บทที่ 1046 งานเลี้ยงตอนค่ำในตระกูลเหลียง
บทที่ 1046 งานเลี้ยงตอนค่ำในตระกูลเหลียง
ก่อนหน้านี้ไม่นาน บริเวณโดยรอบยังเต็มไปด้วยจิตสังหารหนาแน่น
ทว่าเพียงชั่วครู่ กลับกลายเป็นถนนที่พลุกพล่าน และคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถม้ามากมาย
ความแตกต่างราวฟ้ากับเหวนี้ ทำให้เฉินซีสับสนมึนงง และเริ่มหัวเราะออกมาด้วยโล่งใจราวกับได้ยกหินก้อนใหญ่ที่กดทับหัวใจออกไป ร่างกายผ่อนคลายอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน
การแสดงออกของเขา ทำให้คนที่ผ่านไปมามองด้วยสายตาแปลก ๆ เหมือนกำลังมองคนวิปลาส
มีเพียงเหลียงปิงเท่านั้นที่เข้าใจท่าทางนี้ บางทีช่วงเวลานี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายที่สุดสำหรับเฉินซีนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ภพเซียน ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกไล่ล่าหรือถูกจับกุมตัวอีกต่อไป
ถึงขนาดที่เหลียงปิงยังไม่กล้าจินตนาการเลยว่าเฉินซีที่เพิ่งขึ้นสู่ภพเซียนได้ไม่ถึงเดือน เป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น จะสามารถอยู่รอดท่ามกลางศัตรูที่กำลังเฝ้ารอโอกาสจู่โจมตนได้อย่างไร
“ไปพักผ่อนที่ตำหนักของข้าก่อนเถอะ” เหลียงปิงกล่าวด้วยเสียงเป็นกังวล
เฉินซีพยักหน้า “ได้”
เมื่อรู้สึกผ่อนคลาย แม้จะมีการบ่มเพาะในดวงจิตแห่งเต๋า เขาก็รู้สึกถึงคลื่นแห่งความเหนื่อยล้า ซึ่งไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการได้พักผ่อนอีกแล้ว
เสวียนอวิ๋นจึงสบโอกาสกล่าวลา และปลีกตัวไปพร้อมกับอู๋ซวิน และย้ำเฉินซีว่าต้องไปที่สำนักศึกษาจตุรเทพให้ได้ ยังมีเรื่องเต๋าแห่งยันต์อักขระที่ยังอยากสนทนาร่วมกันอยู่
เฉินซียิ้ม และกล่าวตอบรับคำเชิญแสนอบอุ่นและจริงใจนี้
เสวียนอวิ๋นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“พี่ใหญ่เฉินซี ท่านพ่อฝากสิ่งนี้มาให้ท่าน โปรดรับมันไว้ด้วย” ในขณะเดียวกัน อู๋ซวินก็ได้มอบป้ายขนาดเท่าฝ่ามือโปร่งใสดุจผลึกแก้วให้กับเฉินซี
นี่คือ ป้ายคลื่นทองคำของศาลาเซียนคลื่นทองคำ เป็นตัวแทนของแขกคนสำคัญ ผู้ที่ถือป้ายนี้จะสามารถรับผลประโยชน์อันยอดเยี่ยมเมื่อใช้จ่ายในศาลาเซียนคลื่นทองคำภายในภพเซียน
แม้แต่อู๋หยวนก็มีป้ายคำสั่งนี้เพียงไม่กี่ชิ้น และมูลค่าของมันก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ป้ายคำสั่งนี้ไม่สามารถซื้อได้ด้วยศิลาอมตะ
เว้นแต่จะเป็นผู้ที่มีฐานะน่านับถือหรือแขกคนสำคัญที่ศาลาเซียนคลื่นทองคำยอมรับ ที่จะได้ครอบครองป้ายคำสั่งนี้
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อู๋หยวนคิดอย่างไรกับเฉินซี และเพื่อสร้างไมตรีระหว่างบุตรชายของตนกับเฉินซี เขาจึงทุ่มเทจนสุดกำลัง
…
ในแง่ของขนาดและอาณาเขต ทวีปทักษิณากว้างใหญ่และมั่งคั่งกว่าทวีปสันติบูรพาอยู่มาก สังเกตได้จากจำนวนผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์ที่มีอยู่ในทั้งสองทวีป
ตัวอย่างเช่น ราชันเซียนลิ่นฮ่าวเป็นเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์ของทวีปสันติบูรพา
ในขณะเดียวกัน ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์มีไม่น้อยกว่าสิบคนในทวีปทักษิณา!
แน่นอนว่าจำนวนดังกล่าวเป็นเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์ที่มีชื่อเสียง ยังไม่รวมผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ปลีกวิเวกอยู่อย่างสันโดษด้วยซ้ำ!
เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงถึงความแตกต่างระหว่างทวีปทักษิณาและทวีปสันติบูรพา
ทวีปทักษิณามีเมืองอยู่เก้าพันเก้าร้อยเมือง แม้เมืองจตุรเทพจะไม่สามารถกล่าวได้ว่าใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองเหล่านี้ แต่ก็เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุด
เพราะภายในเมืองนี้มีสำนักศึกษาจตุรเทพที่มีชื่อเสียงและสี่ตระกูลเก่าแก่ของเต๋าแห่งยันต์อักขระได้แก่ ตระกูลเหลียง ตระกูลหลัว ตระกูลกู่ และตระกูลอิน ที่อยู่มานานตั้งแต่โบราณกาล
ที่แห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางที่เฟื่องฟูและมั่งคั่งของทวีปทักษิณา ที่นิกายต่าง ๆ ตั้งตระหง่านดุจต้นไม้ในป่า แม้ว่าจะเป็นเพียงเมือง แต่ก็กว้างใหญ่กว่าโลกใบเล็กในภพมนุษย์มาก
ณ ตำหนักตระกูลเหลียง
ภายในลานมีศาลาหลังหนึ่งตั้งอยู่สะพานเล็ก ๆ ทอดผ่านธารน้ำสายเล็ก เต็มไปด้วยดอกไม้ที่สวยงามและแปลกตา ต้นไม้หนาทึบและต้นไผ่สูงเทียมฟ้า นกกระเรียนมงกุฎแดงกระพือปีก และวานรวิญญาณกระโจนไปมา ทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดสรวงสวรรค์ของเหล่าเซียน
นี่คือสถานที่พักผ่อนที่เหลียงปิงจัดไว้ให้เฉินซี มีเส้นชีพจรเซียนรัศมีทองคำอยู่ใต้ลานบ้าน ดังนั้นการบ่มเพาะอยู่ที่นี่จึงดีกว่าการบ่มเพาะในสรวงสวรรค์ทั่วไป
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีตระหนักได้ว่า อำนาจและทุนทรัพย์ของตระกูลเหลียงภายในเมืองจตุรเทพนั่นลึกล้ำเพียงใด แค่ลานที่ใช้สำหรับต้อนรับแขกก็สร้างขึ้นบนเส้นชีพจรเซียน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลธรรมดาจะสามารถทำได้
กลางดึก
เฉินซีตื่นขึ้นจากการหลับใหล ตั้งแต่มาถึงลานนี้ เขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะทันที ยามนี้เลยรู้สึกว่าร่างกายเบาสบาย สงบ ผ่อนคลาย และจิตใจสดชื่น
เหมือนได้พักฟื้นในสถานที่เงียบสงบและห่างไกลจากโลกภายนอก
“ทวีปทักษิณาไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย ต่อไปข้าควรจะเริ่มบำเพ็ญเพียร และข้าต้องเข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าภายในหนึ่งปีให้ได้!” เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มวางแผนเส้นทางในอนาคตของตน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ฉับพลัน เฉินซีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของตน “นายน้อยเฉินซี เจ้าอยู่หรือไม่? ข้าเถิงหลานมาเยี่ยม”
“ผู้อาวุโสเถิงหลาน?” เฉินซีตื่นจากภวังค์และยืนขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเปิดประตูออกไป สิ่งแรกที่เห็นคือเถิงหลานที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาและมีท่าทางอบอุ่นกำลังยิ้มให้เขาจากอีกฝั่งของประตู
เบื้องหลังเถิงหลานคือกลุ่มสาวใช้หน้าตางดงาม บางคนถืออ่างน้ำ ในขณะที่บางคนถือเสื้อผ้า พวกนางยืนอยู่ด้านข้างด้วยความสำรวมและนับถือ
“นายน้อยเฉินซี ได้โปรดอย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเลย วิธีการกล่าวเช่นนี้มันมากเกินไปสำหรับข้า” เถิงหลานหัวเราะ ในขณะที่มองไปยังชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า
“ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี เขาก็ได้มาถึงภพเซียนและบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้สืบทอดแห่งเขาเทพพยากรณ์ที่สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของเจดีย์ต้าเหยี่ยน ในสี่พันเก้าร้อยทวีปในภพเซียน พรสวรรค์เช่นนี้ จะต้องขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้อย่างแน่นอน”
“เช่นนั้น ข้าจะเรียกท่านว่า ลุงหลาน ส่วนท่านก็อย่าเรียกข้าว่านายน้อยเช่นกัน โปรดเรียกนามของข้าโดยตรงเถิด” เฉินซียิ้ม เพราะได้รับความช่วยเหลือมากมายจากเถิงหลานในภพยันต์อักขระ ดังนั้นเมื่อทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้ง เขาจึงรู้สึกยินดีเช่นกัน
“ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าขอ” แม้ว่าเถิงหลานจะเห็นด้วย แต่ท่าทีของเขาที่มีต่อเฉินซีกลับนอบน้อมมากยิ่งขึ้น ทำให้สาวใช้ที่อยู่ใกล้ ๆ รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แม้พวกนางจะเป็นสาวใช้ แต่มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่านายน้อยเฉินซีผู้นี้ เป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น
ผู้ดูแลเถิงหลานให้ความเคารพต่อชายหนุ่มมาก พวกนางจึงอดประหลาดใจไม่ได้ เพราะแม้แต่ผู้ที่ได้รับการจัดอันดับในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปก็ไม่เคยได้รับความสนใจจากเถิงหลานเลยสักนิด
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน?”
“เป็นไปได้ไหมว่าเขาเป็นบุตรชายของขุนนางจากสี่มหาทวีป?”
เหล่าสาวใช้อดจะสงสัยไม่ได้
เถิงหลานไม่ได้ให้คำอธิบายใด ๆ และสั่งอย่างเฉยเมย “พวกเจ้ามัวยืนอยู่ทำอะไรอยู่? ช่วยคุณชายเฉินซีทำความสะอาดและแต่งตัวเร็วเข้า พวกเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ หากทำให้คุณชายเฉินซีเข้าร่วมงานเลี้ยงของคุณหนูใหญ่สาย”
เหล่าสาวกระวีกระวาดเข้าไปทันที บางคนช่วยเฉินซีเช็ดหน้า บางคนช่วยหวีผม บางคนช่วยผลัดผ้า พวกนางพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน และเพลิดเพลินกับการทำหน้าที่ของตน
เฉินซีรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพราะไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาสัมผัสชิดใกล้เช่นนี้ เขาพยายามปฏิเสธ ในขณะที่เถิงหลานระเบิดหัวเราะตอนปิดประตู
เฉินซีไม่มีโอกาสแม้แต่จะปฏิเสธ ร่างกายแข็งทื่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องวางมือไว้ที่ใด
สาวใช้ทุกคนปิดปากหัวเราะคิกคักไม่หยุดเมื่อเห็นสิ่งนี้
…
เมื่อเฉินซีเดินออกจากห้อง ดวงตาของเถิงหลานพลันสว่างวาบด้วยความพอใจ
เฉินซีสวมชุดปักสีเขียวอ่อน ผมหนาสีดำขลับถูกรวบมัดไว้ด้านหลังศีรษะเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาลึกล้ำราวกับดาวพร่างพราวสองดวง เมื่อรวมกับรูปร่างหล่อเหลาและสูงใหญ่ พร้อมทั้งท่าทางสำรวม ชายหนุ่มคนนี้จึงมีกลิ่นอายสูงส่งและสง่างาม
“ไม่เลว ไม่เลว” เถิงหลานพยักหน้าขณะชมเชยไม่หยุดปาก
“ลุงหลาน ทำไมถึงให้ข้าแต่งตัวเช่นนี้เล่า” เฉินซีเอ่ยถาม
“เพื่อเข้าร่วมในงานเลี้ยงของคุณหนูใหญ่” เถิงหลานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มาเถิด อัจฉริยะรุ่นเยาว์และสาวงามที่มีชื่อเสียงจากเมืองจตุรเทพจะมาในค่ำคืนนี้ คุณหนูใหญ่ได้กำชับมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพาเจ้าไปร่วมงานให้ได้”
คิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากัน เพราะเขาไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงเท่าไรนัก
“ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนที่ได้รับการจัดอันดับในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปจะมาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้เช่นกัน คุณหนูใหญ่จึงต้องการให้เจ้าได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น อย่างไรก็ตาม การไปร่วมงานก็ไม่ได้เสียหายอะไร” เถิงหลานมองความคิดของเฉินซีอย่างทะลุปรุโปร่ง และอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้า “งั้นไปกันเถอะ”
ม่านแห่งรัตติกาลมืดมิด ดวงจันทร์สว่างไสวลอยเด่นอยู่บนท้องนภา ห้องโถงกลางของตระกูลเหลียงสว่างไสวด้วยตะเกียง ขณะที่เสียงเพลงไพเราะดังก้องอยู่ในหู เคล้าคลอไปกับเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ
เมื่อเถิงหลานเดินนำเฉิงซีเข้ามา ห้องโถงก็เต็มไปด้วยแขกมากหน้าหลายตา ครึกครื้นอย่างยิ่ง
ไม่เหมือนงานเลี้ยงที่เฉินซีเคยเห็นในอดีต ภายในห้องโถงมีบรรยากาศผ่อนคลายอย่างมาก โต๊ะทุกตัวถูกปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาว สุราเซียน ผลไม้ และเครื่องดื่มรสเลิศมากมายวางอยู่บนโต๊ะ
แขกที่ได้รับเชิญล้วนเดินไปรอบ ๆ ห้องโถง และกำลังคุยกันเป็นกลุ่มละสองสามคน หรือไม่ก็นั่งจิบชาที่มุมห้องคนเดียว เสียงเพลงแห่งสวรรค์ล่องลอยออกมาจากด้านข้างของห้องโถง ขณะที่นักเต้นเริงระบำไปตามจังหวะดนตรี เรียกเสียงโห่ร้องได้เป็นอย่างดี
“นี่เป็นงานเลี้ยงประเภทหนึ่งจากภพต้นกำเนิด เป็นหนึ่งในวิธีการจัดงานเลี้ยงที่คุณหนูใหญ่โปรดปรานมากที่สุด อีกทั้งคนหนุ่มสาวของเมืองจตุรเทพก็ค่อนข้างชอบมัน” เถิงหลานยิ้มขณะที่เขาอธิบายให้เฉินซีฟัง
เฉินซีคิดถึงการแต่งตัวที่ไม่ธรรมดาของเหลียงปิง และเข้าใจในทันที
แต่เมื่อเข้าไปในห้องโถง เฉินซีก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า คลื่นเสียงกรีดร้องแหลมหูจากหญิงสาวดังก้องไปทั่วห้องโถง และเกือบจะพลิกห้องให้กลับตาลปัตร
“ผู้คนในภพเซียน ช่างเปิดเผยเสียจริง” เฉินซีถอนหายใจ
ในขณะนี้ ห้องโถงเต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย ชายหนุ่มหล่อเหลา หญิงสาวงดงาม เสื้อผ้าก็สวยหรูไปเสียทุกคน ยามนี้ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นเต้น ชายหนุ่มโห่ร้องเสียงดัง หญิงสาวหน้าแดงก่ำ ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้าน ขณะส่งเสียงร้องแหลมหู
เฉินซีมองไปยังแหล่งที่มาของความวุ่นวายนี้
ที่ใจกลางห้องโถง ปรากฏสังเวียนต่อสู้ขนาดมหึมา และมีการต่อสู้กำลังดำเนินอยู่ นักสู้คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดสีน้ำเงิน มีใบหน้าเป็นรูปเหลี่ยม คิ้วดกหนา และดวงตากลมโตสุกใส กวาดมองไปรอบ ๆ
อีกด้านหนึ่งคือชายร่างกำยำที่มีเส้นผมสีทอง ดวงตาสีฟ้า หนวดเคราหนาหยิก และสูงถึงยี่สิบฉื่อ ในมือถือหอกสัมฤทธิ์กับโล่สัมฤทธิ์ทรงกลม หากไม่คำนึงถึงรูปร่างหน้าตาหรืออาวุธ พวกเขาทั้งดูไม่ปกติและค่อนข้างแปลก
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินเป็นฝ่ายเหนือกว่า สามารถรับมือกับการโจมตีของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ชายร่างกำยำโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว ขณะกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว และก่นด่าด้วยคำสาปแช่งแปลก ๆ
เหล่าแขกเหรื่อกำลังโห่ร้องให้กำลังใจชายหนุ่มชุดสีน้ำเงินดังสนั่น