บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1007 ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1007 ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์

บทที่ 1007 ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์

“เก็บเกี่ยวผลประโยชน์หรือขอรับ?”

เฉินซีตกตะลึง ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวบนท้องฟ้าที่ดูเหมือนว่ามันจะสามารถทำลายล้างโลกได้ และชายหนุ่มไม่กล้าจินตนาการแม้แต่น้อยว่า เขาจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากมันอย่างไรภายใต้สถานการณ์เช่นนี้

นี่ไม่แตกต่างกับการหยิบเกาลัดออกจากกองไฟ ที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจจบลงด้วยความตาย!

โอม!

ก่อนเฉินซีจะฟื้นตัวจากอาการตกใจ หลียางก็ได้ลงมือแล้ว ตาข่ายโปร่งแสงขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าสู่สมรภูมิเหนือนภา

ตาข่ายใหญ่นั้นโปร่งแสงราวกับผลึก มันส่องประกายแวววาวด้วยแสงดาวที่เย็นยะเยือก ทำให้มันดูราวกับเป็นภาพลวงตา และบางเบาราวกับไม่มีอยู่จริง ยิ่งกว่านั้น มันยังอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่ทำให้หัวใจต้องมนต์เสน่ห์

แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ทุกที่ที่ตาข่ายนี้ผ่านไป ร่างอันทรงพลังกับตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวและลึกลับเหล่านั้น ซึ่งกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในสนามรบ กลับไม่สังเกตเห็นมันเลยแม้แต่น้อย และปล่อยให้ตาข่ายยักษ์ทะยานผ่านด้านข้างไปได้

เฉินซียังมองเห็นมือขนาดใหญ่ที่สามารถทำลายท้องฟ้าซึ่งยื่นออกมาจากจักรวาล กวาดผ่านทะเลดวงดาว ในขณะที่นิ้วของมันท่วมท้นไปด้วยพลังกฎที่ลึกล้ำ บดขยี้เวลาและห้วงมิติเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมเคลื่อนผ่านตาข่ายใหญ่โดยตรง

อย่างไรก็ตาม ราวกับมือนั่นพุ่งผ่านเงา บังเกิดเป็นระลอกคลื่นจากตาข่ายขนาดใหญ่ จากนั้นมันก็กลับสู่สภาพเดิมโดยไม่มีความเสียหายใด ๆ จะมีก็เพียงมือใหญ่ที่จู่ ๆ ก็หยุดนิ่งไปชั่วครู่

“เอ๊ะ?” เสียงศักดิ์สิทธิ์ที่น่าตกตะลึงดังก้องมาจากห้วงจักรวาล และดูเหมือนว่าเจ้าของมือใหญ่จะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง แต่ในไม่ช้า อีกฝ่ายก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องทั้งหมดนี้ และพลิกฝ่ามือเพื่อโจมตีศัตรูที่อยู่ตรงหน้าแทน

ตาข่ายขนาดใหญ่ยังคงเคลื่อนไปยังส่วนลึกของจักรวาลแทน มันดูเหมือนแสงมายาที่เคลื่อนคล้อยดุจความฝัน ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม

“สิ่งนั้นคือ?” เฉินซีเหม่อมองตาข่ายอย่างว่างเปล่า

“ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ มันหล่อหลอมจากทรายวิญญาณดาราและศิลาห้าสีแห่งความโกลาหล มันเป็นหนึ่งในสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่ท่านอาจารย์ได้ทิ้งไว้ ดังคำกล่าวที่ว่า แม้ตาข่ายแห่งสวรรค์จะมีช่องตาข่ายขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดจะทะลุผ่านไปได้ ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าสมบัติชิ้นนี้ แม้แต่เต๋ารู้แจ้ง กฎ รวมถึงกรรมที่ไม่มีตัวตนและไม่ชัดเจน ก็จะสามารถดักจับได้” หลียางคลี่ยิ้มบาง ซึ่งเผยถึงกำลังใจที่ฮึกเหิม

“สมบัติวิญญาณธรรมชาติ!”

ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์!

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้ยินเกี่ยวกับสมบัติดังกล่าว และเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง เมื่อคิดว่าสมบัติชิ้นนี้สามารถดักจับเต๋ารู้แจ้ง กฎ กรรม หรือสิ่งที่ไม่มีตัวตนและไม่ชัดเจนอื่น ๆ อีกมากมายได้ ชายหนุ่มไม่กล้าเชื่อว่าสมบัติในโลกชิ้นนี้ จะมีผลที่น่าอัศจรรย์เช่นนั้นจริง ๆ

ในช่วงเวลาสั้น ๆ ดวงตาของหลียางเป็นประกาย ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ปลาเข้ามาในร่างแหนแล้ว ศิษย์น้อยเล็ก รีบนั่งสมาธิเร็วเข้า เพราะปลาตัวนี้เป็นเศษเสี้ยวที่แตกสลายของกฎเต๋าแห่งสวรรค์!”

“กฎเต๋าแห่งสวรรค์!”

เฉินซีประหลาดใจอีกครั้ง “ศิษย์พี่หญิงของข้าคนนี้ ทำให้ประหลาดใจมากเกินไปจริง ๆ”

หากเฉินซีไม่ได้ตกลงที่จะตามหลียางมาที่นี่ เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ของภพทั้งสาม เขาคงไม่เชื่อว่าทุกสิ่งที่เห็นและได้ยินที่นี่จะเป็นเรื่องจริง

แต่ในขณะนี้เฉินซีไม่มีเวลาครุ่นคิดมากนัก เขารีบกลั้นหายใจพร้อมกับทำจิตใจให้สงบ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิ จากนั้นก็ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในจิตใจ เริ่มทำสมาธิ

เปรี้ยง!

ทันทีที่เฉินซีเพิ่งเข้าสู่สภาวะการทำสมาธิ เขารู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกผูกมัดด้วยกระแสพลังที่ร้อนแรง พลังที่อยู่ภายในกระแสนั้นทั้งบริสุทธิ์ กว้างใหญ่ และหมุนวนด้วยพลังของกฎเต๋าแห่งสวรรค์นับไม่ถ้วน

มันเหมือนกับสุรารสเข้มที่บ่มจากกฎนับไม่ถ้วน และเต๋ารู้แจ้งได้เข้าสู่ร่างชายหนุ่มผ่านทางรูขุมขน ทำให้เส้นเอ็นและกระดูกในร่างกายของเฉินซีเปล่งเสียงคำรามของราชสีห์กับมังกร บังเกิดเป็นระลอกคลื่นที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างกาย ก่อตัวเป็นวงแหวนเต๋าที่เรืองรองออกมา

หลังจากนั้น พลังงานที่น่าอัศจรรย์และอธิบายไม่ได้นี้ก็เริ่มซึมเข้าสู่เลือด เส้นลมปราณ อวัยวะทั่วกาย… ในชั่วพริบตา มันเหมือนกับหยดน้ำที่ตกลงในกระทะน้ำมัน ซึ่งระเบิดอย่างโครมคราม

แดนฮุ่นตุ้นในท้องทะเลแห่งลมปราณของเฉินซีไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่อักขระยันต์มากมายเดือดพล่านและเปล่งประกายแสงเจิดจ้าอันไร้ขอบเขต ในชั่วพริบตานั้น แม้แต่ปราณเซียนในสภาพแวดล้อมก็เริ่มไหลเวียน

เฉินซีในยามนี้ดูจะกลายเป็นมหาสมุทรแห่งอักขระยันต์ ทุกรูขุมขนในร่างกายของเขาเปล่งลำแสงเต๋าที่เรืองรอง ในขณะที่ปราณเซียนต่างส่งเสียงดังกึกก้องและไหลเวียนโดยไม่มีที่สิ้นสุดภายในเส้นลมปราณ อวัยวะภายใน จุดชีพจรและแดนฮุ่นตุ้น ซึ่งกลิ่นอายของเต๋าที่อธิบายไม่ได้กำลังพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกายของเขาเช่นกัน

ร่างกายของเฉินซีได้หลอมรวมเข้ากับเต๋ารู้แจ้งและผสานเข้ากับฟ้าดิน

จิตใจและร่างกายของเฉินซีได้เข้าสู่เต๋า และเต๋าก่อตัวเป็นอักขระยันต์

“ศิษย์น้องเล็กไม่ธรรมดาจริง ๆ เขาจารึกอักขระยันต์บนเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายและแดนฮุ่นตุ้นของเขา ทำให้พวกมันสร้างกลิ่นอายของเต๋า ด้วยวิธีนี้ ภายในร่างกายของเขาจะสว่างไสวด้วยเปลวไฟแห่งพลังชีวิต ในขณะที่ภายนอกสะท้อนถึงการไหลเวียนของโลก ถ้าเขาบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ เขาอาจจะสามารถควบแน่นพลังของกฎได้ในระยะเวลาอันสั้นมาก…” ใบหน้าของหลียางที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นดูซีดเซียวเล็กน้อย ในขณะที่ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของนางก็ยากจะปกปิด แต่สายตาที่นางมองไปยังเฉินซีกลับเต็มไปด้วยความสุขและความพึงพอใจแทน

เศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์นี้ เป็นพลังงานของระเบียบสูงสุดที่คอยรักษาโลก มันเป็นตัวแทนของพลังแห่งสวรรค์ ซึ่งทั้งไร้ความรู้สึกและยิ่งใหญ่มาก เต๋ารู้แจ้งและพลังกฎที่สรรพสิ่งในโลกเข้าใจนั้นล้วนมาจากภายในเต๋าแห่งสวรรค์

ในตอนนี้ หลียางได้คว้าโอกาสเมื่อภัยพิบัติปะทุขึ้น ซึ่งในขณะที่เต๋าแห่งสวรรค์พังทลายลงและแตกเป็นเสี่ยง ๆ นางได้ดักจับเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์ที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ เพื่อให้เฉินซีได้ใช้ประโยชน์จากมัน โดยไม่สนใจว่าสิ่งนี้จะเผาผลาญพลังของนางไปมากสักปานใด

สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พลังที่อยู่ภายในเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์นั้นน่ากลัวเพียงใด

คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง หากจะบอกว่าเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์ดังกล่าวคือ สมบัติล้ำค่าที่ผู้เป็นเซียนยังใฝ่ฝันถึงแม้แต่ในภพเซียน!

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ

ภายใต้พลังของเต๋าแห่งสวรรค์ที่พลุ่งพล่านราวกับมหาสมุทร พลังชีวิตและปราณเซียนของเฉินซีได้บรรลุจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนปฐพี มันสมบูรณ์และไร้ที่ติ ซึ่งในแง่ของความหนาแน่นของปราณเซียน มันหนาแน่นกว่าตัวตนในขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปถึงร้อยเท่า!

ในเวลาเดียวกัน ความเข้าใจต่อเต๋ารู้แจ้งประเภทต่าง ๆ ของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น เต๋ารู้แจ้งเบญจธาตุ เต๋ารู้แจ้งของหยินและหยาง เต๋ารู้แจ้งแห่งวายุ เต๋ารู้แจ้งแห่งอัสนี เต๋ารู้แจ้งแห่งดารา เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา เต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือน และอื่น ๆ ที่ได้บรรลุขอบเขตสมบูรณ์เมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้พวกมันเริ่มควบแน่นและแสดงสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเป็นโซ่ศักดิ์สิทธิ์ของกฎอยู่จาง ๆ

ในทางกลับกัน มหาเต๋าที่ลึกล้ำ เช่น มหาเต๋าแห่งการลืมเลือน มหาเต๋าแห่งนิรันดร์ มหาเต๋าแห่งการกลืนกิน มหาเต๋าแห่งการรังสรรค์ มหาเต๋าแห่งการพิพากษา และอื่น ๆ ที่ยังไม่บรรลุขอบเขตสมบูรณ์ พวกมันกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยอัตราที่ก้าวกระโดดอย่างมาก

ถ้าคนอื่นเห็นฉากนี้ พวกเขาคงตกตะลึงจนหมดสติไปแล้ว

นี่คือพลังของเศษเสี้ยวเต๋าแห่งสวรรค์ มันเป็นตัวแทนของพลังสวรรค์และคำสั่งสูงสุด ซึ่งไหลเวียนอยู่ภายในโลกทั้งสามพันใบของภพมนุษย์ ดังนั้นพลังที่อยู่ภายในนั้นจะธรรมดาได้อย่างไร?

แน่นอนว่าความสามารถที่สูงล้ำถึงเพียงนี้ของมัน ย่อมไม่สามารถทำได้หากไม่มีรากฐานที่มั่นคง …หากชายหนุ่มไม่บรรลุถึงขีดจำกัดของขอบเขตเซียนปฐพี และไม่เข้าใจมหาเต๋าที่ลึกล้ำกว่าสิบประเภท เฉินซีย่อมไม่อาจปลดปล่อยพลังของเศษเสี้ยวเต๋าแห่งสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์

ยกตัวอย่างเช่นเต๋ารู้แจ้ง หากเป็นผู้บ่มเพาะที่ไม่เข้าใจเต๋ารู้แจ้งใด ๆ แม้ว่าเขาจะได้รับเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์มาสิบชิ้น เขาย่อมไม่มีทางเข้าใจความลึกล้ำต่าง ๆ ที่อยู่ภายในนั้นได้

นี่เป็นเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเมล็ดพืชกับสายฝน เฉินซีได้เพาะเมล็ดพืชต่าง ๆ ไว้แล้ว ส่วนเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์ได้แปรเปลี่ยนเป็นสายฝนที่ทำให้เมล็ดงอกและเจริญเติบโต…

ถ้าไม่มีเมล็ด ต่อให้สายฝนจะโปรยปรายสักเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์

หลังจากไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด เฉินซีก็ลืมตาขึ้นจากการทำสมาธิ สายตาของเขาสงบนิ่งและลึกล้ำยิ่งขึ้น จากนั้นแสงสวรรค์ก็ปรากฏขึ้น ก่อนที่พวกมันจะแปรเปลี่ยนเป็นแผนภาพอันน่าอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่ส่องประกายในดวงตา และหายวับไป

“ทัณฑ์สวรรค์ของข้ากำลังจะมาถึงในอีกสี่สิบเก้าวัน…”

เฉินซีได้บังเกิดความเข้าใจในขณะนี้ เขาสัมผัสได้ถึงช่วงเวลาแห่งโอกาสที่จะบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้า และทะยานขึ้นสู่ภพเซียน

เมื่อชายหนุ่มหวนคิดถึงทุกสิ่งที่เขาประสบตลอดเส้นทางมาจนถึงจุดนี้ และไตร่ตรองว่าเขากำลังจะขึ้นไปสู่ภพเซียนได้อย่างไร ความตื่นเต้นในใจของเฉินซีก็เปลี่ยนเป็นความสงบในที่สุด

เขารู้ว่าวันนี้จะมาถึง!

เช่นเดียวกับที่เขาเชื่อมั่นว่าตนจะสามารถบรรลุความปรารถนาใด ๆ ได้ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่!

และเนื่องจากชายหนุ่มไม่เคยสังเกตหรือสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอดีต …เขาจึงดูสงบและสุขุมมากในเวลานี้

“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องเล็ก ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า จะไม่มีผู้ใดกล้าดูถูกเจ้า เมื่อเจ้าไปถึงภพเซียนแล้ว” หลียางที่อยู่ใกล้ ๆ หัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะที่นางพินิจมองเฉินซีอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็เผยรอยยิ้มที่มากด้วยเสน่ห์ออกมา

เฉินซียืนขึ้นและป้องมือของเขา ในขณะที่กล่าวว่า “ข้าต้องขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยให้ข้าบรรลุเป้าหมายทั้งหมดนี้”

เขาทราบดีว่าหากไม่ได้ครอบครองเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งสวรรค์นี้ ชายหนุ่มอาจจะต้องเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะเป็นเวลานานมาก เพื่อทำความเข้าใจต่อปัจจัยที่สำคัญ เพื่อบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้า

“เอาล่ะ ม่านแห่งภัยพิบัติได้ถูกรูดปิดลงแล้ว และข้าก็ควรจะจากไปเช่นกัน” หลียางยิ้มขณะที่นางกล่าวด้วยเสียงเบา

“ม่านแห่งภัยพิบัติได้ถูกรูดปิดลงแล้ว…”

เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า และเห็นท้องนภาที่ฉีกขาดราวกับผืนผ้าไหม สมรภูมิกว้างใหญ่ที่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ต่อสู้กันอย่างดุเดือด และกระแสพลังผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง ความโกลาหล และการเข่นฆ่าทั้งหมดได้หายไปโดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตเห็น

ท้องฟ้าในยามนี้ปลอดโปร่ง ในขณะที่พลังเต๋าแห่งสวรรค์ไหลเวียนอยู่ภายใน และทุกอย่างก็ฟื้นคืนสู่สภาวะสงบเหมือนเมื่อก่อน

“มันจบเช่นนั้นหรือ?” เฉินซีนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าตกใจก่อนหน้านี้ และเขายังคงมึนงงอย่างมาก

“พวกเขาต่อสู้กันมาเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว และคนที่สมควรตายก็ตายไปแล้ว ในขณะที่คนซึ่งไม่ควรอยู่ ก็ถูกดึงเข้าไปในภพเซียน สรุปแล้ว สหายเก่าเหล่านั้นจากภพทั้งสามที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง ถือได้ว่าได้รับชัยชนะเล็กน้อยในระหว่างการต่อสู้ครั้งนี้” รอยยิ้มเยาะเย้ยที่คุ้นเคยได้ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลียางอีกครั้ง

“แต่ในท้ายที่สุด ผู้คนบางส่วนต้องถูกสังเวยในการต่อสู้ และแน่นอนว่าผู้ใดจะหัวเราะในตอนท้าย เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อกลียุคของทั้งสามภพมาถึงแล้วเท่านั้น…”

เฉินซียังไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดนี้ได้ในตอนนี้ แต่ชายหนุ่มเชื่อว่าเมื่อกลียุคของทั้งสามภพมาถึง เขาจะสามารถเข้าใจเหตุและผลของทุกสิ่งได้อย่างแน่นอน

เพราะมันเป็นอย่างที่หลียางได้กล่าวไว้ ในเวลานั้นไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงจากการพัวพันกับมันได้!

หลังจากนั้น หลียางก็ไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป จากนั้นนางก็พาเฉินซีหายตัวไปจากยอดเขาเดียวดายอย่างรวดเร็ว

ณ นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง

บรรยากาศอึมครึม และไม่ว่าผู้อาวุโสหรือศิษย์ทุกคนล้วนมีสีหน้าเศร้าโศก

เมื่อเฉินซีกลับมา เขาพบว่าสามปราชญ์แห่งเก้าเรืองรอง เฟิงถิง เฟยหลิง และเติ้งเฉินได้เสียชีวิตลงในช่วงภัยพิบัติ

นี่เป็นความเสียหายครั้งใหญ่ต่อนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างไม่ต้องสงสัย

อันที่จริง มันไม่ใช่แค่นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ละทิ้งสวรรค์หรือผู้อาวุโสที่เก็บตัวสันโดษ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเก้าหรือสูงกว่าในแดนภวังค์ทมิฬ พวกเขาล้วนได้รับผลกระทบจากภัยพิบัตินี้!

บางคนเสียชีวิตในช่วงภัยพิบัติ และมีบางคนที่โชคดีพอที่จะรอดชีวิตมาได้ แต่พวกเขาก็ถูกดึงเข้าไปในภพเซียน และไม่สามารถกลับมายังภพมนุษย์ได้อีกต่อไป

“บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภัยพิบัติเช่นนี้ขึ้น? เพื่อประโยชน์ของการใช้พลังภัยพิบัติเพื่อกำจัดกองกำลังทั้งหมดที่เกินขีดจำกัดของภพมนุษย์อย่างสมบูรณ์?”

เฉินซีไม่สามารถหยุดความคิดนี้ได้ และความรู้สึกของเขาหนักอึ้งเล็กน้อย

หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ส่ายศีรษะ และหยุดคิดถึงเรื่องนี้

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับเขามากเกินไป ดังนั้นแม้ว่าภัยพิบัติครั้งนี้จะเป็นแผนการที่ใครบางคนสร้างขึ้นอย่างรอบคอบเมื่อนานมาแล้ว แล้วมันจะเป็นอย่างไร?

เมื่อความแข็งแกร่งของผู้ใดไม่เพียงพอ คนผู้นั้นจะถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงตัวหมากเท่านั้น

“ข้าสงสัยว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอยู่ที่ใดในภพเซียน…” จู่ ๆ เฉินซีก็นึกถึงคำแนะนำของหลียาง ยามก่อนที่นางจะจากไป และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงร่องรอยความคาดหวัง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท