บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1062 เจ้าไม่คู่ควร

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1062 เจ้าไม่คู่ควร

บทที่ 1062 เจ้าไม่คู่ควร

เสียงของเฉินซีไม่ดังนัก แต่กลับเปี่ยมด้วยพลังที่หนักแน่นและแก่กล้า

ทันทีที่ประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา มันเหมือนกับพายุหมุนกำลังพัดผ่าน กลบทุกเสียงเอาไว้ ทุกคนที่นี่ตกตะลึง เขาถึงกับท้าทายอินเมี่ยวเมี่ยวหรือ?

เหลวไหล!

ทุกคนต่างสงสัยว่าตนหูฝาดหรือไม่? อินเหมียวเมี่ยวคือใคร? แน่นอนว่านางเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป

ส่วนชายหนุ่มตรงหน้า อยู่เพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น!

แม้ว่าเมื่อครู่ เขาจะเอาชนะอินหุนผู้อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นได้ แต่ทุกคนไม่เชื่อว่าปาฏิหาริย์แบบนั้นจะเกิดกับอินเหมียวเมี่ยว

เพราะทั้งสองไม่ใช่ตัวตนระดับเดียวกัน จะนำมาเทียบกันได้อย่างไร?

ราวกับเห็นมดฆ่าหมาจิ้งจอกด้วยตาตัวเอง จากนั้นหลงคิดว่าตัวเองมีพลังมากพอที่จะท้าทายอินทรีราชาในท้องนภา มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี

หลังจากนั้น ทุกคนต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พวกเขาถือว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องขบขันประจำวัน ไม่ควรค่าที่จะคิดจริงจัง และคิดว่าเฉินซีพยายามที่จะรักษาหน้าของตน ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่อินเหมียวเมี่ยวจะหันมาสนใจ ด้วยเหตุนี้ถึงได้กล้าพูดจาไร้ยางอายออกมา

เช่นเดียวกัน เมื่ออินเหมียวเมี่ยวได้ยิน นางตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนมองเฉินซีด้วยสีหน้าจริงจังทันที ริมฝีปากสีแดงก่ำคลี่ออกเล็กน้อย กล่าวออกมาว่า “เจ้าไม่คู่ควร”

ใช่แล้ว เพียงแค่คำง่าย ๆ แต่กลับมีพลังโน้มน้าวทุกคนที่นี่ ไม่ต้องอธิบายให้มากความ เพราะเมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของอินเหมียวเมี่ยว นั่นเป็นการพิสูจน์แล้วว่า อีกฝ่ายไม่คู่ควรอย่างแท้จริง

นี่คือการปฏิเสธอันสง่างามที่มาจากความมั่นใจในพละกำลังของอินเหมียวเมี่ยว อีกทั้งยังเป็นการปฏิเสธพละกำลังของเฉินซีอีกด้วย

เพราะไม่คู่ควร จึงปฏิเสธคำท้า

สิ่งนี้ทรงพลังยิ่งกว่าการเย้ยหยัน ส่งผลกระทบต่อคู่สนทนามากกว่า

เมื่อเจอเช่นนี้ เฉินซีไม่ตอบสนองแต่อย่างใด เขาไม่แสดงความโกรธและความไม่เต็มใจอย่างที่ทุกคนคาดเอาไว้ แม้กระทั่งความพยายามที่จะสวนกลับด้วยคำพูดก็ไม่มีเช่นกัน

ชายหนุ่มปรายตามองอินเหมียวเมี่ยวที่กำลังจากไปก่อนกล่าวบางอย่าง “ในอนาคต เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะท้าทายข้าเช่นกัน”

ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง ประโยคนี้ฟังดูเหมือนอวดดีในคราแรก แต่พอฟังดี ๆ มันกลับดูโอหังเกินกว่าจะรับไหว เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะท้าทายข้าในอนาคตอย่างนั้นหรือ? นั่นไม่เท่ากับว่าในอนาคต อันดับของอินเหมียวเมี่ยวจะทิ้งห่างออกไปอีก มันจะต่างจากตอนนี้อย่างไร?

บ้าไปแล้ว!

ทุกคนรู้สึกว่า ถึงแม้พลังต่อสู้ของชายหนุ่มจะเหนือกว่าสหายของพวกเขาในวันนี้ แต่ความอวดดีกลับเหนือชั้นมาก ถึงขั้นกล้าพูดกับอินเหมียวเมี่ยวว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะท้าทายตนในอนาคต แม้กระทั่งอันดับหนึ่งอย่างเจียงจูหลิวยังไม่กล้าอวดอ้างเช่นนี้!

หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ร่างของอินเหมียวเมี่ยวที่กำลังจากไปพลันแข็งทื่อเล็กน้อย จากนั้นจึงส่ายหน้าพร้อมกับคิดว่าคำพูดของเฉินซีช่างไร้สาระเหลือเกิน

ไม่นานนัก นางก็กลับมาสงบ ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

สำหรับนาง คำพูดเกรี้ยวกราดและการยั่วยุของมดตัวน้อยไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด หากนางเก็บมาสนใจ ย่อมเป็นการยกยออีกฝ่ายแทน มีแต่เสียเวลา หาได้จำเป็นไม่

เหมือนอย่างคำที่นางกล่าวไปก่อนหน้านี้ เจ้าไม่คู่ควร ดังนั้นอารมณ์ของนางจะได้รับผลกระทบได้อย่างไร?

สายตาของนางมองตรงไปข้างหน้าเสมอ นางจับจ้องไปยังเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าเท่านั้น ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จะเมินเฉยการท้าทายจากมดที่อยู่ด้านล่าง

“ฮ่า อินเหมียวเมี่ยวไม่สนจริงด้วย ข้านึกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้”

ไกลออกไป ชายหนุ่มในชุดสีเขียวยืนอยู่ ผิวขาวเนียน คิ้วเรียวขมวดจนไปถึงขมับ เขามองไปตามทิศทางที่อินเหมียวเมี่ยวจากไป อดที่จะหัวเราะขบขันไม่ได้

“เจ้าคิดว่าชายหนุ่มคนนี้พูดจาเหลวไหลหรือ?”

ข้างชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียว มีชายหนุ่มอีกคนสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวราวจันทรา ร่างสูงผอม มีคิ้วกระบี่และดวงตาพราวระยับราวกับดวงดาว เขาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ทำไมล่ะ ลูกพี่ลูกน้องเยวหมิงไม่คิดเช่นนั้นหรือ?” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวตกตะลึง ก่อนเอ่ยถาม

“อวี่ถัง เจ้าในตอนนั้น ก็กล้าท้าทายยอดฝีมืออันดับต้น ๆ เหมือนอย่างเขาไม่ใช่หรือ?” กู่เยวหมิง เอามือไพล่หลัง เอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน

เยวหมิง!

อวี่ถัง!

บนเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป มีเพียงคนเดียวที่ชื่อเยวหมิง นั่นคือบุตรชายคนโต อันดับสองที่มาจากหนึ่งในตระกูลเต๋าแห่งยันต์อักขระอันโด่งดังอย่างตระกูลกู่… กู่เยวหมิง !

เช่นเดียวกัน มีเพียงคนเดียวที่ชื่ออวี่ถัง นั่นก็คือกู่อวี่ถังผู้อยู่อันดับเก้า เขามาจากตระกูลกู่เช่นกัน

“แน่นอนว่าข้าไม่สามารถท้าทายได้ เพราะข้ารู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีหวัง แล้วความแตกต่างระหว่างการท้าทายกับการเป็นคนโง่มันอยู่ตรงไหนเล่า?” กู่อวี่ถังถามอย่างไม่เห็นด้วย

“เจ้าไม่เคยท้าทายมาก่อน แล้วรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีหวัง? มันก็จริง ในความเห็นของพวกเรา หากชายคนนั้นเทียบกับอินเหมียวเมี่ยว ย่อมไม่มีหวังอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังกล้าท้าทาย นั่นคือความกล้าอย่างหนึ่ง ดีกว่าคนเหล่านั้นที่ทำได้เพียงหยอกล้อเย้ยหยันผู้อื่น”

สีหน้าของกู่เยวหมิง จริงจังขึ้นมา

“ความกล้าหรือ? ข้าคิดว่านี่เป็นการรนหาที่ตายมากกว่า หากเอาตามความเป็นจริง คนโง่แบบนี้คงถูกฆ่าตายไปนานแล้ว ทำไมนางต้องฟังคำพูดเหลวไหลของเขาด้วย?”

เมื่อเห็นการโต้แย้งอย่างจริงจังของกู่เยวหมิง กู่อวี่ถังยิ่งไม่เห็นด้วย เขาจึงอดที่จะหัวเราะแดกดันไม่ได้

กู่เยวหมิง ถอนหายใจแผ่วเบา มองชายหนุ่มที่ก้าวออกจากสนามประลองไปไกล ก่อนเอ่ยถามช้า ๆ “อย่าลืมสิ นี่คือดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ คิดว่าทำไมถึงต้องมีกฎเกณฑ์? ทำไมถึงไม่ต้องกลัวความตาย? เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?”

กู่อวี่ถังตกตะลึง เขาไม่เคยคิดถึงคำถามเช่นนี้มาก่อน

“ยอดฝีมือที่แท้จริง ย่อมต้องรับรู้สถานการณ์ แต่เจ้าไม่เคยใคร่ครวญถึงสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงไปดูถูกผู้อื่นกัน?”

“ยิ่งกว่านั้น ชายหนุ่มคนนั้นไม่คู่ควรที่จะถูกเยาะเย้ย แต่คู่ควรที่จะให้ความเคารพและยกย่องด้วย”

ตอนนี้สีหน้าของกู่เยวหมิง เต็มไปด้วยความนับถือ “ลองดูทั่วทั้งภพเซียนสิ ข้าถามเจ้าหน่อยว่ามีใครที่สามารถเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นด้วยขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นได้บ้าง? ใครบ้างที่มีคุณสมบัติที่จะเยาะเย้ยชายหนุ่มคนนั้น?”

กู่อวี่ถังจนคำพูด เขาเพียงถูกดึงดูดโดยบทสนทนาระหว่างเฉินซีกับอินเหมียวเมี่ยว จิตใต้สำนึกจึงปฏิเสธชายหนุ่มอวดดีเช่นนั้น จนทำให้เผลอดูแคลนอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มได้สร้างปาฏิหาริย์มากพอจะทำให้ทุกคนในโลกประหลาดใจ

ปาฏิหาริย์เช่นนี้ ถึงขั้นทำลายตำนานที่อินเหมียวเมี่ยวเคยทำไว้ด้วยซ้ำ!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความเกลียดชังของกู่อวี่ถังที่มีต่อเฉินซีพลันหายไปจากหัวใจ สีหน้าของเขาจริงจังเช่นกัน พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เป็นบุคคลที่น่านับถือจริง ๆ”

เมื่อกู่เยวหมิงเห็นดังนี้ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “ที่อินเหมียวเมี่ยวปฏิเสธ มันมาจากความมั่นใจสุดหยั่งของผู้แข็งแกร่ง นั่นไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด ในทำนองเดียวกัน การท้าทายที่ริเริ่มโดยชายหนุ่ม ก็ไม่มีใครมีคุณสมบัติมากพอจะเยาะเย้ยเขาได้”

พูดถึงตรงนี้ เขาขมวดคิ้ว มองไกลออกไป พลางพึมพำ “จู่ ๆ ข้าก็มีลางสังหรณ์ว่า การปรากฏตัวของชายคนนี้ จะทำให้เกิดความโกลาหลอันใหญ่หลวงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ บางทีมันอาจทำให้อันดับของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปเปลี่ยนไปก็ได้”

กู่อวี่ถังตกตะลึง หากเป็นคนอื่นมาพูดเช่นนี้ เขาอาจจะร่วมผสมโรงหัวเราะเยาะไปด้วย แต่เมื่อเป็นคำพูดที่มาจากกู่เยวหมิง ผู้อยู่อันดับสองของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป เขาก็อดที่จะเก็บมาคิดจริงจังไม่ได้

แต่เขายังไม่ปักใจเชื่อเช่นกัน จึงกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เขาอยู่แค่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้นเท่านั้น เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับ เกรงว่าพวกเราก็คงก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำไปแล้ว”

กู่เยวหมิง ถามกลับ “แล้วเหตุใดเราต้องรอให้เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนลึกลับก่อน?”

กู่อวี่ถังตกตะลึง จากนั้นพลันได้สติ ตอบด้วยความประหลาดใจ “ใช่แล้ว ตอนนี้เขาสามารถเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้นได้ หากเขาก้าวเข้าสู่ขั้นกลาง ขั้นสูง หรือแม้กระทั่งขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตเซียนสวรรค์ เกรงว่าคงจะแข็งแกร่งจนไม่อาจวัดได้ด้วยสามัญสำนึกอีกต่อไป”

ในตอนนี้ เขาจัดให้เฉินซีอยู่ในตำแหน่งสำคัญในใจ และไม่กล้าคิดดูแคลนอีกต่อไป

“ยังเร็วเกินไปที่จะพูดอะไรในตอนนี้ ข้าได้ยินมาว่าเหลียงเริ่นกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ เขาตั้งใจจะท้าทายข้า ส่วนอินเหมียวเมี่ยวกำลังทำการขัดเกลาอย่างสุดกำลัง เพื่อต้องการจะติดสามอันดับแรก ข้าจะช้าไม่ได้…”

กู่เยวหมิงยิ้ม ราวกับกำลังพูดเรื่องลมฟ้าอากาศ ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับตัวเองแต่อย่างใด

“ลูกพี่ลูกน้องเยวหมิง จะไปท้าทายเจียงจูหลิวหรือ?” กู่อวี่ถังถามด้วยความประหลาดใจ

“เจียงจูหลิว…”

เมื่อกล่าวถึงชื่อดังกล่าว สีหน้าของกู่เยวหมิงพลันจริงจังขึ้นมา และครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขาส่ายหน้า “ข้าไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้ ไม่สิ แม้จะไปสัก 10 ปี ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี บางที คงมีเพียงหนึ่งพันอันดับแรกในเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าเท่านั้น ที่จะสามารถเทียบเคียงกับเขาในตอนนี้ได้”

ในท้ายที่สุด เขาอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ “ผู้มีภูมิหลังที่น่าสงสาร ถึงกับสามารถเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดจากสี่ตระกูลใหญ่ในเต๋าแห่งยันต์อักขระของข้าได้ จนครองอันดับหนึ่งมาได้หลายสิบปี นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถทำได้…”

“ข้าได้ยินมาว่า อันดับของเขาอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้าแล้ว และเป็นที่ยอมรับของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าภายในหนึ่งปี หลังจากนี้ เขาอาจจะกลายเป็นที่โปรดปรานของกองกำลังสูงสุดในสี่มหาทวีปก็เป็นได้”

ขณะกล่าว กู่อวี่ถังอดที่จะแสดงสีหน้าประหลาดใจและอิจฉาไม่ได้

เจียงจูหลิวผู้นี้ เป็นคนที่น่าทึ่งจริง ๆ เขาเกิดในตระกูลยาจก ไร้สำนักไร้กองกำลัง แต่กลับสามารถติดอันดับหนึ่งในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปเป็นเวลาหลายสิบปีโดยที่ไม่มีใครสามารถโค่นได้ นี่คือปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ที่ยังมีชีวิต

จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถโค่นตำแหน่งเขาลงได้

ทันใดนั้น ความคิดของกู่อวี่ถังเปลี่ยนไป เขาอดที่จะถามไม่ได้ “ลูกพี่ลูกน้องเยวหมิง เจ้าคิดว่าเด็กเมื่อครู่ มีความสามารถที่จะท้าทายเจียงจูหลิวหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ตอนนี้ ข้าหมายถึงหลังจากนี้”

กู่เยวหมิง ไหวไหล่ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้เหมือนกัน เวลาเท่านั้นที่จะตอบได้”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพัก “ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างเขากับอินเฟิ่งเอ๋อร์กันเถอะ หากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเขาอย่างละเอียดมาด้วยจะดีมาก อย่างเช่นชายหนุ่มคนนั้น ควรค่าที่จะได้รับความสนใจจากพวกเราต่อหรือไม่”

กู่อวี่ถังพยักหน้าทันที

ในตอนนี้ เฉินซีถูกจับตามองโดยสายตาแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนรอบทิศ เขาเดินออกไปไกล แต่สีหน้ากลับสงบยิ่ง ราวกับไม่สังเกตเห็นสิ่งรอบข้างแต่อย่างใด

สำหรับอินเหมียวเมี่ยว เขาคือคนที่ไม่ควรค่าที่จะใส่ใจ

สำหรับเฉินซี อินเหมียวเมี่ยวก็ไม่ควรค่าที่จะใส่ใจเช่นกัน เพราะเวลาของเขาน้อยลงทุกขณะ ไม่มีเวลาที่จะมาหัวเสียหรือหดหู่ในเรื่องเล็กน้อย

เขากำลังจะไปชั้นที่ห้าของสนามประลอง เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น

เฉินซีมาที่นี่เพื่อขัดเกลาตัวเอง ดังนั้นเขาควรเลือกคู่ต่อสู้ที่ทัดเทียม เพื่อขัดเกลาพละกำลังไปในตัว ทางที่ดีควรเลือกให้ถี่ถ้วน ด้วยพละกำลังในตอนนี้ ยามต่อสู้จนถึงขีดจำกัด จะมีกี่อันดับที่เขาสามารถทะลวงผ่านเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปได้

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท