บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1022 การเผชิญหน้า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1022 การเผชิญหน้า

บทที่ 1022 การเผชิญหน้า

ในราตรีอันมืดมิด แสงอรุณกำลังจะทะลวงผ่านความมืด

เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องอย่างน่าสังเวชดังออกมาจากภายในอุโมงค์ ก่อนที่มันจะเลือนหายไป สีหน้าของเหวยเจิ้ง โหลวเฟิงกับเซวียคุนก็มืดมนและหนักอึ้งเป็นอย่างมาก

“พวกมันน่าจะตายหมดแล้ว” โหลวเฟิงขมวดคิ้ว ขณะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“อาจไม่ใช่อย่างนั้น บางทีเหล่าผู้ข้ามผ่านและเจ้าเด็กนั่นอาจยังมีชีวิตอยู่” เหวยเจิ้งพึมพำ “เหมือนเราจะประเมินความสามารถของเจ้าเด็กนั่นต่ำไปอีกแล้ว”

“ข้าจะไปดูเอง” เซวียคุนกัดฟันแน่น เผยสีหน้าอำมหิตออกมา “บางทีอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันบางอย่างในอุโมงค์ก็เป็นได้”

“ไม่จำเป็น” เว่ยเฟิงหยุดเขาด้วยเสียงอันน่ากลัว “หรือเจ้าอยากเดินตามรอยเท้าของหวงซิน? ถ้าไม่อยากตายก็จงอยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟังซะ!”

ใบหน้าของเซวียคุนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะจ้องมองเหวยเจิ้ง และถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แล้วเจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไร?”

“เราควรทำอย่างไรน่ะหรือ? มันง่ายมาก ยังไม่สายเกินไปที่จะฆ่าเจ้าเด็กนั้นเมื่อมันโผล่หัวออกมาจากอุโมงค์”

เว่ยเจิงกลับคืนสู่ความสงบแล้ว สายตาของเขาทั้งลึกล้ำและแฝงไปด้วยแสงเล็กน้อย “ข้าขอถามพวกเจ้า ถ้าเจ้าเด็กนั่นมีพลังที่สามารถเอาชนะพวกเราได้จริง ๆ อย่างนั้นเขาจะซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ตลอดไปได้หรือ?”

โหลวเฟิงตกตะลึง “แต่หวงซินก็ตายด้วยน้ำมือของมัน!”

เซวียคุนคำรามด้วยความโกรธ “หยุดกล่าวถึงศิษย์น้องหวงซินเดี๋ยวนี้!”

“นั่นอาจเป็นอุบัติเหตุ หรืออาจเป็นเพราะเจ้าเด็กนั่นมีพลังที่สามารถสังหารเซียนสวรรค์ขั้นกลางที่ควบแน่นพลังของกฎได้ แต่หลังจากก่อเรื่องแล้ว มันก็ยังไม่กล้าโผล่หัวออกมาจากอุโมงค์ มีความหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เจ้าเด็กนั่นรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา มันจึงได้แต่หดหัวอยู่ในอุโมงค์ และฉวยโอกาสนี้พัฒนาความแข็งแกร่งของมัน”

ดวงตาข้างเดียวของเหวยเจิ้งเต็มไปด้วยประกายแสงลึกล้ำ เย็นชา และน่าสยดสยอง “เป็นที่ทราบกันทั่วว่า ไม่ว่าพรสวรรค์ของผู้ข้ามผ่านจะไม่ธรรมดาสักเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะควบแน่นพลังของกฎได้ภายในสองวัน ดังนั้นหากเจ้าเด็กนั่นตั้งใจจะพึ่งพาพลังของมันเพื่อเอาชนะเรา มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้ในระยะเวลาอันสั้น”

โหลวเฟิงกับเซวียคุนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้

“ดังนั้นเราไม่อาจปล่อยให้มันได้พัฒนาความแข็งแกร่งอีกต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้ ไม่ใช่การเข้าไปในอุโมงค์ แต่ต้องบังคับให้มันโผล่หัวออกมาจากอุโมงค์!” เหวยเจิ้งกล่าวอย่างเย็นชา “ด้วยวิธีนี้ เราจะเห็นได้ด้วยสองตาของเราเองว่า เจ้าเด็กนั่นมีความสามารถแกร่งกล้าอันใด แม้เราจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่อย่าลืมว่าใต้เท้าสยงหมิงได้เฝ้าระวังอยู่ตลอด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะมีโอกาสรอดอีกหรือไม่?”

ดวงตาของโหลวเฟิงเป็นประกาย เขาปรบมือและกล่าวว่า “นั่นเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยม”

เซวียคุนกลับแค่นเสียงเย็น “บังคับให้มันโผล่ออกมา? ช่างน่าขบขันเสียจริง! แม้แต่หมอกวิบัติเบญจพิษก็ทำอะไรไอ้สารเลวนั่นไม่ได้!”

“งั้นเราจะทำลายอุโมงค์นี้ซะ!” เหวยเจิ้งตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และน้ำเสียงของเขาก็เผยถึงความเหี้ยมโหด

“ตราบใดที่เราสามารถขจัดปัญหาทั้งหมดในอนาคตได้ การสูญเสียศิลากำเนิดวิญญาณครามไปบางส่วนก็หาได้เป็นอะไรไม่ แม้ว่าใต้เท้าสยงหมิงจะรู้เรื่องนี้เข้า แต่ท่านจะไม่ถือสาแน่นอน”

โหลวเฟิงกับเซวียคุนมองหน้ากัน และไม่กล่าวอะไรอีก

“ถ้าเจ้าทั้งคู่ตกลง งั้นเรามาลงมือกันเถอะ รุ่งสางใกล้จะมาถึงแล้ว และเราจะชักช้าไม่ได้” เหวยเจิ้งแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ลึกล้ำและมืดมิด

ตู้ม!

จู่ ๆ คลื่นสั่นสะเทือนรุนแรงก็เกิดขึ้นภายในอุโมงค์ ทำให้หินถล่มและฝุ่นฟุ้งกระจายไปในอากาศ

ผู้ข้ามผ่านทุกคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นโดยมีศิลาอมตะอยู่ในมือ ขณะกำลังฟื้นฟูพลังอมตะของตนต่างถูกแรงสั่นสะเทือนปลุกให้ตื่นจากการทำสมาธิ และรู้สึกงุนงงเล็กน้อย

“ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปเช่นกัน พวกมันตั้งใจทำลายอุโมงค์นี้เพื่อบังคับให้เราออกไป” เสียงของเฉินซีดังก้องออกไปโดยรอบ และทำให้สีหน้าของผู้ข้ามผ่านเคร่งเครียดขึ้น

พวกเขาอยู่ลึกลงมาใต้พื้นดินมาก หากอุโมงค์นี้ถูกทำลาย ก็ยากจะกลับขึ้นไปบนผืนดิน

ถึงขนาดที่ชีวิตอาจตกอยู่ในอันตรายด้วยซ้ำ!

แม้อุโมงค์นี้จะเต็มไปด้วยปราณวิญญาณคราม และไม่มีใครสามารถคงอยู่ได้ หากไม่มีศิลาอมตะเพียงพอก็ตาม

มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่มีท่าทางค่อนข้างสงบ ราวกับว่าเขาได้คาดถึงสิ่งนี้อยู่แล้ว

“เราเสียเวลาไม่ได้แล้ว ไปกันเถอะ!” เฉินซีสั่ง แต่ไม่ได้เป็นคนแรกที่ออกไป เขากลับเดินไปทางกำแพงแทน ก่อนจะพามู่หลิงหลงออกมา

อันที่จริง เฉินซีไม่จำเป็นต้องสั่งพวกเขาเลย เมื่อรู้ว่าอุโมงค์กำลังถูกทำลาย จึงไม่มีใครคิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ทุกคนพากันพุ่งตัวไปยังทางออกอย่างบ้าคลั่งด้วยสีหน้าวิตกกังวล และหวาดกลัวอย่างยิ่งว่าจะถูกกลบฝังทั้งเป็นอยู่ที่นี่ หากล่าช้าเกินไป

“เหตุใดพวกเขาถึงทำเช่นนี้!? ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะช่วยเหลือท่านหรือ? เหตุใดถึงพากันหนีไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แล้วพวกเขาจะช่วยพวกเราได้อย่างไร?!”

มู่หลิงหลงโกรธจัด คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้

“ข้าไม่เคยตั้งความหวังว่าพวกมันจะให้ความช่วยเหลือใด ๆ ที่ข้ามอบศิลาอมตะแก่พวกมัน ก็เพื่อฟื้นปราณเซียนของพวกมันเท่านั้น ข้าแค่ไม่ต้องการให้พวกมันช่วยเหลือศัตรู ฉะนั้นไม่ต้องกล่าวถึงแนวป้องกันมากมายที่อาจถูกตั้งขึ้นในอุโมงค์นี้ แล้วพวกมันจะหลบหนีไปได้อย่างไร” เฉินซีหัวเราะเบา ๆ และพุ่งไปยังทางออกของอุโมงค์อย่างรวดเร็วพร้อมกับมู่หลิงหลง

“ท่านไม่กังวลว่าพวกมันจะหันกลับมาแว้งกัดท่านหรือ?” มู่หลิงหลงกล่าวด้วยความกังวล

“พวกมันฆ่าองค์รักษ์ไปหลายคนและได้รู้เกี่ยวกับหมอกวิบัติเบญจพิษ เจ้าคิดว่าศัตรูจะยอมปล่อยพวกมันให้มีชีวิตอยู่อีกหรือ?” เฉินซีมีสีหน้าสงบและสายตาลึกล้ำ “หากผู้ข้ามผ่านเหล่านี้ไม่เสียสติ พวกมันจะไม่เป็นศัตรูกับข้าอย่างแน่นอน ทว่าพวกมันอาจต้องพึ่งพากำลังของข้าเพื่อหลบหนีในที่สุด”

มู่หลิงหลงตกตะลึง ดวงตาใสกระจ่างของนางเปล่งประกาย และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมในความเข้าใจของตน

ผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชาต่อมา เมื่อเฉินซีกับมู่หลิงหลงกลับขึ้นมาถึงพื้นดิน ก็พบกับเหล่าผู้ข้ามผ่านที่มาถึงก่อนหน้านี้กำลังยืนอยู่นอกอุโมงค์ด้วยสีหน้าหนักใจ ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ผู้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามคือเหวยเจิ้ง โหลวเฟิง และเซวียคุน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้ปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของทุกคนโดยสมบูรณ์

ตู้ม!

ในขณะเดียวกัน อุโมงค์ก็พังทลายลง เกิดเสียงดังก้องเหมือนเสียงฟ้าร้อง ขณะที่ฝุ่นผงและควันฟุ้งกระจายไปในอากาศ พื้นดินในรัศมีสองพันห้าร้อยลี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

แต่ไม่มีใครให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้

ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้ข้ามผ่านหรือกลุ่มของเหวยเจิ้ง สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องมาที่เฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ดูเหมือนข้ารับใช้ของข้าจะถูกพวกเจ้าสังหารจนสิ้น” ท่ามกลางความเงียบงันนี้ เหวยเจิ้งกล่าว ใช้ดวงตาข้างเดียวของเขากวาดผ่านผู้ข้ามผ่านทั้งหมดอย่างเย็นชา และหยุดลงที่เฉินซี ก่อนมันจะเปล่งประกายด้วยแสงเรืองรองปกคลุมไปด้วยพลังแห่งกฎ จากนั้นก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ผู้ขัดเกลากายาขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดหรือ?”

ทันทีที่กล่าวออกมา ไม่ใช่แค่บรรดาผู้ข้ามผ่านที่ตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่โหลวเฟิงกับเซวียคุนก็ตกตะลึง และรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย

นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริง ไม่มีทางที่ผู้ขัดเกลาขอบเขตเขตเซียนปฐพีระดับแปดจะสามารถฝ่าม่านพลังของฟ้าดินเพื่อขึ้นสู่ภพเซียนได้!

“น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ ไม่แปลกใจที่ราชันเซียนลิ่นฮ่าวจะสั่งจับตัวเจ้า เซียนปฐพีตัวเล็ก ๆ สามารถขึ้นสู่ภพเซียนและสังหารหวงซินซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง อีกทั้งเจ้ายังไม่กลัวภัยคุกคามจากหมอกวิบัติเบญจพิษ ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้ามีสมบัติล้ำค่าอยู่ในครอบครองหรือไม่?” ดวงตาของเหวยเจิ้งหรี่ลงขณะกล่าวช้า ๆ

สมบัติล้ำค่า!

ทุกคนตกตะลึง ก่อนที่ความเข้าใจในฉับพลันจะฉายชัดในดวงตาของพวกเขา มีเพียงคำอธิบายนี้เท่านั้นที่ดูสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง มิฉะนั้น มันคงจะแปลกประหลาดและไร้เหตุผลเกินไป

สีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขากล่าวกับมู่หลิงหลงผ่านกระแสปราณด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เซียนลึกลับนั้นอาจลงมือในภายหลัง ดังนั้นระวังตัวด้วย”

มู่หลิงหลงพึมพำรับทราบ

“ใครจะสนใจว่ามันมีสมบัติล้ำค่าหรือไม่? ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยหลังจากเราฆ่ามันแล้ว” เซวียคุนกัดฟัน “เราไม่สามารถปล่อยผู้ข้ามผ่านเหล่านี้ออกไปได้เช่นกัน พวกมันกล้าช่วยเด็กคนนี้ฆ่าข้ารับใช้ของเรา พวกมันช่างรนหาที่ตาย!”

สีหน้าของผู้ข้ามผ่านทั้งหมดเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และความหวังในใจของพวกเขาก็ดับลง

มีใครบางคนไม่สามารถหักห้ามตัวเองจากการเยาะเย้ยนี้ได้ “พวกขยะน่ารังเกียจทั้งหลาย พวกเจ้าไม่เพียงตั้งใจวางแผนร้ายต่อผู้ข้ามผ่านเท่านั้น แต่ยังขัดเกลาสมบัติต้องห้ามอย่างหมอกวิบัติเบญจพิษด้วย ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป พวกเจ้าอย่าได้ฝันถึงการมีชีวิตรอดเลย!”

“ถูกต้อง หากพวกเราหลบหนีไปได้ในครั้งนี้ ข้าจะแจ้งเรื่องนี้ต่อบรรพบุรุษของข้าอย่างแน่นอน เพื่อประกาศเรื่องนี้ไปทั่วโลก ถึงเวลานั้น แม้แต่ราชันเซียนก็ไม่อาจช่วยชีวิตพวกเจ้าได้!”

“เอาล่ะ มาสู้กับพวกมันให้ตายกันไปข้างกันเถอะ มันกล้าสั่งเราเยี่ยงทาส ดังนั้นเราจะปล่อยให้หนีไปไม่ได้เด็ดขาด”

ผู้ข้ามผ่านคนอื่น ๆ ต่างคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว

พวกเขาได้รับศิลาอมตะจากเฉินซี ยามอยู่ภายในอุโมงค์ แม้ว่าปราณเซียนพิสุทธิ์จะยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ แต่ก็พอมีพลังในการต่อสู้บ้างแล้ว เมื่อรวมกับจำนวนคนในตอนนี้ กอปรกับเลิกเสแสร้งเอาใจเหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ พวกเขาย่อมไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด

“ช่างน่าขันเสียจริง! พวกเจ้าคิดว่าวันนี้จะมีโอกาสหนีไปได้หรือ?” โหลวเฟิงเยาะเย้ยอย่างชั่วร้าย ใบหน้าผอมแห้งและไร้ความปรานีเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “พวกเจ้าทั้งหมดเป็นเพียงก้อนขยะที่ยังไม่ได้ควบแน่นพลังกฎ แล้วจะมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ ถ้าพวกเจ้าทั้งหมดถูกฆ่าตายเสียก่อน”

สีหน้าของทุกคนมืดมนลง เพราะพวกเขากลัวเรื่องนี้จริง ๆ

“พวกเจ้าแค่สามคนคงไม่สามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จได้” เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็น

“ฮึ่ม! เจ้ามันก็แค่ผู้ขัดเกลากายาขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดตัวเล็ก ๆ แต่กลับกล้ากล่าววาจาโอ้อวดอย่างนั้นหรือ? ช่างน่าหัวเราะเสียจริง!” ดวงตาของเซวียคุนแดงก่ำ พลางจ้องมองเฉินซีอย่างแน่วแน่ ไม่คิดปกปิดจิตสังหารอันหนาแน่นของตน

“มันน่าหัวเราะรึ? หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าหวงซินตายได้อย่างไร” เฉินซีกล่าวอย่างสบาย ๆ

ทันทีที่หวงซินถูกกล่าวถึง ใบหน้าอวบอ้วนของเซวียคุนก็บิดเบี้ยวจนเปลี่ยนเป็นอำมหิต จิตสังหารแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า เขากำลังจะขาดสติ

อย่างไรก็ตาม เสียงอันหนักอึ้งและน่าสะพรึงกลัวได้ดังก้องมาจากระยะไกล “ถ้าทั้งสามคนไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ แล้วถ้ารวมข้าเข้าไปด้วยเล่า?”

เจ้าของเสียงนี้คือร่างกำยำ สูงตระหง่าน พุ่งทะยานผ่านม่านราตรียามค่ำคืน และลอยอยู่เหนือท้องฟ้า

“ใต้เท้าสยงหมิง!” เหวยเจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง ก่อนจะโค้งคำนับอย่างยำเกรง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสยงหมิงจะวิตกกังวลถึงขนาดมาที่นี่ด้วยตัวเอง ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นสยงหมิงมาถึง ใบหน้าของเหล่าผู้ข้ามผ่านกลายเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่งทันที

แม้จะรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงอุปสรรคอย่างเซียนลึกลับได้อย่างแน่นอน แต่ก็ยังคงรู้สึกหนักอึ้งและบีบคั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสยงหมิงจริง ๆ

เซียนลึกลับ!

เซียนลึกลับคือผู้ก้าวข้ามอุปสรรคของความลึกลับทั้งสาม เป็นตัวตนน่าสะพรึงกลัวที่ครอบครองจิตวิญญาณแห่งสวรรค์ โลก และพลังชีวิตอย่างสมบูรณ์! แม้อีกฝ่ายจะมีเพียงคนเดียว แต่ความแข็งแกร่งก็เพียงพอที่จะทำลายล้างพวกเขาทั้งหมดได้ในพริบตา

ช่องว่างขนาดใหญ่ในการบ่มเพาะระหว่างคนทั้งสองฝ่าย กระตุ้นความสิ้นหวังในหัวใจของทุกคน เหมือนช่องว่างที่ยากจะเอาชนะ

ท่ามกลางบรรยากาศอันเยือกเย็นนี้ เฉินซีแหงนหน้ามองสยงหมิงที่อยู่ในระยะไกลด้วยสายตาสงบนิ่ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มลึกลับ “หากเจ้ารวมอยู่ในนั้นด้วย ก็เป็นแค่ไอ้สารเลวอีกหนึ่งตัวที่กำลังจะตายในวันนี้”

น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งเสียจนทำให้ทุกคนตกใจจนแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท