บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1059 กระบี่ประกายชาด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1059 กระบี่ประกายชาด

บทที่ 1059 กระบี่ประกายชาด

อินซานเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูงที่เข้าใจพลังของกฎแห่งมหาเต๋าสามประเภท อันดับของเขาในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปคือ อันดับที่เจ็ดร้อยหกสิบสี่ ถือว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ค่อนข้างโดดเด่นของตระกูลอิน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูปแบบการต่อสู้อันรุนแรง โหดเหี้ยม และดุดัน ส่งผลให้ศัตรูล้วนตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือของเขา ในสภาพถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้น ๆ ถูกบดขยี้ร่างจนแหลกเป็นผุยผง หรือถูกทุบจนศีรษะแตกเป็นเสี่ยง ๆ…

ศัตรูของเขาไม่เคยมีสภาพศพที่สมบูรณ์เลยสักคน

ดังนั้น เมื่อเห็นอินซานก้าวขึ้นไปบนสนามประลอง และพุ่งเข้าหาเฉินซีซึ่งเป็นเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น พวกเขาทุกคนไม่ว่าจะเป็นศิษย์ตระกูลอินหรือผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่นต่างมีท่าทางที่ไม่อาจทนดูได้

แม้ว่านี่จะเป็นดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ และการถูกฆ่าจะทำให้ดวงวิญญาณบาดเจ็บสาหัส ซึ่งความรู้สึกที่ศีรษะแตกเป็นเสี่ยง ๆ นั้น ย่อมไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีอย่างแน่นอน

แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็คือ ชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีทีท่าที่จะหลบการโจมตีนี้เลย ทั้งยังพูดคำที่ไม่น่าเชื่อด้วย

ชายหนุ่มคนนี้พยายามอย่างเต็มที่ แม้จะไม่มีประโยชน์ก็ตาม เขารู้ชัดว่าจะต้องแพ้อย่างแน่นอน แต่ยังไม่คิดหลบ เด็กคนนี้กล้าบ้าบิ่นหรือเป็นคนเขลาที่ไม่รู้ความกันแน่?

ทุกคนต่างถอนหายใจ

อินซานหัวเราะด้วยความโกรธสุดขีด พลังหมัดก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และระเบิดเสียงดังกึกก้อง

ดวงตาของเฉินซีพลันเปิดขึ้นโดยฉับพลัน กลิ่นอายอันน่าเกรงขามในร่างกายพลุ่งพล่าน ปราณเซียนพิสุทธิ์ที่ทรงพลังทะลักออกจากร่างกายและทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในชั่วพริบตา มันก็กลายเป็นมหาสมุทรที่เชี่ยวกราก!

มือขนาดใหญ่ของอินซานเพิ่งมาถึงเหนือศีรษะของเฉินซี ก่อนที่จะฟาดมันลงมา ชายหนุ่มก็ตกตะลึงในทันใด เขาอ้าปากค้างราวกับเห็นคลื่นปราณเซียนพิสุทธิ์ขนาดมหึมาปกคลุมท้องฟ้า และซัดเข้าใส่ด้วยพลังที่ไม่อาจหยุดยั้งได้

อินซานที่มีประสบการณ์ต่อสู้มาอย่างโชกโชน พลันได้สติและตระหนักว่าตัวเขาถูกข่มขู่โดยกลิ่นอายของคู่ต่อสู้!

ชายหนุ่มกู่ร้องอย่างดุร้าย พร้อมกับเงื้อหมัดขึ้นและทุบลงมา!

เกือบจะในเวลาเดียวกัน เฉินซีพลันโคจรพลังและชกหมัดออกไป ซึ่งมันปะทะกับหมัดของอินซานอย่างไม่มีใครยอมใคร!

ความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้าของอินซานทันที ในขณะที่แขนของเขาก็เปล่งเสียงแตกหักดังก้องออกมา จากนั้นมันก็บิดเข้าหากันเหมือนแป้งทอดที่บิดเป็นเกลียว

แขนขวาของอินซานพิการทันทีที่ปะทะกับหมัดของเฉินซี!

ยิ่งกว่านั้น พลังที่หลงเหลืออยู่ในหมัดทำให้ร่างกำยำของอินซานสั่นสะท้านจนกระเด็นขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็ร่วงลงมายังบริเวณด้านนอกของสนามประลองหลายจั้ง ซึ่งในระหว่างนี้ หน้าอกของเขาก็ยุบลงอย่างรวดเร็ว เลือดไหลทะลักออกจากรูทวารทั้งเจ็ด และล้มลงกับพื้นดังโครมจนเกิดแรงสั่นสะเทือน ศีรษะกระแทกลงกับพื้น ทำให้ฟันในปากร่วงกว่าสิบซี่ จากนั้นก็คอพับไปด้านข้างและสิ้นสติไป

เพียงหมัดเดียวก็ตัดสินผลแพ้ชนะทันที!

ไม่เพียงแต่อินซานจะกระเด็นออกจากสนามประลองเหมือนที่เฉินซีได้กล่าวไว้เท่านั้น เขายังหมดสติด้วย!

‘ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้นั้นสมจริงเหมือนโลกภายนอก แม้แต่เลือดและกระดูกที่แตกหักเมื่อมีได้รับบาดเจ็บ…’ เฉินซีกล่าวชมเชยอยู่ภายในใจ

ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง เพราะมดตัวน้อยที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น กลับสามารถจัดการกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูงด้วยการชกเพียงครั้งเดียว?

“เป็นไปได้อย่างไรกัน!” ศิษย์จากตระกูลอินร้องออกมาเสียงแหลม

“โกง! เจ้าเด็กนี้ต้องโกงอย่างแน่นอน!”

“พี่ใหญ่อินซานมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูง เขาจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเจ้าเด็กขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นได้อย่างไรกัน? อีกทั้งยังพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว… ”

เสียงจากเหล่าศิษย์ตระกูลอินดังเซ็งแซ่ ทั้งความประหลาดใจและสับสน ซึ่งดูเหมือนพวกเขาจะทั้งตกใจและหวาดกลัว

“โง่เขลายิ่งนัก! พวกเจ้าคิดว่าจะสามารถใช้เล่ห์โกงในสนามประลองได้หรือ? หุบปากซะ!” ชายหนุ่มชุดเหลืองขมวดคิ้วและตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยสีหน้าอำมหิต

ทุกคนพลันเงียบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาวและไม่กล้ากล่าวอะไรอีก อย่างไรก็ตาม สายตาที่พวกเขามองไปยังเฉินซี แฝงไปด้วยความรู้สึกที่สับสนและจริงจังอยู่เล็กน้อย

“ไอ้หนู เจ้ามีนามว่าอะไร” ชายหนุ่มในชุดเหลืองจ้องมองไปที่เฉินซี และกล่าวด้วยเสียงอันน่ากลัว

ผู้เยี่ยมยุทธ์ในบริเวณใกล้เคียงต่างมีท่าทางประหลาดใจ ศิษย์ตระกูลอินไล่ล่าอีกฝ่ายมาถึงขนาดนี้ แต่กลับไม่รู้ตัวตนของฝ่ายตรงข้าม?

ชายหนุ่มในชุดเหลืองรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย เขาเป็นเพียงคนที่อินเฟิงเอ๋อร์ส่งมาเพื่อแก้แค้นเท่านั้น และเมื่อได้ยินว่าเป้าหมายคือมดตัวน้อยในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น เขาจะตรวจสอบตัวตนและภูมิหลังของเป้าหมายไปทำไม

แต่การพ่ายแพ้ของอินซาน ทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่า มดตัวน้อยที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นสามารถเอาชนะอินซานได้อย่างง่ายดาย จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร

“ข้ากำลังรีบ ถ้าพวกเจ้าไม่คิดจะสู้ต่อ ข้าขอตัว” เฉินซีขมวดคิ้วและใจร้อนเล็กน้อย เขามาที่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้เพื่อขัดเกลาตนเอง ไม่ได้คิดเล่นสนุกกับกลุ่มคนที่มีพลังฝีมือต่ำกว่า เขาไม่มีเวลามากขนาดนั้น

“อีกแล้ว!?”

สีหน้าของศิษย์จากตระกูลอินกลายเป็นมืดมนอย่างมาก เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้

“ไอ้หนู อย่าได้พล่ามวาจาไร้สาระ! ข้าอินเจี้ยนจะขอชี้แนะเจ้า!”

‘ฮึ่ม! พี่ใหญ่อินเจี้ยนโปรดรอสักครู่! ให้ข้าจัดการกับเจ้าเด็กโอหังนี้เอง ข้ารับรองว่าจะไม่ทรมานมันจนตาย!’

“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ให้ข้าจัดการเอง!”

ศิษย์ของตระกูลอินต่างคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว

เฉินซีหัวเราะเย้ยหยัน “ไอ้สารเลวพวกนี้แยกแยะขาวดำไม่ออกจริง ๆ เห็นได้ชัดว่าพวกมันมาหาเรื่องข้า แต่กลับบอกว่าข้าโอหัง แม้ข้าจะเคยเห็นคนหน้าด้านมาก่อน แต่ข้าไม่เคยเห็นคนหน้าด้านขนาดนี้จริง ๆ”

เฉินซีไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไป “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พวกเจ้าทุกคนเข้ามาพร้อมกันเถอะ”

ทันทีที่พูดจบ มันกลับทำให้ทุกคนยิ่งประหลาดใจ

“ช่างหยิ่งยโสยิ่งนัก”

“เด็กคนนี้หยิ่งยโสอย่างไร้ขอบเขตจริง ๆ!”

“เป็นไปได้ไหมที่เขาคิดว่าจะสามารถต่อสู้กับศิษย์ของตระกูลอินทั้งกลุ่มด้วยการบ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นได้? ทั้งที่อีกฝ่ายมีกระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น!”

แต่เมื่อได้ยินสิ่งนี้ กลับทำให้เหล่าศิษย์ของตระกูลอินรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง หลังจากได้เห็นฉากที่ เฉินซีเอาชนะอินซานได้อย่างง่ายดาย หากบอกว่าไม่กลัวก็คงจะโกหก เมื่อเห็นเฉินซีเสนอมาเช่นนี้ ความหวาดหวั่นในใจของพวกเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เพราะการรุมผู้อื่นด้วยจำนวนเป็นสิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญยิ่ง!

‘ฮึ่ม! ไอ้เด็กบัดซบ! เจ้าไม่หยิ่งยโสเกินไปหน่อยหรือ? เจ้าคิดว่าตระกูลอินของข้าไม่มีผู้มีความสามารถหรือ?’

แม้ว่าชายหนุ่มชุดเหลืองจะคิดเช่นนี้ในใจ แต่เขาก็แสร้งเค้นเสียงเย็นราวกับรังเกียจที่จะรุมเฉินซีด้วยจำนวน

เฉินซีรู้สึกรังเกียจคนเหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ “พวกเจ้าจะสู้หรือไม่? ถ้าไม่ก็ไสหัวไปซะ!”

“ไอ้เด็กบัดซบ! ในเมื่อเจ้าแส่รนหาที่ตายเช่นนี้ ดังนั้นเราจะตอบสนองคำขอเป็นอย่างดีเอง! พวกเจ้าทุกคนลงมือได้ อย่าปล่อยให้มันตายง่าย ๆ เป็นอันขาด!” ชายหนุ่มในชุดเหลืองหัวเราะอย่างเย็นชาและโบกมือส่งสัญญาณ

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เหล่าศิษย์ของตระกูลอินหมดความอดทนมานานแล้ว พวกเขาพุ่งขึ้นสนามประลองทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง ทันทีที่ร่างนับสิบได้ขึ้นไปบนสนามประลอง พวกเขาก็ล้อมเฉินซีเอาไว้ ขณะเผยสีหน้าอาฆาต ซึ่งแฝงไปด้วยความป่าเถื่อนและไม่เป็นมิตร

ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ใกล้เคียงส่ายศีรษะเมื่อเห็นสิ่งนี้ แม้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นจะหยิ่งยโส แต่การกระทำของศิษย์ของตระกูลอินเหล่านี้ก็ไร้ยางอายเกินไป

“ดูเหมือนว่าคำขอนี้จะทำให้พวกเจ้าทุกคนมีความสุขมากกระมัง? แล้วทำไมต้องปกปิดความปรารถนาของเจ้าเล่า” เฉินซีเยาะเย้ยพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา

“กำลังจะตาย แต่ยังกล้ากล่าวเรื่องไร้สาระอีกหรือ? ฆ่ามันซะ!”

ปัง!

รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าสว่างไสวลอยอยู่เหนือเมฆที่ปกคลุมเฉินซี เหล่าศิษย์ของตระกูลอินต่างพุ่งตัวออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน และโจมตีด้วยกระบวนท่าถึงตายอย่างไม่ลังเล!

แต่เฉินซีกลับเป็นฝ่ายเร็วกว่า เขาก้าวไปด้านข้าง มือของเขาระรัว จากนั้นพระจันทร์ศักดิ์สิทธิ์สองดวงก็ปรากฏขึ้น ดวงหนึ่งเป็นสีดำ ส่วนอีกดวงเป็นสีขาว ดูเหมือนหยินและหยาง พวกมันหลอมรวมกัน เป็นหินโม่สีขาวดำฟาดไปข้างหน้า

ปัง! ปัง! ปัง!

รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกและแตกเป็นเสี่ยง ๆ มันกลายเป็นสายฝนโปรยปรายทั่วท้องฟ้า ในขณะที่เหล่าศิษย์ของตระกูลอินกระเด็นออกไปพร้อมกับร้องโหยหวน ราวกับถูกภูเขาขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนถล่มเข้าใส่

ฉากนี้งดงามยิ่ง ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ร่างกว่าสิบร่างก็กระเด็นออกจากลานประลองพร้อม ๆ กัน เลือดพุ่งออกจากปากและจมูกของพวกเขา เสียงร้องโหยหวนสั่นสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตื่นตะลึงทันที

ดวงตาของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์เบิกโพลงจนโตเป็นไข่ห่าน ทั้งรู้สึกงุนงงสับสน ในขณะที่กรามของพวกเขาแทบจะแตะพื้น

เดิมทีพวกเขาเฝ้ารอการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่ไม่คิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นเหมือนครั้งก่อน มันจบลงภายในกระบวนท่าเดียว รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ!

ท้ายที่สุด นั่นคือผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์กว่าสิบคน ที่มีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางหรือสูงกว่านั้น และสามารถเข้าสู่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ได้ นั่นหมายความว่าเป็นบุคคลที่ได้รับการจัดอันดับในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของทวีปทักษิณา

แต่ตอนนี้… พวกเขากลับพ่ายแพ้ กระเด็นกระดอนเหมือนเศษกระดาษ ด้วยน้ำมือของชายหนุ่มในขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น!

จะมีผู้ใดคาดคิดได้ว่าจะเกิดฉากเช่นนี้?

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดดังกล่าว ได้ดึงดูดความสนใจของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในสนามประลองใกล้เคียง และมีร่างทะยานเข้ามาที่นี่

กราว! กราว!

ร่างหนึ่งแวบเข้ามาบนสนามประลองดั่งภูตผี ด้วยการโบกแขนเสื้อ ลำแสงสีแดงเข้มสิบหกสายก็พุ่งออกมาอย่างรุนแรงพร้อมกับส่งเสียงดังหึ่ง ๆ พวกมันถูกขดเป็นวงด้วยหมอกอมตะ ยิ่งกว่านั้น ยังเปล่งกลิ่นอายอันน่าตกตะลึง ซึ่งแฝงไปด้วยความเฉียบคมรุนแรงที่ทำให้แม้แต่วิญญาณยังหวาดกลัว

“สมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬ!”

“กระบี่อมตะสิบหกเล่มที่มีลักษณะเดียวกัน และมันเป็นสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬทั้งหมด!” ผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนอุทานด้วยความตกใจ และมองอย่างระมัดระวัง มันคือกระบี่อมตะสิบหกเล่มที่ขดตัวด้วยหมอกเพลิงอันพลุ่งพล่าน กระบี่แต่ละเล่มถูกปกคลุมไปด้วยประกายกระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ อีกทั้งยังมีกลิ่นอายแหลมคมและดุร้ายจนน่าตกใจ

สมบัติอมตะที่สามารถนำเข้าสู่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ได้ แน่นอนว่าต้องอยู่ในระดับวิญญาณทมิฬหรือสูงกว่า ยามนี้ มันพุ่งเข้ามาอย่างดุดันและปกคลุมลานประลองไว้ เห็นได้ชัดว่ามันตั้งใจที่จะสังหารเฉินซี พร้อมกับตัดเส้นทางหลบหนีทั้งหมด!

กระบี่ประกายชาด!

เหล่าศิษย์ตระกูลอินที่ถูกซัดจนกระเด็นออกสนามประลอง จู่ ๆ ก็มีขวัญกำลังใจขึ้นทันที และแสดงท่าทางเย้ยหยันไม่จบสิ้น เนื่องจากพวกเขารู้ว่าอินหุนได้ลงมือแล้ว เพราะมีเพียงการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนลึกลับเท่านั้น ที่สามารถใช้พลังของสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬชุดนี้ได้

อินหุนคือชายหนุ่มในชุดเหลือง

ดวงตาของเฉินซีสว่างวาบ “ในที่สุดก็มีผู้เยี่ยมยุทธ์เข้ามาร่วมต่อสู้แล้วหรือ?”

ในใจของเฉินซีหาได้วิตกกังวลไม่ มันกลับเปี่ยมไปด้วยความยินดี จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พวยพุ่งอยู่ในอก อักขระยันต์พันรอบร่าง จากนั้นพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับกู่ร้องไปในอากาศ และเข้าปะทะกับกระบี่อมตะสีแดงเลือดที่จู่โจมเข้ามา

เคร้ง!

กระบี่และฝ่ามือปะทะกัน ระเบิดออกเป็นมวลแสงพร่างพราย แสงสีแดงเข้มเต็มไปทั้งท้องฟ้า ในขณะที่จิตสังหารส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ ข้อจำกัดในสนามประลองถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่มันจะสามารถสลายคลื่นพลังจากการปะทะครั้งนี้ได้

นี่เป็นคลื่นพลังผันผวนที่น่ากลัวอย่างยิ่ง หากอยู่ในโลกภายนอก แม้แต่ภพเซียนในระยะสองร้อยห้าสิบลี้ก็คงถูกทำลายจนกลายเป็นซากปรักหักพัง

“กระบี่ประกายชาด! ไม่ได้เป็นของอินเหมียวเมี่ยวที่อยู่ในอันดับที่สี่ในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปหรอกหรือ? เหตุใดจึงปรากฏอยู่ในความครอบครองของชายหนุ่มผู้นี้” ในที่สุดก็มีบางคนจำชุดกระบี่อมตะทั้งสิบหกเล่มได้ จึงอุทานด้วยความประหลาดใจและงุนงง

แต่แล้วความสงสัยนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว เพราะการต่อสู้ที่ดุเดือดซึ่งหาได้ยากยิ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ปะทุขึ้นบนสนามประลองแล้ว

เหตุผลที่มันหาได้ยากยิ่ง ก็เพราะเป็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท