคนยืนกอดอก สายตาเชิดมองบน สีหน้าเต็มไปด้วยความเฉยชาและภาคภูมิใจ
กลุ่มของพวกเขาขวางทางอยู่ทางด้านหน้าโถงรัศมีวิญญาณ วางตำแหน่งคนไม่ต่างจากกำแพงที่ทอดยาวออกไป ปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของฟู่อวิ๋นและศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างสมบูรณ์!
เห็นได้ชัดว่า ผู้มาเยือนไม่ได้มาดี!
บรรยากาศในโถงรัศมีวิญญาณดูตึงเครียด อึดอัดอย่างถึงที่สุด
ตรงพื้นที่ว่างระหว่างพวกเขา มีนาฬิกาทรายเคลือบแก้วคว่ำอยู่ ก้อนกรวดหลากสีสันราวกับภาพฝันกำลังไหลริน ช่วยเพิ่มสีสันอันแปลกพิกลให้กับบรรยากาศที่เงียบสงัด
ตอนนี้ สายตาของผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นจับจ้องนาฬิกาทรายบนพื้น และเมื่อเวลาผ่านไป หัวใจของเขายิ่งหนักอึ้ง ราวกับใกล้ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
จู่ ๆ อีกฝ่ายบุกเข้ามาในโถงรัศมีวิญญาณ ช่วงเวลาประมาณยามห้าย*[1] ท่าทางไม่เป็นมิตร ก่อนปิดกั้นที่นี่อย่างแน่นหนา ดูทรงพลังหยิ่งยโส ถึงขั้นเต็มไปด้วยท่าทีข่มขู่ เพื่อขอให้พวกเขายอมจำนน
ทำอย่างไรดี?
ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นสับสน ความคิดยุ่งเหยิง เขาคิดเกี่ยวกับหนทางทั้งหลายที่จะพาออกจากปัญหาอย่างลนลาน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่เจอทางออกใด
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป!
ตั้งแต่อีกฝ่ายเข้ามาในโถงรัศมีวิญญาณ ฟู่อวิ๋นมองเพียงปราดเดียวก็เข้าใจได้ว่า ชายชราชุดคลุมสีเขียวกับหญิงเฒ่าผมเงินทรงพลังยิ่ง ร่างของทั้งสองอาบไล้ด้วยกฎข้อจำกัด และสิ่งนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า คนทั้งคู่อาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าเซียนสวรรค์ทั่วไป!
ยิ่งกว่านั้น ชายหญิงทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังพวกเขาก็ทรงพลังยิ่งเช่นกัน หากสุ่มเลือกมาสักคน ย่อมสามารถจัดการฟู่อวิ๋นได้ภายในเสี้ยวอึดใจ
เมื่อเผชิญกับกองกำลังน่าสะพรึงเช่นนี้ ฟู่อวิ๋นจะกล้าวัดดวงได้อย่างไร?
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาสับสนก็คือ คนพวกนี้มาจากไหนกัน?
ตอนนี้แดนภวังค์ทมิฬตกอยู่ในความโกลาหล สิบนิกายเซียนและหกนิกายอสูรต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะส่งกองกำลังระดับนี้มาที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองเพื่อคลี่คลายปัญหา
ยิ่งกว่านั้น ต่อให้พวกเขาต้องการส่งกองกำลังมา ก็อาจจะเป็นไปไม่ได้
เพราะชายชรากับหญิงเฒ่าไม่ใช่ผู้ละทิ้งสวรรค์ แต่เป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งเหนือกว่าระดับเซียนสวรรค์!
หรือว่าอีกฝ่ายจะลงมาจากภพเซียน?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของฟู่อวิ๋นแทบหยุดเต้น หนังศีรษะชาด้านสักพัก ก่อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
คราวที่แล้ว กองกำลังของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียนได้ลงมายังแดนภวังค์ทมิฬ นำโดยเซียนสวรรค์สองคนอย่างเหมยลั่วเซียวกับอวี๋จงเสีย ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากท่านประมุขนิกายและผู้อาวุโสระดับสูง
แต่หลานชายของเหมยลั่วเซียวทำให้สาวใช้ของผู้อาวุโสเฉินซีขุ่นเคือง จึงถูกทุบตีอย่างไร้ความปรานี แม้กระทั่งเหมยลั่วเซียวกับอวี๋จงเสียก็ไม่เว้น พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
นับตั้งแต่นั้นมา เหมยลั่วเซียวและคนอื่นจากภพเซียนคล้ายกับหายไปจากโลก ค้นหาร่องรอยไม่ได้อีกเลย
หลังจากนั้น ฟู่อวิ๋นจึงทราบมาจากผู้อาวุโสระดับสูงว่า เหตุที่สาพวกเหมยลั่วเซียวมาภพมนุษย์ ที่แท้แล้วไม่ได้มาเพื่อช่วยคลี่คลายหายนะให้กับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แต่กลับมีแผนอื่นในใจ พวกเขาล้วนฝังตัวอยู่ใต้ชั้นที่เก้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
ส่วนกองกำลังของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองในภพเซียน ได้สลายตัว เพราะถูกกองกำลังศัตรูกวาดล้างไปตั้งนานแล้ว!
เพราะเรื่องนี้ร้ายแรงเกินไป ข่าวคราวจึงถูกปิดกั้น มีเพียงสมาชิกระดับสูงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่รู้เรื่องนี้ หากฟู่อวิ๋นไม่รู้จักกับหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทราบเรื่องนี้เช่นกัน
เพราะเหตุนี้เอง ฟู่อวิ๋นจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า กลุ่มคนที่มีต้นกำเนิดลึกลับ ทรงพลัง และน่าสะพรึงนี้อาจจะมาจากภพเซียน โดยมีเป้าหมายเพื่อ…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นพลันรู้สึกเย็นเยือกอยู่ในใจ เขาไม่กล้าคิดอะไรมากไปกว่านี้อีก
“ฮ่า ๆ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งก้านธูป เจ้าพวกสารเลวน่าสมเพช ตัดสินใจได้หรือยัง? ข้าทนความปรารถนาอันกระหายเลือดในใจแทบไม่ไหวแล้วนะ”
บนไหล่ของชายชราในชุดคลุมสีเขียวในตอนนี้ นกแก้วปากทองขนดำพลันแผดเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา น้ำเสียงแหลมคม เสียดแทงแก้วหู
“เจ้าสัตว์หน้าขน อย่าได้คิดเลยว่าพวกข้าจะยอมจำนน เพราะมันไม่มีทาง!”
เมื่อเห็นนกแก้วทำตัวอวดดีเช่นนี้ ศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองจึงไม่อาจระงับโทสะได้อีกต่อไป ก่อนตะโกนออกมาเสียงดัง
“กล้ามาต่อว่าข้าเช่นนี้ ช่างรนหาที่ตายนัก!”
ฟ้าว!
ทันทีที่สิ้นเสียง นกแก้วขนดำพลันกลายเป็นกลุ่มแสงทมิฬ ก่อนหายไป
ก่อนทุกคนจะทันได้ตอบสนอง พวกเขาเพียงได้ยินเสียงโผละ ก่อนที่ศิษย์ผู้เปิดปากด่าทอคนนั้นจะปรากฏรูโลหิตตรงหน้าอก!
“โห หัวใจของเจ้าตัวเล็กพวกนี้รสชาติแย่มาก ไม่อร่อยเท่ากับหัวใจของเซียนสวรรค์เลย”
ในเวลาเดียวกัน นกแก้วขนดำเกาะอยู่บนไหล่ของชายชราในชุดคลุมสีเขียวอีกครั้ง หัวใจโลหิตอยู่ในปากสีทองแหลมคม ก่อนถูกกลืนเข้าไปในคำเดียว
“ศิษย์น้องอู่!”
ในตอนนี้ เหล่าศิษย์จากนิกายกระบี่เก้าเรืองพลันได้สติขึ้นมา พวกเขาต่างมองศิษย์ที่ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเผยสีหน้าเกรี้ยวกราดออกมา
ขณะเดียวกัน ใบหน้าของฟู่อวิ๋นและผู้อาวุโสคนอื่นยิ่งมืดมน พวกเขาเตรียมออกนอกหน้าลงมือแล้ว
ก่อนหน้านี้พวกเขาประมาทเกินไป จึงไม่อาจช่วยเหลือได้ทัน …ความรู้สึกที่ถูกมองข้ามหัวเช่นนี้ ช่างน่าอึดอัดยิ่งนัก!!
“สารเลว! เจ้าถึงกับลงมือสังหารศิษย์น้องข้า ข้า…ข้าจะสู้กับเจ้าเอง!” ใบหน้าของศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรองคนหนึ่งบิดเบี้ยวและเกรี้ยวกราด เขาคำรามออกมาเสียงดัง
“รนหาที่ตายอีกคนแล้ว น่ารำคาญนัก!” นกแก้วขนดำกรีดร้อง ก่อนหายไปอีกครั้ง
เคร้ง!
แต่ครั้งนี้ มันกลับพลาดเป้า ปากสีทองถูกปัดป้องด้วยคมกระบี่ ทำให้เกิดเสียงร้องกังวานของกระบี่สีทองดังขึ้น
เพล้ง!
คมกระบี่สั่นไหวรุนแรง ก่อนมันจะแตกหักเป็นชิ้น ๆ ขณะที่ผู้ถือมันตัวเซและมีโลหิตมหาศาลไหลรินออกมา
ชายผู้นี้กระอักเลือดออกมาตลอดการถอยห่าง ใบหน้าของเขาซีดเผือด หายใจหอบเหนื่อยอย่างยากลำบาก
คนผู้นี้คือเฉินอัน!
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฟู่อวิ๋นและผู้อาวุโสคนอื่นล้วนประหลาดใจ เมื่อครู่ พวกเขาเตรียมจะช่วยเหลือคนแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเฉินอันจะเร็วกว่าพวกเขาหนึ่งก้าว
แต่หลังจากนั้น พวกเขาไม่มีเวลาสนใจอีก ก่อนรีบเข้าไปปกป้องเฉินอัน เพื่อไม่ให้นกแก้วขนดำเข้ามาโจมตีซ้ำ
“เอาล่ะ โม่อวี่กลับมา”
เหตุการณ์ครั้งนี้ สร้างความสนใจให้กับชายชราในชุดคลุมสีเขียว เขาสะบัดมือเรียกนกแก้วขนดำกลับมา หลังจากนั้น สายตาพลันจับจ้องเฉินอัน ก่อนเผยความประหลาดใจออกมา
“ก็แค่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ แต่กลับสังเกตเห็นจิตสังหารของโม่อวี่ล่วงหน้า และยังตอบสนองได้ทันท่วงที เจ้าหนูน้อยคนนี้ฝีมือไม่เลวเลย เจ้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ของชายชราผู้นี้ดีหรือไม่?”
ชายชราในชุดคลุมสีเขียวจับคาง เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา พวกฟู่อวิ๋นวิตกทันที นี่คือบุตรของผู้อาวุโสเฉินซี ต่อให้ต้องพยายามสุดความสามารถ ก็จะไม่ส่งให้เด็ดขาด!
“จูอวิ๋นโส่ว เจ้าเด็กนี่น่าสนใจไม่น้อย กระดูกยอดเยี่ยม ร่างกายบริสุทธิ์ วิญญาณและปัญญาสั่งสมตรงหว่างคิ้ว พรสวรรค์เช่นนี้นับว่าพิเศษ หายากยิ่งนัก มาเป็นศิษย์ของหญิงเฒ่าผู้นี้น่าจะดีกว่า”
ดวงตาของหญิงเฒ่าผมเงินกะพริบตา เผยเกลียวแสงสว่างสีทองออกมา นางมองเฉินอันอย่างละเอียด ก่อนเผยความประหลาดใจออกมา
“เหอะ หญิงเฒ่าเฟยจิวอย่าแม้แต่จะคิดเชียว”
จูอวิ๋นโส่วพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา สายตามองเฉินอัน พลางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าหนู คำพูดของชายชรา เจ้าได้ยินหรือไม่? ติดตามชายชรา แล้วข้าจะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี มอบทุกสิ่งที่ต้องการให้!”
เฉินอันเม้มริมฝีปาก ไม่กล่าวอะไร ถึงแม้ใบหน้าจะซีดจนเกือบโปร่งแสง แต่คิ้วของเขาขมวดด้วยความมุ่งมั่น เขาในตอนนี้ดูเหมือนกับเฉินซีผู้เป็นพ่อยิ่งนัก
“ช่างเป็นสหายตัวน้อยที่ดื้อรั้นนัก แต่ในเมื่อชายชราสนใจในตัวเจ้าแล้ว ก็นับว่าเจ้าได้พานพบวาสนา ดังนั้นเจ้ากล้าปฏิเสธได้อย่างไร ดูท่ามีแต่ต้องใช้กำลัง เพื่อให้เจ้าได้ลิ้มรสเคล็ดวิชาของชายชราก่อน ถึงจะยอมเชื่อฟังกันสินะ!”
ใบหน้าของจูอวิ๋นโส่วหมองคล้ำ เขาพลิกฝ่ามือ ส่งเปลวเพลิงสีดำพุ่งออก ปลดปล่อยพลังแห่งกฎที่ทำให้ใจสั่นสะท้าน ซึ่งทันทีที่ปรากฏขึ้น ทุกคนในโถงรัศมีวิญญาณต่างหายใจไม่ออก ราวกับเจอภัยคุกคามถึงตายเข้า
ไม่มีใครคาดคิดว่าจูอวิ๋นโส่วจะถึงขั้นคิดลงมือด้วยตัวเอง!
แย่แล้ว!
ลูกตาของฟู่อวิ๋นพลันขยายออก เขาโคจรปราณเซียนทั่วร่างอย่างไม่ลังเล หมายจะปกป้องเฉินอันจนตัวตาย
ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำตามจิตสำนึก ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่าครั้งนี้ เกรงว่าตัวเขาน่าจะต้องตายแล้วจริง ๆ…
สิ่งที่ทำให้เขาสิ้นหวังมากที่สุดคือ เขาสงสัยว่าการปกป้องของตัวเองจะสามารถปกป้องเฉินอันได้จริง ๆ หรือไม่ เพราะอีกฝ่ายคือตัวตนที่สูงล้ำยิ่งอย่างเซียนสวรรค์ เขาจะปัดป้องการโจมตีนี้ได้อย่างไร?
ตู้ม!
แต่ในตอนนี้ ประตูที่ปิดอยู่ของโถงรัศมีวิญญาณพลันระเบิดออก เศษซากปลิวว่อน ควันธุลีฟุ้งกระจายในอากาศธาตุ ในเวลาเดียวกัน คลื่นอากาศทรงพลังที่เหมือนกับพายุ กระจายไปทั่ว
เพียงชั่วพริบตา ความรู้สึกสิ้นหวังที่มาจากก้นบึ้งของวิญญาณ พลันแผ่ซ่านไปในหัวใจของทุกคนที่นี่ ทำให้ทุกคนแข็งทื่อ
“ใคร!”
“ผู้ใด!”
สีหน้าของจูอวิ๋นโส่วและหญิงเฒ่าเฟยจิ่วคล้ำเครียด ปราณของพวกเขาทะยานขึ้น ก่อนหันหลัง มองไปยังทางเข้าโถงรัศมีวิญญาณ
[1] ยามห้าย : คือช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. ถึง 22.59 น.