บทที่ 1050 ธารดาราพร่างพรายเต็มนภา
บทที่ 1050 ธารดาราพร่างพรายเต็มนภา
เฉินซีชำเลืองดูยันต์ดาราเริงระบำสองชิ้นบนโต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและกล่าวว่า “คุณชายอู๋ยังมีเวลาที่จะหยุดในตอนนี้ เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าไม่ต้องการทบทวนอีกครั้ง?”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของแขกทุกคนก็เปลี่ยนไป “คนผู้นี้ช่างเย่อหยิ่งเหลือเกิน หรือว่าเขาไม่กลัวที่จะพ่ายแพ้หรือถูกทำให้ขายหน้า?”
ความเดือดดาลอัดแน่นอยู่เต็มอกอู๋อี้ฟ่าน มุมปากกระตุกวูบ ขณะมองเฉินซีด้วยสายตาเย็นชา “ข้าจะตั้งตารอดูเจ้าแสดงฝีมือ อย่าทำให้ทุกคนต้องผิดหวังจะดีกว่า!”
ทุกถ้อยคำที่เขากล่าว ล้วนแฝงไปด้วยความโกรธที่ไม่สามารถปิดบังได้
เฉินซีเพียงพยักหน้าและไม่กล่าวอะไรอีก ทั้งยังไม่นั่งบนเก้าอี้ เขาเพียงหยิบพู่กันขึ้นมาและจุ่มลงในหมึกอย่างลวก ๆ ก่อนที่จะเริ่มจารึกบนแผ่นหยกที่ว่างเปล่า
ขณะจารึก เฉินซีก็เงยหน้าขึ้นและถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายอู๋ เจ้าเคยเห็นธารดาราพร่างพรายเต็มนภาหรือไม่?”
“คนผู้นี้คิดจะทำอันใดกันแน่!?”
แขกในห้องโถงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เมื่อเห็นเขากล่าวในขณะสร้างยันต์อักขระ
“คนผู้นี้เป็นปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระหรือไม่? ไยไม่แสดงความเป็นมืออาชีพเอาเสียเลย หรือว่าเขาจงใจมาสร้างปัญหา?”
อู๋อี้ฟ่านก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่ไม่เหมือนกับแขกคนอื่น ๆ เขาเพียงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ว่าเหตุใดเฉินซีถึงยังคงยั่วยุตน และรู้สึกกังวลอยู่ลึก ๆ ว่าอาจมีบางสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น และจะทำให้ตนตกที่นั่งลำบาก
แต่เมื่อเห็นท่าทีของเฉินซีแล้ว มันทำให้ความกังวลเล็กน้อยในใจหายไปอย่างสิ้นเชิง และเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม เขาจึงครุ่นคิดในใจ “ไอ้แมลงวันโสโครก! ไว้มารอดูกันว่าข้าจะฉีกหน้าเจ้าอย่างไร!”
เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็น และไม่ได้สนใจคำพูดของเฉินซีอีก
อู๋อี้ฟ่านจะไม่ยอมหลงกลเฉินซี และจะไม่เปิดโอกาสให้เฉินซีโทษว่าเหตุที่ตนพ่ายแพ้และล้มเหลวในการสร้างแผ่นยันต์อักขระ เกิดขึ้นเพราะสนทนากับเขา
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเฝ้าดูอย่างใจเย็น ไม่ให้เฉินซีสร้างปัญหา เพราะมั่นใจว่าภายใต้สายตาของแขกทุกคน เฉินซีจะไม่มีโอกาสใช้ลูกเล่นอันน่าไร้ยางอายเป็นอันขาด
เฉินซีรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก และลงมือจารึกยันต์อักขระ พร้อมกับกล่าวว่า “เนื่องจากนี่เป็นการแสดง ข้าย่อมอยากให้ทุกคนประหลาดใจ เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือคุณชายอู๋?”
อู๋อี้ฟ่านตอบกลับด้วยความเงียบงัน ในใจลอบหัวเราะเย้ยหยัน และยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้ไม่เหลือเล่ห์เหลี่ยมอันใดให้ใช้อีกแล้ว
ในขณะเดียวกัน แขกในห้องโถงก็เริ่มเข้าใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเขารู้สึกว่าเฉินซีจงใจมาสร้างปัญหา และไม่ใช่การประลองฝีมือใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้ตั้งใจมาเพื่อก่อกวนเท่านั้น!
“เหลียงปิงจะปล่อยให้บริวารของนางแสดงความอัปยศโดยไม่ทำอะไรอย่างนั้นน่ะหรือ?”
“หรือเพื่อหลีกเลี่ยงการประลองกับอู๋อี้ฟ่าน นางจึงไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก? แต่หากนางกระทำเช่นนี้ นางจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน ทั้งยังส่งผลร้ายต่อฐานอำนาจและอิทธิพลของนางด้วย”
ทุกคนต่างครุ่นคิดในใจต่าง ๆ นานาและไม่สามารถคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงได้
“เหลียงปิง บริวารของเจ้าคนนี้ช่างประหลาดนัก เจ้าไปพบเขาที่ใดกัน?”
เหลียงผิงหัวเราะออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“ประหลาดหรือ?” สายตาของเหลียงปิงกลายเป็นเย็นชาทันที “ข้าท้าให้เจ้ากล่าวอีกครั้ง”
ใบหน้าของเหลียงผิงพลันแข็งทื่อ ความโกรธพลุ่งพล่านออกมาจากส่วนลึกของเขา ชายหนุ่มสะกดกลั้นไฟโทสะแล้วถอนหายใจออกมาแทน “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องปกป้องบริวารของตน แต่ช่างไม่มีเหตุผลเสียเลย ดูสิ ผ่านไปยี่สิบลมหายใจแล้ว แต่เจ้าหมอนี่ยังพูดไปจารึกไปอยู่เลย นี่มันไร้สาระยิ่ง”
“ไร้สาระหรือ?”
เฉินซีไม่ได้ตั้งใจแข่งขันด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่คู่ควร!
ใบหน้าของเหลียงปิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เมื่อถึงลมหายใจที่ยี่สิบห้า ทุกคนก็สังเกตเห็นด้วยความตกใจ เมื่อเฉินซีวางแผ่นหยกชิ้นนั้นลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน
เขาหยุดแล้ว?
หรือคนผู้นี้สำนึกได้แล้ว จึงตั้งใจจะไม่สร้างปัญหาอีก?
แขกทุกคนตะลึง แม้ส่วนใหญ่จะไม่ได้บ่มเพาะในวิถีของเต๋าแห่งยันต์อักขระ แต่ขณะสร้างยันต์อักขระ การถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อมเป็นเรื่องต้องห้าม แล้วนับประสาอะไรกับการสนทนากับใครบางคน
ดังนั้นพวกเขาจึงแน่ใจแล้วว่า เฉินซีเป็นมือสมัครเล่นที่จงใจสร้างปัญหาอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าเฉินซียอมรับความพ่ายแพ้อย่างเปิดเผย และหยุดสร้างปัญหา แขกทุกคนก็ไม่สามารถปรับตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้
“โอ้ สวรรค์ เจ้าคนประหลาดนี้มาจากที่ใดกัน?”
“พี่ชาย อย่างน้อยก็ยืนหยัดจนถึงที่สุดเถิด มันขี้ขลาดเกินไปที่จะยอมรับความพ่ายแพ้กลางคันเช่นนี้”
“ถูกต้อง เป็นลูกผู้ชายหน่อยสิ!”
“ฮ่า ฮ่า! ข้ารู้ว่ามันจะต้องเป็นเช่นนี้ คนผู้นี้เป็นตัวตลกที่จงใจเล่นกลสร้างความบันเทิงให้พวกเรานี่เอง”
เมื่อพวกเขาเห็นการกระทำของเฉินซี แขกทุกคนพูดคุยกับเซ็งแซ่ บางคนเชิดหน้าและคร่ำครวญ บางคนเยาะเย้ยอย่างเปิดเผย และมีหญิงสาวบางคนที่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าเฉินซี ไม่ใช่ลูกผู้ชาย…
ดูเหมือนทุกคนจะหลงลืมไปว่า ก่อนที่เฉินซีจะหยุดมือ เขาได้กล่าวบางอย่างกับอู๋อี้ฟ่าน “เพื่อไม่ให้คุณชายอู๋ต้องลำบากใจ ข้าก็จะใช้สามสิบเจ็ดลมหายใจด้วยเช่นกัน ดีหรือไม่?”
น่าเสียดายที่ทุกคนมองข้ามคำเหล่านี้ไป
“เจ้าตั้งใจจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ? ข้าไม่อนุญาต!” เมื่ออู๋อี้ฟ่านผู้พยายามข่มความโกรธมาตลอดเห็นสิ่งนี้ เขาก็ไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้อีกต่อไป และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “โปรดรอสักครู่”
อู๋อี้ฟ่านตกตะลึง จากนั้นแค่นหัวเราะ “ทำไม? ตอนนี้เจ้าไม่เต็มใจอีกเหรอ?”
เฉินซีขยับพู่กันยันต์อักขระในมืออย่างรวดเร็ว ปลายพู่กันแตะเบา ๆ ที่แผ่นหยกบนโต๊ะ หลังจากนั้น เขาก็โยนพู่กันยันต์อักขระทิ้งไป และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สามสิบเจ็ดลมหายใจพอดี”
“ฮ่า ฮ่า! สามสิบเจ็ดลมหายใจ ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะยังจำได้ นี่คือยันต์ดาราเริงระบำที่เจ้าสร้างขึ้นใช่หรือไม่? สำหรับข้ามันดูเหมือนยันต์แมลงวันเริงระบำมากกว่า”
อู๋อี้ฟ่านเย้ยหยันขณะเงยหน้าขึ้น และหยิบยันต์อักขระบนโต๊ะขึ้นมา ยันต์อักขระถูกปกคลุมไปด้วยหมึกและสีดำสนิท ซึ่งใคร ๆ ก็สามารถเห็นยันต์อักขระจำนวนนับพันที่ขดตัวไปมาในลักษณะซับซ้อนอย่างยิ่ง ช่างไร้ระเบียบเหมือนลายมือเด็ก ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงพลัง มันไม่มีแม้แต่กลิ่นอายของยันต์ดาราเริงระบำด้วยซ้ำ
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะทำให้เฉินซีอับอายให้ได้ ดังนั้นเมื่อสบโอกาสอันยอดเยี่ยมนี้ อู๋อี้ฟ่านก็ชูยันต์อักขระขึ้นทันที แสดงให้แขกเหรื่อได้เห็น และหัวเราะเสียงดัง “ทุกท่านโปรดดู นี่คือยันต์ดาราเริงระบำที่สหายผู้นี้สร้างขึ้น”
เขาก็ค่อย ๆ หมุนตัวเพื่อให้ทุกคนได้เห็นยันต์อักขระในมือชัด ๆ ขณะกล่าว
“น่าเกลียดยิ่งนัก!”
“นี่มันบ้าอะไรกัน? นี่หรือยันต์อักขระ?”
“ฮ่า ฮ่า! ช่างน่าตลกเสียจริง! สหายคนนี้ช่างน่าขบขันยิ่ง!”
ทุกคนในห้องโถงหัวเราะลั่น
อู๋อี้ฟ่านยิ้มด้วยความพึงพอใจ ยามนี้เปลวไฟแห่งความโกรธในใจได้ถูกระบายออกจนร่างกายรู้สึกเบาหวิว และพอใจราวกับสามารถทรมานและฆ่าฝูงแมลงวันน่ารำคาญได้สำเร็จ
“เหลียงปิง ดูสิ บริวารของเจ้ากำลังทำให้ตัวเองขายหน้าจริง ๆ ฮ่า ฮ่า!” เหลียงผิงหัวเราะลั่นด้วยท่าทางอิ่มเอมใจจนไม่สามารถปกปิดได้
คิ้วเรียวงามของเหลียงปิงขมวดเข้าหากัน นางรู้สึกสับสนเล็กน้อยและจ้องมองไปยังเฉินซี
ทันใดนั้น เฉินซีพลันเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้นาง “คุณหนูใหญ่ เจ้ายังจำสิ่งที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ได้หรือไม่? ข้าบอกว่าเนื่องจากมันเป็นการแสดง ข้าจึงเตรียมสิ่งที่จะทำให้ทุกท่านประหลาดใจมาให้ชม”
“ประหลาดใจหรือ? นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริง ๆ! เจ้า…” ก่อนที่เหลียงปิงจะทันได้กล่าว อู๋อี้ฟ่านก็เริ่มระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น แต่กล่าวได้เพียงครึ่งเดียว รอยยิ้มของเขาพลันแข็งค้าง ดวงตาจับจ้องไปที่ยันต์อักขระในมือ ดวงตาค่อย ๆ เบิดกว้างจนแทบถลนออกมาจากเบ้า
แสงสีดำพลันกลืนกินพื้นผิวสีดำสนิทของยันต์อักขระ ดูเหมือนม่านราตรีอันพร่ามัวและลวงตาในยามค่ำคืนได้ปกคลุมมันไว้…
โอม!
คลื่นความผันผวนแปลก ๆ กระจายไปทั่วห้องโถงโดยฉับพลัน บรรดาแขกทั้งหลายต่างรู้สึกถึงบางสิ่งแวบวับผ่านดวงตา และโคมไฟในห้องโถงก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นของม่านราตรีคล้ายม่านน้ำ
ราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนปรากฏขึ้น และปกคลุมด้านบนของห้องโถง ทำให้ทุกคนคิดว่าตนกำลังอยู่ใต้ท้องฟ้าในทุ่งหญ้าโล่งกว้าง
“นี่มัน…”
ทุกคนประหลาดใจและงุนงง ยังไม่ทันหายจากอาการตกใจ พวกเขาก็เห็นแสงดาวพร่างพรายหลายสายพุ่งออกมาจากอู๋อี้ฟ่านในทันใด พวกมันเหมือนกับแม่น้ำแห่งดวงดาวมากมายปกคลุมม่านสีดำสนิทในยามค่ำคืน ทำให้ทั้งห้องโถงได้รับการตกแต่งด้วยดวงดาวที่สว่างไสวและเย็นยะเยือกมากมาย
มีธารดารามากมาย อีกทั้งพวกมันยังเริงระบำและโคจรไปรอบ ๆ แสงระยิบระยับแกว่งไกวไปมาประหนึ่งเงาหมอกจำนวนนับไม่ถ้วน และส่องประกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่แผ่ขยายออกไปทั่วทั้งห้องโถง ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกถึงกลิ่นอายอันลึกล้ำและลึกลับจากพวกมัน
ดูเหมือนพวกเขาอยู่ภายใต้จักรวาลและท้องฟ้ายามค่ำคืน อาบไล้ภายใต้แสงดาวมากมาย!
“ช่างงดงามอะไรอย่างนี้!” หญิงสาวบางคนพึมพำด้วยดวงตาเป็นประกาย และเผยให้เห็นความหลงใหล
แขกคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็เหมือนกัน พวกเขามีท่าทางมึนงงสับสน แม้จะเป็นเซียน แต่ท้องฟ้าในภพเซียนนั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้ท่องไปในท้องฟ้า และชมการเคลื่อนคล้อยของดวงดาวมากมาย
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นภาพดังกล่าว แม้จะรู้ว่า นี่เป็นเพียงภาพลวงตาและไม่ใช่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวจริง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกตกใจจนพูดไม่ออก
“ช่างเป็นความประหลาดใจที่น่ายินดีอย่างแท้จริง สหายผู้นี้มักจะสร้างความประหลาดใจอยู่เสมอ…” ดวงตาของเหลียงปิงเป็นประกายขณะพึมพำ ริมฝีปากสีแดงเย้ายวนของนางปรากฏเป็นรอยยิ้มที่สามารถมอมเมาโลกทั้งใบได้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เถิงหลานก็พยักหน้าและถอนหายใจด้วยความโล่งอก คล้ายได้เอาก้อนหินอันหนักอึ้งออกไปจากใจ เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นยันต์ดาราเริงระบำที่สร้างโดยอู๋อี้ฟ่านหรือเหลียงปิน พวกมันก็เหมือนเปลวเพลิงริบหรี่ ไม่อาจประชันกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้อย่างสิ้นเชิง
“คุณชายอู๋ ความประหลาดใจที่น่ายินดีเช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง” บนสนามประลอง เฉินซีกล่าวทำลายความเงียบงันนี้ลง
แขกทุกคนก็หายจากอาการตกใจเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า แหล่งที่มาของแสงดาวนี้ คือยันต์อักขระในมือของอู๋อี้ฟ่าน
แสงดาวที่ทำให้อู๋อี้ฟ่านดูเหมือนเทพเจ้าแห่งท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดาว เสริมให้ดูศักดิ์สิทธิ์ ไม่ธรรมดา ทั้งยังพร่างพราวจนอย่างถึงที่สุด มันทำให้ทุกคนไม่สามารถมองเขาตรง ๆ ได้
แต่สีหน้าของแขกเหรื่อกลับพิกลอย่างมาก เพราะนี่คือการเย้ยหยันชัด ๆ!
เมื่อครู่ อู๋อี้ฟ่านได้แสดงยันต์อักขระนั้นให้ทุกคนได้เห็น และเรียกยันต์อักขระนี้ว่าเป็นยันต์แมลงวันเริงระบำ
ทว่าตอนนี้ ฉากของธารดาราพร่างพรายเต็มนภาได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา เมื่อนำฉากทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน มันทำให้การกระทำของเขาก่อนหน้านี้ ดูน่าตลกขบขันราวกับเป็นตัวตลก
นี่เป็นดั่งการตบหน้าอู๋อี้ฟ่านอย่างแรง!