บทที่ 1069 มหาสมุทรมังกรฟ้า
บทที่ 1069 มหาสมุทรมังกรฟ้า
เหลียงเริ่นพ่ายแพ้ให้กับอินเหมียวเมี่ยว!
ข่าวนี้แพร่กระจายราวกับพายุไปทั่วทวีปทักษิณาในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ และกองกำลังนับไม่ถ้วนต่างตกตะลึง
ภายใต้ข่าวใหญ่นี้ ไม่มีใครให้ความสนใจกับชัยชนะระหว่างเฉินซีกับเหยียนผิง
เหตุผลก็คือ ไม่ว่าจะเป็นเหลียงเริ่นหรืออินเหมียวเมี่ยว ทั้งสองต่างเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับต้น ๆ ในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วทั้งทวีปทักษิณา
คนหนึ่งมาจากตระกูลเหลียง และอยู่อันดับสามของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป ในขณะที่อีกคนหนึ่งมาจากตระกูลอินและอยู่ในอันดับสี่
ไม่ว่าจะเป็นคนไหน ทั้งสองต่างก็เป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่เหนือผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งมวล ซึ่งตอนนี้อินเหมียวเมี่ยวประสบความสำเร็จในการเอาชนะเหลียงเริ่น และขึ้นเป็นอันดับสาม ดังนั้นเรื่องนี้จะไม่ให้ตกตะลึงได้อย่างไร?
ผู้รอบรู้บางคนยังทราบอย่างชัดเจนว่า เหลียงเริ่นเตรียมพร้อมที่จะท้าทายกู่เยวหมิง ซึ่งอยู่ในอันดับสองมานานแล้ว แต่มิคาดคิดว่าจะพ่ายแพ้ให้กับอินเหมียวเมี่ยว ซึ่งอยู่ในอันดับสี่เสียก่อน
ตอนนี้ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอินเหมียวเมี่ยวได้แพร่กระจายไปทั่ว และกลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในทวีปทักษิณา ทุกคนต่างยินดีที่จะกล่าวถึง
ในเวลาเดียวกัน เรื่องที่เฉินซีท้าทายอินเหมียวเมี่ยวในวันนั้นก็ถูกดึงออกมาโดยกลุ่มคนที่ชอบก่อความวุ่นวาย และใช้มันเปรียบเทียบกับอินเหมียวเมี่ยว
“ช่างเป็นตัวตลกโดยแท้!”
“ฮึ่ม! เจ้าหมอนั่นถึงกับกล่าวว่าคุณหนูอินเหมียวเมี่ยวไม่มีคุณสมบัติที่จะท้าทายเขา ช่างประเมินความสามารถของตัวเองสูงส่งเกินไปจริง ๆ!”
“เขาก็แค่เรียกร้องความสนใจด้วยการพูดจาใหญ่โต! อัจฉริยะอย่างคุณหนูอินเหมียวเมี่ยวจะกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าในภพเซียน แล้วกบก้นบ่อที่โง่เขลาจะท้าทายนางได้อย่างไร?”
“เฮ้อ เขายังเด็กเกินไป แม้พลังฝีมือจะน่าเกรงขาม และเหนือกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั่วไป แต่กว่าจะเติบโตจนสามารถท้าทายได้ คุณหนูอินเหมียวเมี่ยวคงบรรลุสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นไปนานแล้ว และคงไม่มีทางที่เขาจะไล่ตามนางทันไปตลอดทั้งชีวิต”
“ใช่แล้ว ปัจจุบันในทวีปทักษิณาของเรา มีเพียงเจียงจูหลิวผู้ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งและกู่เยวหมิงผู้ซึ่งเป็นอันดับสองเท่านั้น ที่สามารถประลองกับคุณหนูอินเหมียวเมี่ยวได้”
การสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นในทุกเมืองของทวีปทักษิณา พวกเขาทั้งหมดล้วนหัวเราะเยาะเฉินซีที่ประเมินความสามารถของตนสูงเกินไป ราวกับมดที่พยายามเขย่าต้นไม้
ในทางกลับกัน อำนาจและอิทธิพลของอินเหมียวเมี่ยวก็เพิ่มขึ้นในชั่วข้ามคืน นางเป็นเหมือนสุริยันอันเจิดจ้าที่ทำให้โลกแห่งการบ่มเพาะของทวีปทักษิณาต้องอุทานด้วยความชื่นชม
ทว่าเฉินซียังไม่รู้เรื่องนี้
แต่ต่อให้รู้ ก็หาได้สนใจไม่ เพราะนับตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยจริงจังกับการจัดอันดับใด ๆ ดังนั้นจะสนใจคำติฉินนินทาได้อย่างไร?
ตอนนี้ เฉินซีได้กลับมาที่ห้องลับ และเขาพักผ่อนอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะเข้าสู่โลกแห่งดารา
เขาตั้งใจที่จะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ และทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง!
…
ณ โลกแห่งดารา
ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนส่องแสงเจิดจ้าและมีประกายแสงเย็นยะเยือกเล็ดลอดออกมา
เฉินซีนั่งขัดสมาธิท่ามกลางหมู่ดาว ขณะที่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังชีวิตภายในร่างกาย ชายหนุ่มได้รู้สึกถึงความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นในจิตใจของตน หัวใจสงบเหมือนบ่อน้ำโบราณ
การต่อสู้กับเหยียนผิงในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ ทำให้เขาสามารถเข้าใจปัจจัยสำคัญที่จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เป็นเวลาที่จะแยกแยะความเข้าใจต่าง ๆ ที่ได้รับ และบรรลุขอบเขตการบ่มเพาะที่สูงขึ้น
ปัง!
คลื่นเสียงคำรามของมหาเต๋าดังก้องอยู่ในร่างกาย เหมือนกับเสียงกลองขนาดใหญ่ที่ถูกตีอย่างต่อเนื่อง หรือภูเขาจำนวนมากที่ปะทุอยู่ภายใน
นี่คือการเปลี่ยนแปลงของพลังชีวิต มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ แก่นแท้ พลังงาน และจิตวิญญาณในร่างกายอยู่ในสภาวะสูงสุดเท่านั้น
ในเวลาเดียวกัน ภายในแดนฮุ่นตุ้น ต้นอ่อนเงาทมิฬได้ปลดปล่อยปราณเซียนที่บริสุทธิ์และหนาแน่น ถาโถมออกมาราวกับกระแสน้ำ มันพลุ่งพล่านผ่านแขนขาและกระดูกของเขาราวกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว
เมื่อปราณเซียนพิสุทธิ์ในร่างกายมาถึงจุดอิ่มตัว มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย เฉินซีจึงไม่ลังเลอีกต่อไป ชักนำปราณเซียนพิสุทธิ์ในร่างให้พุ่งไปทางทิศตะวันออกของแดนฮุ่นตุ้น
ทิศตะวันออกคือธาตุไม้ และมังกรฟ้าก็จำศีลอยู่ที่นั่น
ในขณะนี้ ดินแดนทางตะวันออกที่แต่เดิมมีหมอกและพร่ามัวของแดนฮุ่นตุ้น พลันเกิดคลื่นพลังผันผวนอย่างรุนแรง เมื่อปราณเซียนพิสุทธิ์ถาโถมเข้ามาราวกับฝูงอาชาป่าที่หลุดพ้นจากพันธนาการ
เมื่อเวลาผ่านไป คลื่นพลังที่ผันผวนอย่างรุนแรง ก็ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนระเบิดคลื่นเสียงกัมปนาทออกมา ราวกับกำแพงของโลกได้พังทลายลง
กระบวนการนี้กินเวลาไปอีกหนึ่งเดือนเต็ม!
หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ธรรมดาที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ หลังจากเข้าใจปัจจัยสำคัญที่บรรลุสู่ขอบเขตถัดไป ผู้เยี่ยมยุทธ์จะสามารถพัฒนามหาสมุทรมังกรฟ้า และบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางได้ในชั่วข้ามคืน
แต่เฉินซีนั่นแตกต่างออกไป รากฐานของเขาใหญ่โตมหึมาและลึกล้ำเกินไป อีกทั้งยังกว้างใหญ่กว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์คนอื่น ๆ เป็นร้อยเท่า สิ่งนี้ทำให้ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของเขายากกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนสวรรค์ธรรมดาคนอื่นมาก
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การสนับสนุนของต้นอ่อนเงาทมิฬ ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
มังกรฟ้าคำรามและกลายเป็นมหาสมุทรเซียน!
หนึ่งเดือนต่อมา เฉินซีมีความรู้สึกโหยหาอย่างแรงกล้าในหัวใจ และเริ่มหลอมรวมปราณเซียนพิสุทธิ์ภายในร่างกายโดยไม่ลังเล มันเหมือเขากำลังกำหมัดแน่น และพุ่งเข้าหาพื้นที่ทางตะวันออกของแดนฮุ่นตุ้นอย่างรุนแรง
ตูม!
บังเกิดเสียงระเบิดขนาดใหญ่ที่ราวกับก่อกำเนิดฟ้าดิน พื้นที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตถูกสร้างขึ้นที่บริเวณตะวันออกของแดนฮุ่นตุ้น
นอกจากนั้น ปราณเซียนพิสุทธิ์ในร่างกายของเฉินซีส่งเสียงร้องด้วยความยินดีเมื่อพบสถานที่ที่มันสามารถหลั่งไหลเข้าไปได้ มันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นเปลี่ยนพื้นที่ตรงนั้นให้กลายเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลในทันที
มหาสมุทรที่ก่อตัวขึ้นจากการบรรจบกันของปราณเซียนพิสุทธิ์!
ในชั่วพริบตา ความรู้สึกสบายอย่างที่อธิบายไม่ถูกก็เกิดขึ้นทั่วร่างกายของเฉินซี
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าปราณเซียนพิสุทธิ์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเร็วที่น่าตกใจ นอกจากนี้เขายังสามารถสัมผัสได้ว่าแก่นแท้ พลังงาน และจิตวิญญาณกำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน…
มันคือการเปลี่ยนแปลงของความแข็งแกร่ง และเป็นขั้นใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!
การเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกันนี้ ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน และสงบลงในอีกสามวันต่อมา
ยามนี้ ฉากภายในท้องทะเลแห่งลมปราณของเฉินซีได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
แดนฮุ่นตุ้นหมุนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วยจังหวะที่ลึกล้ำ ทางตอนเหนือเป็นมหาสมุทรสีดำอันกว้างใหญ่ มองเห็นเต่าดำลอยอยู่ในนั้นได้ราง ๆ
ในขณะเดียวกัน มหาสมุทรอันกว้างใหญ่อีกแห่งหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้นทางทิศตะวันออก พื้นผิวของมหาสมุทรเป็นสีเขียวและเต็มไปด้วยพลังอันพลุ่งพล่าน หากโยนเมล็ดพืชลงไป มันจะเติบโตอย่างบ้าคลั่ง และกลายเป็นต้นไม้ที่สูงตระหง่านในชั่วพริบตา
มันคือมหาสมุทรพฤกษาครามที่หล่อเลี้ยงความมีชีวิตชีวา ซึ่งมีมังกรขนาดมหึมาที่เปี่ยมล้นด้วยพลังมหาศาล เหินทะยานอยู่ภายในนั้น โดยมันบ้างก็โผล่ออกมาจากผิวน้ำ บ้างก็กู่ร้องคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นครั้งคราว
มหาสมุทรที่กว้างใหญ่นี้เรียกอีกอย่างว่า มหาสมุทรมังกรฟ้า!
“ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง! ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ…”
เฉินซีผู้นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นลืมตาขึ้นทันที ดวงตาเบิกโพลงเต็มไปด้วยประกายสายฟ้าระยิบระยับ สะท้อนความลึกล้ำอันไร้ขอบเขต พวกมันทั้งลึกล้ำ ชัดเจน น่าสะพรึงกลัว ราวกับสามารถแย่งชิงวิญญาณของผู้อื่นได้
ขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงปราณเซียนพิสุทธิ์และพลังชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าเฉินซีจะสุขุมสักเพียงใด แต่ชายหนุ่มก็อดที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมาไม่ได้
การบรรลุขอบเขตการบ่มเพาะ ย่อมหมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ชายหนุ่มสามารถบุกทะลวงขึ้นสู่อันดับที่สูงขึ้นในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป!
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เฉินซียื่นมือออกไป ก่อนที่ปราณกระบี่ห้าสายจะพุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือ และลอยอยู่กลางอากาศ พวกมันหมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พร้อมกับฉายแสงหลากสีสว่างไสวอย่างหาที่เปรียบมิได้ บ้างก็เขียวขจีดุจผืนป่า บ้างก็มีสีน้ำเงินเข้มราวกับน้ำแข็ง บ้างก็อาบไล้ด้วยแสงสีทอง บ้างก็หนักหน่วงดุจขุนเขา บ้างก็เป็นสีแดงราวกับเปลวเพลิงอันร้อนแรง…
สิ่งเหล่านี้ คือปราณกระบี่ที่มีพลังแห่งกฎของเบญจธาตุ
ในอดีต ด้วยพลังฝีมือที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น ทำให้เฉินซีสามารถใช้ปราณกระบี่ได้ทีละธาตุเท่านั้น ทว่าตอนนี้มันแตกต่างออกไป เพียงแค่สั่งการในใจ เขาก็สามารถใช้ปราณกระบี่ทั้งห้าธาตุในเวลาเดียวกัน และเขายังมีพละกำลังเหลือเฟือ!
“ด้วยวิธีนี้ ก็เพียงพอที่จะเอาชนะเหยียนผิงได้…” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกำฝ่ามือ ทำให้ปราณกระบี่ของธาตุทั้งห้ามาบรรจบกัน ก่อตัวเป็นปราณกระบี่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายของมหาเต๋าทั้งห้า และอาจระเบิดพลังได้อีกครั้ง!
ธาตุทั้งห้าเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ พวกมันหมุนเวียนและบรรจบเข้าด้วยกัน ดังนั้นพลังที่พวกมันระเบิดออกมา จึงน่าตกใจยิ่งกว่าตอนที่พวกมันแยกจากกัน
เฉินซีมีท่าทางพึงพอใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาจึงกางมืออีกข้างออกทันที หมายใช้ปราณกระบี่ที่มีกฎของหยินและหยางเช่นกัน
โอม! โอม!
ปราณเซียนพิสุทธิ์พุ่งออกมาจากใจกลางฝ่า ก่อนที่จะค่อย ๆ ควบแน่นพลังของกฎแห่งหยินและหยางที่เป็นสีดำและสีขาว อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกมันจะถูกรวมเป็นปราณกระบี่ เสียงโครมครามก็ดังขึ้น ทำให้พวกมันระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เฉินซีไม่แปลกใจ และรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะมีเพียงแต่ต้องบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูงเท่านั้น ชายหนุ่มจึงจะสามารถใช้ปราณกระบี่ที่มีกฎแห่งมหาเต๋าทั้งเจ็ดในเวลาเดียวกันได้
‘ถ้าข้าสามารถควบแน่นพลังของกฎแห่งวายุ อัสนี ดารา และอื่น ๆ ก่อนที่จะขัดเกลาคุณภาพของยันต์ศัสตรา บางทีข้าอาจสามารถเพิ่มพูนพลังต่อสู้ของข้าได้มากขึ้น…’
เมื่อคิดมาถึงเรื่องนี้ เฉินซีก็เงยหน้าขึ้น และมองไปที่ร่างอวตารของตน
วัตถุดิบเซียนต่าง ๆ ที่กองรวมกันจนเป็นภูเขาลูกเล็ก ๆ ตรงหน้าของร่างอวตาร ได้รับการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์แล้ว และส่วนที่เหลือทั้งหมดก็เพื่อใช้ในการขัดเกลายันต์ศัสตราด้วยตัวเอง
‘ช่างมันเถอะ ไว้ข้าไปพูดคุยกับเหลียงปิงเสียก่อน ยังไม่สายที่จะขัดเกลายันต์ศัสตราในภายหลัง’ เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจไปพบเหลียงปิงก่อน
ถึงอย่างไร การขัดเกลายันต์ศัสตราก็ไม่สามารถสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน เนื่องจากมียันต์เทวะเก้าชิ้นอยู่ภายใน การขัดเกลาวัตถุดิบเซียนต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามเดือน ในขณะที่เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าเดือนในการขัดเกลายันต์ศัสตราให้เสร็จสิ้น
ซึ่งห้าเดือนในโลกแห่งดารา เทียบเท่ากับหนึ่งเดือนในโลกภายนอก
…
เมื่อเฉินซีได้พบกับเหลียงปิงอีกครั้ง ใบหน้าของนางก็เผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน ทำให้เฉินซีตกตะลึง และเขาสัมผัสได้ว่ามีปัญหาที่ถ่วงอยู่ในหัวใจของหญิงสาว
“ในวันที่เจ้าเอาชนะเหยียนผิง เหลียงเริ่นก็พ่ายแพ้ให้กับอินเหมียวเมี่ยวเช่นกัน” เหลียงปิงไม่ได้ปกปิดเรื่องนี้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่เล็กน้อย “เหลียงเริ่นเป็นญาติผู้พี่ของข้า และเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีฝีมือไม่ธรรมดาในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลเหลียง เขาเป็นคนที่ทุ่มเทบ่มเพาะอย่างสุดใจและไม่สนสิ่งอื่นใด เดิมทีเขาตั้งใจจะท้าทายกู่เยวหมิงซึ่งอยู่ในอันดับสอง แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับอินเหมียวเมี่ยว และการพ่ายแพ่ครั้งนี้ ทำให้ขวัญกำลังใจของตระกูลเหลียงได้รับผลกระทบอย่างมาก”
เฉินซีตกตะลึง และไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี
เหลียงปิงดูเหมือนจะรู้ว่าการบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับเฉินซี นั้นไม่ต่างอะไรจากการบ่น นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ว่าแต่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าบรรลุขอบเขตได้แล้วหรือยัง?”
“ใช่แล้ว ข้าตั้งใจจะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะสักระยะหนึ่ง ข้าจึงมาบอกเจ้าไว้ก่อน” เฉินซีกล่าว
“วิเศษ”
เหลียงปิงเผยความยินดีจากใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “เจ้าสามารถเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะได้อย่างสบายใจ ข้าได้รวบรวมศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนมาเพิ่มแล้ว แต่จำนวนของมันยังไม่เพียงพอ ข้าจะมอบให้เจ้าเมื่อข้ารวบรวมได้ครบ”
เฉินซีพยักหน้า “เจ้ายังจำสิ่งที่ข้ากล่าวกับอินเหมียวเมี่ยวได้หรือไม่? ข้าจะทำมันให้สำเร็จภายในหนึ่งปีอย่างแน่นอน”
เขาหันหลังกลับและจากไปทันทีที่กล่าวจบ
เหลียงปิงตกตะลึงอยู่กับที่ นางจ้องมองร่างที่หายไปของเฉินซีเป็นเวลานาน จากนั้นรอยยิ้มที่เปี่ยมความสุขก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากสีแดงอันเย้ายวน