บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1013 ระดับของสมบัติอมตะ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1013 ระดับของสมบัติอมตะ

บทที่ 1013 ระดับของสมบัติอมตะ

หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน คิ้วเรียวงามดั่งใบหลิว ริมฝีปากสีลูกอิงเถา จมูกงดงาม ใบหน้าขาวละเอียดอ่อนดูงามตา กริยาชดช้อยดั่งดอกบัวที่ผลิบานบนผืนน้ำ นับว่ามีเสน่ห์ดึงดูดอย่างยิ่ง

แต่เมื่อต้องเผชิญกับองครักษ์กว่าสิบคน ใบหน้าเล็กกลับซีดขาว นัยน์ตากระจ่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เหมือนกวางตัวน้อยที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ที่ใครเห็นเป็นต้องเกิดความสงสาร

จากประสบการณ์ของเฉินซี หญิงสาวคงไม่ได้โกหก ทั้งยังโกหกไม่ได้ เพราะในสถานการณ์เช่นนี้โกหกไปก็ไม่คุ้มเสีย

“โอ้ เด็กคนนี้หน้าตางดงามจริง”

“ฮ่า ๆ! สาวน้อยอย่าได้กลัวไป พี่ชายจะลงมืออย่างอ่อนโยนเอง”

“ไหนให้ข้าเดาว่าเจ้าซ่อนคลังสมบัติวิเศษไว้ที่ไหน หรือว่าจะอยู่ในจี้หยกตรงหน้าอก หรือจะในผ้าคาดของนางกันนะ? ลองถอดผ้าคาดกับชุดออกเพื่อค้นตัวดีหรือไม่?”

พวกยามทั้งหลายมีสีหน้าหื่นกาม เอ่ยถึงเรือนร่างหญิงสาวด้วยวาจาท่าทางน่ารังเกียจยิ่ง

“ข้า ข้าไม่มีคลังสมบัติวิเศษติดตัว” หญิงสาวทั้งโกรธทั้งอาย สีหน้าผันเปลี่ยนไปมา นัยน์ตาฉ่ำน้ำตาปริ่มไหล ท่าทางบอบบางเช่นนี้ทำให้พวกยามยิ่งหัวเราะกันหนักขึ้นและลงมือหนักกว่าเก่า

“ในสถานการณ์เช่นนี้แม่นางคงไม่ได้โกหก” เฉินซีมุ่นคิ้ว อดพูดขึ้นมาไม่ได้

ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี เงาแส้ก็วาดเข้าซัดใบหน้าเฉินซีอย่างแรง

เฉินซีหรี่ตาลง แต่สุดท้ายก็ยับยั้งตัวเองไม่ให้กระโดดหลบ เป็นไปอย่างที่คิด เงาแส้นี้เฆี่ยนลงบนใบหน้าของเขาอย่างแรงจนทิ้งรอยเลือดไว้

“ถุย! เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? มีอำนาจมาพูดหรือไง? หากกล้าสะเออะพูดขึ้นมาอีกข้าจะเฆี่ยนเจ้าให้ตายไปเลย” องครักษ์นั่นเก็บแส้เหล็กกลับไป แล้วมองเฉินซีด้วยสายตาถากถางที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร

เฉินซีเช็ดเลือดมุมปาก สีหน้านิ่งสงบยิ่ง เขาไม่ได้ลิ้มรสชาติเลือดมานาน แต่ไม่คิดเลยว่าเพิ่งมาถึงภพเซียนก็ต้องมาเจออะไรแบบนี้

ชายหนุ่มรู้ดีว่าตอนนี้พลังยังไม่กลับคืนมาทั้งหมด ทั้งยังกลั่นพลังแห่งกฎไม่ได้ ตอนนี้จึงได้แต่อดทนไปก่อน แต่ในใจได้คาดโทษตายให้คนผู้นี้ไว้แล้ว

“เอาล่ะ ไม่ต้องค้นตัวนางหรอก” ในขณะเดียวกันนั้น เหวยเจิ้งก็เหลือบสายตาเย็นชามองเฉินซี ก่อนลากไปทางหญิงสาว จากนั้นก็โบกมือสั่งให้พวกองค์รักษ์ถอยไป

“หึ! ไอ้หนู! กล้าทำข้าเสียเรื่อง! เจ้าไม่รอดแน่!” ข้างหูเฉินซีพลันได้ยินเสียงเยือกเย็น ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นคนที่เฆี่ยนเขาเมื่อก่อนหน้านี้

‘หลู่เฟิงหรือ? แล้วข้าจะรอ’ เฉินซีคิดในใจ เขาจดจำชื่อที่พวกยามคุยกันไว้มั่น

จากนั้นเฉินซีและคนอื่น ๆ ก็ได้รับตะกร้าเหล็กมาคนละใบจากชายแก่หน้าขรึมคนหนึ่งนามโหลวเฟิง ก่อนองครักษ์ผู้หนึ่งจะนำทุกคนเดินไปตามโพรงจนมาถึงเรือนพักตั้งเรียงกัน

ทั้งหมดทำมาจากหิน เรียงรายกันเหมือนงูขดตัวกันหนาตา

“หึ! พวกเจ้าโชคดีไม่น้อย วันนี้เพิ่งจะมีขยะยี่สิบกว่าชิ้นตายไป พวกเจ้าจะได้เลือกห้องที่ขยะพวกนั้นทิ้งไว้ จำไว้ว่าคืนนี้ต้องอยู่แต่ในห้องตนเอง หากขัดคำสั่งก็เตรียมรับโทษไว้ด้วย!” องค์รักษ์ที่เดินนำพวกเขามาสั่งเสียงเย็น ก่อนจะก้าวเท้ายาว ๆ เดินจากไป

“ทาสหรือ? ใครจะคิดว่าหลังจากขึ้นภพเซียนมาได้ เพียงชั่วข้ามคืนก็ต้องตกอยู่ในสภาพนี้? หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ใครจะอยากขึ้นมาเป็นเซียนกัน?” เมื่อพวกยามจากไปแล้ว ก็มีคนหนึ่งถอนหายใจออกมา

“หึ! ก็เพราะโชคร้ายต่างหาก ไม่ต้องโกรธสวรรค์หรือโทษคนอื่นหรอก ภพเซียนแล้วอย่างไร? ตราบใดที่เราแข็งแกร่งก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้!” บางคนก็คิดต่างกัน

“ถูกต้อง พวกเราทุกคนที่ขึ้นมาจากภพมนุษย์พบความยากลำบากมามากมาย สู้ฟันฝ่าคนนับล้านมาเท่าไหร่ สุดท้ายก็ขึ้นมาเป็นเซียนได้! ตอนนี้อดทนไว้ก่อน ต่อไปหากมีโอกาส… หึ!” อีกคนมีสีหน้าโหดเหี้ยม คล้ายกับแก้แค้นตอนไหนก็ไม่สายเกินไป

หลังจากคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ผู้ข้ามผ่านทั้งหลายก็กลับห้องตนเอง

ก็อย่างที่พวกเขาว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายผ่านทัณฑ์สวรรค์มานักต่อนักและสามารถขึ้นมาภพเซียนได้นับว่าไม่ใช่พวกอ่อนแอ แต่เป็นเพียงมือใหม่ ทำให้ยังปรับตัวเข้ากับภพเซียนได้ไม่สมบูรณ์เท่านั้น

สิ่งที่พวกเขาขาดคือเวลา…

“ขอบ…ขอบคุณคุณชายเมื่อก่อนหน้านี้มาก” หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วเอ่ยขอบคุณเฉินซีเสียงเบา

“ไม่จำเป็นหรอก สุดท้ายก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก แถมยังถูกเฆี่ยนเสียอีก” เฉินซีหัวเราะเยาะตนเอง

“อย่างไรคุณชายก็เป็นคนดี” หญิงสาวเหมือนไม่ค่อยได้คุยกับเพศตรงข้ามมากนัก เวลาพูดจึงให้ความรู้สึกเขินอายเอ่ยเสียงเบา พริบตาเดียวนางก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเสียงเครียด “ข้าชื่อมู่หลิงหลงจากภพฟ้าดิน ขอทราบนามของคุณชายได้หรือไม่?”

“เฉินซีจากแดนภวังค์ทมิฬ” เฉินซีเอ่ยยิ้ม ๆ

“เฉินซี…” มู่หลิงหลงย้ำชื่อเขาอีกครั้งแล้วพยักหน้า “คุณชายเฉินซี ต่อไปข้าจะทดแทนบุญคุณแน่!”

พูดจบนางก็ก้มหัวให้แล้วรีบจากไป

“ภพฟ้าดิน เป็นโลกขนาดใหญ่ที่เก่าแก่เสียยิ่งกว่าแดนภวังค์ทมิฬ ศิษย์พี่หญิงเหมือนเคยกล่าวไว้ว่าราชันเซียนผู้ทรงอำนาจคนหนึ่งแห่งภพเซียนก็มาจากภพฟ้าดิน…” เฉินซีครุ่นคิด แต่ก็ปัดความคิดพวกนั้นทิ้งไปแล้วเลือกห้องว่าง ๆ ห้องหนึ่ง

ยามดึกคืนนั้น เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่ในโลกแห่งดารา สูดลมหายใจเข้าออกเงียบ ๆ

ต้นอ่อนเงาทมิฬภายในร่างปล่อยกระแสปราณเซียนบริสุทธิ์ออกมา เติมเต็มแดนฮุ่นตุ้นอันไร้ขอบเขตในท้องทะเลแห่งลมปราณ พร้อมกันนั้นญาณมหาเทวะอมตะก็พลุ่งพล่านกรีดเสียงราวกับคลื่นสมุทรภายในห้วงจิตสำนึก ส่งเสียงครืนดังออกมา

การขึ้นจากขอบเขตเซียนปฐพีไปเป็นขอบเขตเซียนสวรรค์ก็เหมือนความสัมพันธ์ของฟ้ากับดิน ต่างกันราวฟ้ากับเหว นับเป็นก้าวกระโดดที่ไกลยิ่ง

สิ่งที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดคือการที่ปราณเซียนเปลี่ยนเป็นปราณเซียนพิสุทธิ์ ญาณเทวะอมตะเป็นญาณมหาเทวะอมตะ ร่างมนุษย์กลายเป็นร่างเซียน

หลังจากบ่มเพาะจนถึงขั้นนี้แล้วก็จะมีอายุขัยยืนยาวจนเป็นนิรันดร์!

แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องอายุขัย เซียนสวรรค์เองก็ยังสามารถล้มได้ ฉะนั้นถึงแม้จะผ่านมาหลายชั่วอายุคน แต่ก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าตนเองเป็นอมตะ

ไม่เลวเลยด้วยความเร็วเช่นนี้ ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็สามารถฟื้นพลังกลับคืนได้แล้ว น่าเสียดายที่กฎแห่งเวลาภายในโลกแห่งดาราถูกกดดันอย่างหนักหลังจากมาถึงภพเซียน… หลังจากที่เขาขึ้นขอบเขตเซียนสวรรค์ เฉินซีก็สัมผัสถึงการไหลเวียนของกฎแห่งเวลาภายในโลกแห่งดาราได้อย่างชัดเจน ถึงจะไม่เข้าใจ แต่ก็พอประเมินได้ว่ากฎแห่งเวลาภายในโลกแห่งดาราถูกลดพลังลงกว่าครึ่งหลังจากขึ้นมาที่ภพเซียน

หรือก็คือในอดีต สิบวันในโลกแห่งดาราเทียบเท่ากับหนึ่งวันของโลกภายนอก

ทว่าตอนนี้ห้าวันในโลกแห่งดาราเทียบเท่ากับหนึ่งวันของโลกภายนอกแล้ว

ซึ่งทำให้เฉินซีรู้สึกเสียดายไม่น้อย แต่ก็โล่งใจว่าถึงแม้กฎแห่งเวลาจะถูกลดพลังลง แต่ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นเคหาหลังจากเขาเข้าภพเซียนมาได้

เป็นเพราะกฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่แตกต่างกัน

ในภพมนุษย์ ยอดฝีมือภพเซียนเป็นผู้ควบคุมกฎแห่งเต๋าสวรรค์ แต่ในภพเซียนนั้นต่างกัน กฎแห่งเต๋าสวรรค์ภพเซียนเป็นสิ่งที่กระทั่งราชันเซียนยังไม่กล้าพูดว่าจะถือครองใช้ประโยชน์ได้

หากเฉินซีไม่เปิดเผยเคหาที่มีให้ใครรู้ เขาก็จะสามารถใช้มันได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องระมัดระวังอะไรมาก หรือไม่ต้องคอยหลบซ่อนเวลาใช้เหมือนยามอยู่ในภพมนุษย์

เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ให้ร่างหลักบ่มเพาะพลังอยู่ในโลกแห่งดารา ส่วนร่างอวตารก็ทำภารกิจไปแทน หากใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด อีกไม่นานก็หนีออกไปจากที่นี่ได้ ถึงตอนนั้น… ภาพขององครักษ์ผู้นั้น ‘หลู่เฟิง’ ปรากฏขึ้นในหัว ในใจเกิดจิตสังหารวาดผ่าน

จากนั้นชายหนุ่มก็กลับคืนสู่ความสงบและตั้งสมาธิทำความเข้าใจอย่างล้ำลึก

เช้าตรู่วันถัดมา

ฟ้ายังไม่ทันสางก็ได้ยินเสียงก่นด่าดังมาจากด้านนอกแล้ว

“ได้เวลาตื่นแล้ว! รีบไสหัวมาทำงานเสีย! พวกเจ้ารู้กฎดี ส่งศิลากำเนิดวิญญาณครามสิบชิ้นเพื่อแลกกับศิลาอมตะสิบชิ้น”

“หากน้อยไปหนึ่งชิ้นจะถูกเฆี่ยนหนึ่งครั้ง!”

“ใครที่หาได้น้อยกว่าห้าชิ้นจะถูกสังหารทันที!”

เมื่อเฉินซีเดินออกมาจากที่พักก็เห็นผู้ข้ามผ่านคนอื่น ๆ ออกมาเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าทุกคนออกมากันครบแล้ว ยามคนนั้นก็โบกมือแล้วพาพวกเขาเคลื่อนมิติผ่านภูเขามากมาย ในที่สุดก็มาถึงประตูหน้าเมืองที่อยู่ส่วนลึกอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้าดูให้ดี นี่คือศิลากำเนิดวิญญาณคราม ทุกชิ้นต้องมีขนาดเท่านี้ หากหามาได้ชิ้นเล็กกว่านี้ก็จะถูกเฆี่ยนเช่นกัน!” องค์รักษ์คนนั้นเก็บหินสีน้ำเงินเข้มกลับไปหลังจากทุกคนเห็นตัวอย่างแล้ว จากนั้นก็เอ่ยเสียงเย็น “อย่าหาว่าข้าไม่เตือน หากใครกล้าซ่อนคลังสมบัติวิเศษเอาไว้ หากถูกค้นเจอจะถูกสังหารทิ้งทันที ส่วนศพก็จะเอาไปให้พยัคฆ์ลายโลหิตกินเสีย!”

พูดจบเขาก็โบกมือเป็นสัญญาณ

ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!

ทุกคนพุ่งเข้าไปทันที

มันเป็นทางเข้าที่เงียบสงัดและลึกมาก อีกทั้งยังมีหลายทางให้เลือก พริบตาเดียวทุกคนก็พุ่งเข้าไปในทางแยกหลากหลายนั้น

ไม่มีใครคิดจะไปกับคนอื่นเลย

เพราะจากที่องครักษ์คนนั้นอธิบายมา ศิลากำเนิดวิญญาณครามในเมืองแห่งนี้ถูกขุดมานาน ดังนั้นจึงหายากยิ่ง แทบจะหมดเหมืองแล้วด้วยซ้ำ

ดังนั้นการขุดหาศิลากำเนิดวิญญาณครามสิบชิ้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

เช่นนี้แล้วหากเข้าไปกันเป็นกลุ่มคงไม่สามารถหาได้ครบเป็นแน่

ศิลากำเนิดวิญญาณครามสามารถนำไปใช้กลั่นเป็นเหล็กวิญญาณครามที่มีปราณวิญญาณครามได้ มันเป็นวัตถุดิบเซียนขั้นกลางใช้สร้างสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬ… เฉินซีเคลื่อนตัวเข้าส่วนลึกของเหมืองอย่างรวดเร็วในขณะที่นึกย้อนถึงข้อมูลเกี่ยวกับศิลากำเนิดวิญญาณคราม

ตอนนี้เขารู้ดีว่าสมบัติอมตะในภพเซียนถูกแบ่งออกเป็นระดับธรรมดา ระดับวิญญาณทมิฬ ระดับจักรวาล ระดับวีรบุรุษ และระดับว่างเปล่า ทุกระดับแบ่งออกเป็นสามชั้นคือ สูง กลาง และต่ำ

วัตถุดิบเซียนก็ถูกแบ่งออกเป็นห้าขั้นเช่นกัน ขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง ขั้นสุด และขั้นราชันย์ แต่ละขั้นเทียบได้กับระดับทั้งห้าของสมบัติอมตะ

ศิลากำเนิดวิญญาณครามเป็นวัตถุดิบเซียนขั้นกลาง เป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการสร้างสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬ ยิ่งเมื่อกลั่นกระบี่เซียนหรือสมบัติวิเศษสายโจมตีเช่นกระบี่หรือดาบ หากเสริมเหล็กวิญญาณครามเข้าไปอีกเล็กน้อยก็จะช่วยเพิ่มความสามารถและความแข็งแกร่งขึ้นได้มาก ทำให้มันเป็นของที่ล้ำค่าพอสมควร

ไม่รู้ว่าสมบัติอย่างกระบี่ต้องห้ามสังหารปราชญ์ กระบี่เต๋าวิบัติ และโคมเขียวปัดเป่าภัยพิบัติอยู่ที่ระดับไหนกันบ้าง? เฉินซีพลันนึกถึงสมบัติทั้งหลายที่เขาถือครองอยู่ขึ้นมา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท