บทที่ 1012 เหมืองวิญญาณคราม
บทที่ 1012 เหมืองวิญญาณคราม
เมิ่งซิงพูดจบ ก็เก็บเรือเหาะเซียนกลับไป
ทันใดนั้น เทือกเขาสูงชันตั้งตระหง่านสู่สายตาของผู้คนทั้งหลาย
ภูเขาสูงชันที่ถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีฟ้าหนาทึบราวกับผืนสมุทร มองจากระยะไกล คล้ายทะเลกว้างใหญ่พริ้งพรายด้วยความงดงาม
“นี่คือเหมืองวิญญาณคราม ประเดี๋ยวจะมีคนมารับพวกเจ้าทุกคนไป” เมิ่งซิงชี้ไปยังเทือกเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เหมืองหรือ?” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “เราคงไม่ได้ถูกพามาที่นี่ เพื่อทำงานเหมืองหรอกใช่หรือไม่?”
คนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าย่ำแย่ไม่ต่างกัน เหมืองวิญญาณครามอย่างนั้นหรือ? แค่ชื่อก็เห็นเค้าลางไม่ดีแล้ว แต่การที่เมิ่งซิงเป็นผู้พาพวกเขามาที่นี่ด้วยตัวเอง ก็น่าจะชี้ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอันใด
เมิ่งซิงไม่ได้ตอบ เขาเพียงมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชาและพูดขึ้น “ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่าหากไม่อยากตาย ก็จงให้ความร่วมมืออย่างเชื่อฟัง ไม่ฉะนั้นพวกเจ้าจะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้รู้สาเหตุการตายของตนเอง”
ผู้ฟังต่างแสดงความตกตะลึงผ่านสีหน้าที่ย่ำแย่ถึงขีดสุด
ก่อนพวกเขาจะขึ้นมา ทุกคนล้วนแต่เป็นคนที่ได้รับความเคารพยกย่องในดินแดนของตน ไม่ว่าต้องการสิ่งใด ล้วนแต่มีคนเสาะแสวงหามาให้ทั้งสิ้น จะมีใครคาดคิดกันว่าหลังจากที่เข้ามายังภพเซียนแล้วจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับถูกฟ้าผ่าลงกลางหัวโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จากที่เคยยืนอยู่บนยอดเขาตระหง่าน …บัดนี้ราวกับถูกผลักลงมาสู่ก้นหุบเหว บรรยากาศซึ่งผิดแผกจากความคุ้นเคยชวนให้วิตกกังวลอย่างอดไม่ได้
“ไม่คิดมาก่อนว่าท่านเมิ่งซิงจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง” ฉับพลันนั้น ลำแสงหนึ่งพุ่งตรงมาจากทางเทือกเขาผ่านม่านหมอกสีคราม ปรากฏร่างชายหนุ่มท่าทางเยือกเย็น ร่างผอมบางไม่ต่างไผ่ลู่ลม และดวงตาที่มีเพียงข้างเดียวของเขาแข็งกร้าวแฝงไปด้วยความเคร่งขรึม
นั่นคือเซียนสวรรค์? ดวงตาของเฉินซีหรี่จ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบือนไปทางอื่น หากเป็นเมื่อครั้งที่อยู่ในภพมนุษย์ เขาคงจะยังหวาดกลัวเซียนสวรรค์อยู่ไม่น้อย ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว อีกทั้งรากฐานก็กล้าแกร่งยิ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจะนึกหวาดหวั่นต่อคนตรงหน้าไปทำไม?
“เหวยเจิ้ง ข้าขอมอบผู้ข้ามผ่านเหล่านี้ให้แก่เจ้า” เมิ่งซิงพยักหน้าให้อีกฝ่าย ดูเหมือนไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อสักเท่าไรนัก เขาจึงรีบกำชับชายตาเดียวและเร่งฝีเท้ากลับไปที่เรือเหาะเซียนโดยไม่หันกลับมามองอีก
“พวกเจ้าทุกคนตามข้ามา” ทันทีที่เมิ่งซิงจากไป สีหน้าของเหวยเจิ้งพลันเยือกเย็น ดวงตาหนึ่งข้างของเขาเปี่ยมไปด้วยความเฉยเมยและไร้ปรานี
บรรดาผู้ข้ามผ่านต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความจนใจ แต่ก็เดินตามหลังเหวยเจิ้งไปอย่างเชื่อฟัง และพุ่งตัวไปยังเหมืองวิญญาณคราม
…
“ได้โปรด ข้าขอร้องล่ะ ให้ข้าพักสักประเดี๋ยวเถิด ข้าทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ ไม่ใช่ว่าข้าไร้ความพยายาม แต่ศิลากำเนิดวิญญาณครามย่อมมีปริมาณน้อยลงไปตามกาลเวลา”
“ถุ้ย! ไอ้เศษสวะเอ๊ย! ในเมื่อเจ้าไม่สามารถหาศิลากำเนิดวิญญาณครามได้ครบสิบชิ้นต่อวัน ก็อย่ามีชีวิตอยู่ต่อเลย ตายซะ!”
“มีใครทำงานไม่สำเร็จอีกไหม? เข้ามารับโทษเสียดี ๆ! หากให้ข้าเดินไปหาเอง ก็อย่าหวังเลยว่าจะมีชีวิตรอด!”
“ไอ้พวกสวะเหลือเดน! ศิลาอมตะในส่วนของพวกเจ้าวันนี้ก็อดไปเสียเถอะ!”
ภายใต้แสงแดงฉานของดวงตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า เสียงคำรามกักขฬะอันเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดดังเกรียวออกมาจากภายในเหมืองวิญญาณคราม มันสอดประสานกับคลื่นเสียงวิงวอนโหยหวนชวนให้เวทนา นอกจากเสียงเหล่านี้แล้ว ยังปรากฏเสียงหวดของแส้สะท้านก้องอยู่บ่อยครั้ง พานพาให้คนฟังต้องหนาวสั่นไปทั่วสรรพางค์
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ มาถึงจุดหมาย พวกเขาก็เห็นว่าในตอนนี้ บริเวณที่ราบตรงเชิงเขากลุ่มคนมากมายกำลังยืนอยู่ตรงนั้น
คนเหล่านั้นส่วนใหญ่มีเส้นผมกระเซอะกระเซิงและใบหน้าแสนมอมแมม เสื้อผ้าของพวกเขาเปรอะเปื้อนเศษฝุ่นเศษดินจนยากจะมองเห็นสีเดิม ดูไปแล้วก็ไม่ต่างจากยาจกในโลกมนุษย์แต่อย่างใด
รอบ ๆ นั้นมีเวรยามกำลังยืนเรียงแถวประจำการอยู่ พวกเขาสวมชุดเกราะสีดำมิดชิด และถือแส้เหล็กพลางส่งเสียงหัวเราะเหี้ยมขณะทำหน้าที่อารักขาพื้นที่โดยรอบ
กลางลานกว้างมีโต๊ะเหล็กสีดำตั้งอยู่ตัวหนึ่ง ด้านหลังของโต๊ะคือชายวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วน บนดวงหน้าขาวผ่องของเขาเด่นชัดไปด้วยหนวดหน้าตาเหมือนเลขแปด (八) ดวงตาเล็กราวเมล็ดถั่วเบียดอัดกับชั้นไขมันที่แก้มบวมฉุราวกับจะระเบิดออกมา
ข้างกายของชายวัยกลางคนคือหญิงสาวหน้าตางดงาม สวมอาภรณ์เนื้อบาง ท่าทางสะดีดสะดิ้งสองนาง พวกนางเอาตัวแนบชิดกับชายอวบอ้วนพลางนวดไหล่ให้เขาพร้อมเสียงหัวเราะหวานหู
ในขณะเดียวกันกลุ่มคนซึ่งแต่งกายมอซอนั้นยืนเรียงแถวอยู่ด้านหน้าของโต๊ะ ในมือของพวกเขาคือตะกร้าเหล็กที่บรรจุศิลาวิญญาณครามสีฟ้าเข้มที่มีขนาดแตกต่างกันออกไป
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
อีกด้านหนึ่งของลานกว้างคือองครักษ์สองคนที่เปลือยกายท่อนบนและถือแส้เหล็กไว้ในมือ พวกเขากำลังเฆี่ยนทาสกลุ่มหนึ่งจนผิวหนังปริแตก เลือดที่ไหลออกมาเปื้อนไปกับพื้นดินเป็นวงกว้าง ทาสผู้นั้นนอนเกลือกกลิ้งไปกับพื้นพลางส่งเสียงโหยหวนปนไห้สะอื้น
บางคนกลายเป็นซากศพไปเสียก่อนจะได้ส่งเสียงร้องใด ๆ ออกมาด้วยซ้ำ
ทุกครั้งที่ภาพอันโหดร้ายเกิดขึ้น ก็จะมีเสือโคร่งสีแดงเข้มตัวหนึ่งกระโจนออกมา และเขมือบกินศพเหล่านั้นไปจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
ทาสมอซอ!
องครักษ์จอมโหด!!
และเสือโคร่งแสนดุร้าย!!!
…
เหตุการณ์นองเลือดเหล่านี้สร้างความตกตะลึงอย่างรุนแรงให้แก่หัวใจของผู้พบเห็น
เมื่อเฉินซีและคนอื่น ๆ มาถึงและได้เห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาพลันซีดเผือด รูม่านตาเบิกกว้างเผยชัดถึงอารามตื่นตระหนก
มีเพียงไม่กี่คนที่ยังสงบสติอารมณ์ไว้ได้ หนึ่งในนั้นก็คือเฉินซี
เซียนลึกลับหนึ่งคน เซียนอมตะหนึ่งคน ส่วนที่เหลืออีก 1,032 คนเป็นผู้คุ้มกัน ส่วนน้อยของคนเหล่านี้อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพี นอกเหนือจากนั้นอยู่ในขอบเขตสถิตกายา…
ที่นี่มีทาสมากกว่าหนึ่งหมื่นคน จำนวนมากกว่าร้อยคนเห็นได้ชัดว่ามีฐานพลังในขอบเขตเซียนสวรรค์เพียงแต่ยังไม่ได้ผสานกับกฎเท่านั้น อีกทั้งการบ่มเพาะยังอ่อนแอและถดถอย หากเดาไม่ผิด พวกเขาคงจะเพิ่งขึ้นมาก่อนที่ตนจะโดนจับมาไม่นาน…
แปลกนัก หากแค่ต้องการแรงงานทาส ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องจับผู้ข้ามผ่านจากทั่วทุกดินแดนเช่นนี้ บางทีเรื่องนี้อาจมีเงื่อนงำอยู่เบื้องหลัง…
เฉินซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ หลังจากที่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดก็เริ่มผ่อนคลาย ตราบใดที่ยังไม่มีขอบเขตเซียนทองคำอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวต่อสิ่งใด
“หน้าที่ของพวกเจ้าก็เหมือนกับพวกเขา ขุดหาศิลากำเนิดวิญญาณครามสิบชิ้น ทุกวันก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หากขาดไปแม้แต่ก้อนเดียวจะต้องถูกลงโทษ และหากได้มาน้อยกว่าห้าชิ้นพวกเจ้าจะต้องตาย” ทันใดนั้นเหวยเจิ้งก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “พวกเจ้าจะลองหลบหนีดูก็ย่อมได้ แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อนว่าไม่มีใครที่หนีออกไปได้มาก่อน แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมานั้นแย่ยิ่งกว่าการตายในปากพยัคฆ์ลายโลหิตเป็นร้อยเท่า!”
สิ้นคำพูด กลุ่มคนที่กำลังจะพุ่งตัวขึ้นไปด้านบนก็หมดสิ้นความหวัง ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวอย่างคนสิ้นไร้ไม้ตอก
“เช่นนั้น… เมื่อไรจึงจะถือว่างานสำเร็จลุล่วงเล่า?” ผู้ข้ามผ่านคนหนึ่งถามเสียงขื่น
“ข้าจะบอกเมื่อถึงเวลานั้น” เหวยเจิ้งกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาคมกริบประหนึ่งใบมีด “เอาล่ะ ส่งคลังสมบัติวิเศษของพวกเจ้ามา แล้วไปต่อแถวตรงนั้นเพื่อรับตะกร้าเหล็กจากผู้ดูแลโหลวเฟิงซะ เขาจะแบ่งพื้นที่ทำงานให้พวกเจ้าทันทีที่เข้าไปข้างใน”
เหวยเจิ้งพูดพร้อมกับชี้ไปยังเรือนที่ถูกสร้างขึ้นจากหินไกล ๆ ที่ตรงนั้นปรากฏร่างของชายชราสีหน้าเศร้าหมองกำลังเอนกายบนนวมนุ่ม
จู่ ๆ ชายชราก็ลืมตาขึ้นราวกับรู้ว่าเหวยเจิ้งกำลังพูดถึงเขา ประกายสีเขียวหยกในดวงตานั้นทั้งงดงามและน่าสะพรึงกลัว
การถูกจับจ้องด้วยสายตาเช่นนี้ให้ความรู้สึกราวกับกำลังจ้องตากับอสรพิษร้าย ชวนให้กระอักกระอ่วนและหวาดผวาอยู่ไม่น้อย
โหลวเฟิงและเหวยเจิ้งเป็นหนึ่งในสี่เซียนสวรรค์ที่เฉินซีสัมผัสได้
อีกคนหนึ่งคือชายวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วนกำลังนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะเหล็กและรวบรวมศิลากำเนิดวิญญาณคราม ส่วนคนสุดท้ายนั้นเฉินซีไม่กล้าด่วนสรุป สัมผัสได้ราง ๆ ว่าคนผู้นั้นอยู่ในทางเดินที่ลึกและเงียบสงบด้านในเหมือง แน่นอน แม้แต่รูปลักษณ์ของเขา เฉินซีก็ไม่อาจประมาณได้
สำหรับเซียนลึกลับ อีกฝ่ายอาศัยอยู่บนยอดเขาเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปหมื่นลี้ รัศมีลึกลับและล้ำลึกปกคลุมไปทั่วทั้งเหมืองวิญญาณคราม
เมื่อเห็นว่าไม่เพียงแต่ต้องเป็นแรงงานทาสในเหมือง ซ้ำร้ายยังต้องส่งมอบบรรดาสมบัติวิเศษให้แก่คนเหล่านี้อีก ผู้ข้ามผ่านคนหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทำไมเราต้องมอบสมบัติวิเศษให้เจ้าด้วย? พวกเราหาใช่ทาสของเจ้าไม่!”
ทันทีที่พูดจบ บรรยากาศโดยรอบก็พลันเงียบลงถนัดตา เหล่าทาสเนื้อตัวมอมแมมรวมถึงผู้คุ้มกันที่เฝ้าอยู่รอบ ๆ ต่างแสดงสีหน้าสมเพชเมื่อได้เห็นฉากนี้
“ฮ่า ๆ! สหายเจ้าช่างโง่เขลานัก”
“โอ้ เจ้าว่าสหายเต๋าผู้นั้นจะตายแบบไหนกัน? ท่านเหวยเจิ้งจะกระชากหัวของเขาออกมาเลย หรือเอาไปทำน้ำมันตะเกียงและแขวนไว้ตามทางเดินในเหมืองดีเล่า?”
สาวงามสองนางข้างกายชายร่างอ้วนพูดคุยกันอย่างออกรส สีหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผิดกับผู้ฟังรอบ ๆ ที่หัวใจเริ่มสะท้านชา
“ให้ข้าเดา รูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว ไม่แน่อาจจะถูกใจตาเฒ่าเจ้าเล่ห์โหลวเฟิงเอาตัวไป ขืนเป็นแบบนั้นบั้นท้ายของเขาคงได้พังยับเยินแน่คืนนี้ ฮ่า ๆ ๆ!” ชายวัยกลางคนระเบิดเสียงหัวเราะจนชั้นไขมันสั่นกระพือ พูดพลางเค้นคลึงบั้นทางกลมกลึงของหญิงสาวข้างกายอย่างรุนแรง ส่งผลให้พวกนางส่งเสียงร้องเล็กแหลมที่ดูเหมือนจะเจ็บปวดและมีความสุขในเวลาเดียวกัน เขาหยุดมือลงหลังจากได้ยินเสียงร้องเหล่านั้นก่อนจะถอนหายใจด้วยความสุขสม
ร่างกายของชายผู้นั้นสั่นสะท้านด้วยแรงโทสะ ทว่าไม่นานเปลวไฟแห่งความโกรธก็ถูกแทนที่ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
ไม่ทันที่เหวยเจิ้งจะได้ตอบโต้ใด ๆ คนผู้นั้นก็หยิบเอาคลังสมบัติของตนออกมาด้วยความนบนอบ และพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “นายท่าน โปรดอภัยให้ข้าด้วย ให้ข้าได้ชดใช้ต่อความผิดนี้…”
ดวงตาข้างเดียวของเหวยเจิ้งมองไปยังอีกฝ่ายอย่างเย็นชาก่อนจะเก็บสมบัติวิเศษเหล่านั้นเอาไว้ แล้วตะโกนขึ้น “ส่งสมบัติวิเศษที่พวกเจ้ามีทั้งหมดมาให้ข้าภายในสิบอึดใจ จำไว้ ข้าเตือนพวกเจ้าไปหมดแล้ว! หากชักช้าละก็เตรียมใจรับผลที่ตามมาได้เลย”
คนทั้งหลายไม่ลังเลที่จะส่งมอบสมบัติวิเศษของตน แม้แต่เสี่ยวอวิ๋นจากภพอนันตราก็ยังถูกทุบตีไม่ยั้งเสียจนสูญสิ้นความทระนงในใจ ในที่สุดเขายอมมอบสมบัติล้ำค่าของตนให้อีกฝ่ายอย่างเชื่อฟัง
เฉินซีเองก็ส่งมอบคลังสมบัติวิเศษของตนเช่นกัน ในนั้นมีเพียงศิลาอมตะจำนวนสิบก้อนเท่านั้น สำหรับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ มันถูกหล่อเลี้ยงอยู่ภายในแดนฮุ้นตุ้นมานานแล้ว จะไม่มีผู้ใดที่สามารถรับรู้ถึงเรื่องนี้ได้ตราบใดที่เขาไม่ตายเสียก่อน
เพียงไม่นาน เวลาสิบอึดใจผ่านพ้นไป
ตอนนั้นเอง สายตาของผู้คนทั้งหลายก็จับจ้องไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เฉินซี เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความตกใจระคนสงสาร บ้างก็ผสมด้วยความสุขเมื่อได้เห็นความอับโชคของนาง
เนื่องจากหญิงสาวนางนั้นได้แสดงตัวว่าตนไม่ได้พกสมบัติวิเศษใด ๆ มาแม้แต่ชิ้นเดียว ให้ตายเถิด ใครจะเชื่อคำพูดเหล่านี้ได้ลง?
“ค้นตัวนาง!” เหวยเจิ้งคล้ายจะไม่แปลกใจต่อสถานการณ์เช่นนี้ เห็นทีคงจะพบพานเรื่องราวทำนองนี้มาไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำเพียงแต่โบกมือสั่งด้วยสีหน้าเฉยเมย
เพียงครู่ องครักษ์ท่าทางดุดันนับสิบคนก็พุ่งเข้าใส่นางพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยเจตนาชั่วร้าย