บทที่ 1070 ต้อนรับการต่อสู้ด้วยไฟโทสะ
บทที่ 1070 ต้อนรับการต่อสู้ด้วยไฟโทสะ
วันเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วดุจสายน้ำ และเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่เฉินซีได้พบกับเหลียงปิงครั้งล่าสุด
ในช่วงเวลานี้ หัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในทวีปทักษิณา ยังคงเป็นเรื่องของอินเหมียวเมี่ยว และนอกเหนือจากเรื่องนี้ สิบอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
หลัวจื่อเฟิงซึ่งเดิมทีอยู่ในอันดับหก ได้เอาชนะหวังโย่วหยาที่อยู่ในอันดับห้า และขึ้นสู่อันดับห้าแทน ในขณะที่กู่อวีเทียนซึ่งอยู่อันดับเก้า ได้เอาชนะเซวียนเหวินหลงที่อยู่อันดับเจ็ด และแทนที่ตำแหน่งของเขา
ด้วยเหตุนี้ เหลียงปิงซึ่งเดิมทีอยู่ในอันดับแปด ระหว่างกู่อวี่ถังและเซวียนเหวินหลง จึงถูกผลักลงมาเป็นอันดับเก้าแทน
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากมหาอำนาจ
เหลียงเริ่นพ่ายแพ้ให้กับอินเหมียวเมี่ยว ทำให้อันดับของเขาตกลงสู่อันดับสี่ ในขณะที่เหลียงปิงก็ตกลงไปที่อันดับเก้า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ย่อมหมายความว่าสถานะของตระกูลเหลียงในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปจะถูกแซงหน้าโดยตระกูลอิน ตระกูลหลัว และตระกูลกู่หรือไม่?
หากสังเกตอย่างระมัดระวัง ก็จะเห็นว่าหลัวจื่อเฟิงจากตระกูลหลัว อินเหมียวเมี่ยวจากตระกูลอิน และกู่อวี่ถังจากตระกูลกู่ ล้วนไต่สู่อันดับที่สูงขึ้น ในขณะที่อันดับของเหลียงเริ่นและเหลียงปิงของตระกูลเหลียงกลับตกลง
นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ทุกคนติดตามด้วยความสนใจ นั่นคือการต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับอินหว่านซวินที่ควรจะเกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น
อินหว่านซวินเฝ้ารออยู่ที่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้นับตั้งแต่นั้นมา แต่กลับไม่พบร่องรอยของเฉินซีอีกเลย
สิ่งนี้ทำให้คนที่เฝ้ารอชมการต่อสู้ต้องรู้สึกผิดหวัง จากความผิดหวังก็กลายเป็นความไม่พอใจ หลังจากความไม่พอใจก็กลายเป็นการดูถูก และท้ายที่สุด ความรู้สึกดูถูกก็กลายเป็นการก่นด่า
“ไม่ใช่ว่าเจ้านั่นกลัวการต่อสู้ เลยหลบซ่อนตัวไปแล้ว?”
“เฮ้อ บางทีมันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ข้าได้ยินมาว่า อินหว่านซวินอยู่ในอันดับหนึ่งร้อยห้าสิบสี่ก่อนจะบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางเสียอีก เห็นได้ชัดว่าพลังฝีมือของเขานั้นน่าเกรงขามเพียงใด”
“ฮึ่ม! เดิมทีข้าคิดว่าจะมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ไม่ธรรมดาอีกคนปรากฏตัวในทวีปทักษิณาของเรา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กที่ชื่อเฉินซีนั่นจะเป็นเพียงก้อนกรวดไร้ค่า”
เมื่อเวลาไหลผ่านไป และเฉินซีไม่ได้ปรากฏตัวในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้มาเป็นเวลานาน ทำให้มีการถกเถียงเช่นนี้เพิ่มขึ้นทุกวัน และทุกคนต่างไม่พอใจกับการกระทำของเฉินซี ที่ไม่ปรากฏตัวเพราะหวาดกลัว
…
ไหนเลยเฉินซีจะรู้เรื่องนี้
ยามนี้ เขากำลังพินิจยันต์ศัสตราที่เพิ่งขัดเกลาสำเร็จอย่างระมัดระวังอยู่ภายในโลกแห่งดารา
รูปทรงเรียบง่าย ใบมีดสีดำสนิทไร้ความมันวาว มันดูมืดมนและไม่เด่นสะดุดตาในแวบแรก แต่หากมองอย่างถี่ถ้วน จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกและดุดันจู่โจมเข้าอย่างจัง ราวกับสัตว์ร้ายบรรพกาลที่กำลังรอโอกาสกลืนกินศัตรูอาศัยอยู่ภายในนั้น
เคร้ง!
เฉินซีใช้นิ้วดีดกระบี่เบา ๆ บังเกิดเสียงกังวานเย็นเฉียบ แผ่กระจายไปทั่วโลกของดาราราวกับกระแสน้ำ ในชั่วพริบตา บริเวณโดยรอบพลันเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบและเฉียบคม
มันคือศูนย์รวมพลังของยันต์ศัสตรา หากเป็นโลกภายนอก กลิ่นอายนี้ก็เพียงพอที่จะปลุกเร้าความสยดสยองให้กับผู้บ่มเพาะเซียนสวรรค์ธรรมดาทั่วไป ทำให้ต้องโคจรการบ่มเพาะเพื่อต่อต้านมัน
“ช่างเป็นสมบัติที่ยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้! สมกับเป็นยันต์ศัสตรา มีศักยภาพอันไร้ขอบเขตในการขัดเกลาคุณภาพ และในแง่ของพลัง ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นสูงเลยด้วยซ้ำ!” ดวงตาของเฉินซีเต็มไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจเล็กน้อย เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะออกจากโลกแห่งดารา
ในขณะเดียวกัน ร่างอวตารเองกำลังจมอยู่ในห้วงลึกของการทำสมาธิ และบำเพ็ญเพียรเพื่อเตรียมบรรลุไปสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ในการขัดเกลากายา โดยที่มันกำลังรอให้เหลียงปิงรวบรวมผลึกโลหิตจ้าววิญญาณเซียนให้เพียงพอ จากนั้นมันจะเริ่มทะลวงสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์
…
ในวันนั้น อินหว่านซวินได้ขู่ว่าจะระเบิดดวงวิญญาณของเฉินซี และจะทำให้เขากลายเป็นคนโง่ ซึ่งเฉินซีก็ยังจำเรื่องนี้ได้ดี
ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ เขาตั้งใจที่มุ่งหน้าเข้าสู่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้โดยตรง แต่ต้องไปหาเหลียงเจิ้นและเหลียงเลี่ยงเสียก่อน เพราะด้วยความช่วยเหลือของทั้งสอง ทำให้สามารถจัดการกับเรื่องเล็กน้อยต่าง ๆ ได้
“เจ้าตั้งใจจะไปที่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ใช่หรือไม่” เมื่อนางพบว่าเฉินซีกำลังตามหาเหลียงเจิ้นและเหลียงเลี่ยง สีหน้าของเหลียงปิงก็เผยความไม่สบายใจเล็กน้อย แต่มันก็หายวับไปในทันที
เฉินซีย่อมสังเกตเห็น แต่ไม่ได้ถามอะไรอีก ทำเพียงพยักหน้า
“หลังจากที่เจ้าเอาชนะเหยียนผิงในวันนั้น อันดับของเจ้าก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเก้าสิบสามแล้ว และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด หลังจากที่เจ้าบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง อันดับของเจ้าก็จะยิ่งสูงขึ้น” เหลียงปิงดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นนางก็กล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องระวังอินหว่านซวิน เขามีศักยภาพที่จะพุ่งเข้าสู่ร้อยอันดับแรกทันทีที่บรรลุขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ดังนั้นจึงไม่สามารถประเมินฝีมือเขาต่ำเกินไปได้”
เฉินซียิ้ม “ข้ารู้”
เมื่อเดือนที่แล้ว เหลียงเลี่ยงได้บอกเฉินซีเกี่ยวกับความสามารถของอินหว่านซวิน หากเป็นก่อนหน้านี้ บางทีเขาอาจจะหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขากำลังต้องการคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เพื่อขัดเกลาฝีมืออีกครั้ง
เหลียงปิงลังเลอยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าเฉินซีดูเหมือนจะเตรียมพร้อมไว้แล้ว และนางกล่าวในตอนท้ายว่า “เหลียงเจิ้นและเหลียงเลี่ยงอาจจะไม่สามารถไปกับเจ้าได้”
เฉินซีตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น?!”
“พวกเขาไปเก็บหนี้ของตระกูลอิน แต่ถูกกลุ่มของอินเฟิงเอ๋อร์ทุบตีอย่างโหดร้าย แม้ว่าจะทวงหนี้ได้ แต่ก็บาดเจ็บสาหัสและเกือบพิการ ตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่” เหลียงปิงกล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความโกรธและความเย็นชาที่ไม่สามารถระงับได้
หนนี้ที่กล่าวถึง ย่อมเป็นศิลาอมตะที่ศิษย์ของตระกูลอินจะต้องจ่ายเพื่อท้าทายเฉินซี แต่เฉินซีก็นึกไม่ถึงว่าตระกูลอินจะกล้าทำเช่นนี้จริง ๆ
สีหน้าของเฉินซีก็ค่อย ๆ กลายเป็นเย็นชาในพริบตา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า การที่เหลียงเจิ้นกับเหลียงเลี่ยงบาดเจ็บสาหัสและเกือบพิการ เป็นเพราะพวกเขาทำงานให้กับเฉินซี ดังนั้นเฉินซีจะไม่โกรธเคืองได้อย่างไร?
“ตระกูลอิน… อินเฟิงเอ๋อร์…”
เฉินซีกล่าวคำเหล่านี้ซ้ำ ๆ ก่อนสีหน้าจะสงบลง “ให้ข้าจัดการเรื่องนี้เอง” ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป
“เฉินซี เจ้ามิอาจหุนหันพลันแล่น! อินเฟิงเอ๋อร์อยู่ในอันดับที่สิบเอ็ด และนางไม่ใช่คนที่เจ้าจะเทียบเคียงได้ในตอนนี้” เหลียงปิงร้องเตือนไล่หลัง
เฉินซีไม่แม้แต่จะหันกลับมา กล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “ข้าดูเหมือนคนที่หุนหันพลันแล่นอย่างนั้นหรือ? ทว่าบางเรื่องไม่อาจข้ามเส้น มิฉะนั้นจะต้องชดใช้อย่างสาสม”
…
ณ ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้
นี่เป็นครั้งที่สามที่เฉินซีได้ก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนอันน่ามหัศจรรย์แห่งนี้ แต่ครั้งนี้หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ชู่ว!
ร่างหนึ่งได้ผ่านหน้าเฉินซีไป และดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่าง ทำให้หันศีรษะกลับมามอง เมื่อร่างนั้นเห็นใบหน้าของเฉินซีอย่างชัดเจน ก็ร้องออกมา “เฉินซี! ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว!”
ดูเหมือนคนคนนั้นจะตื่นเต้นและประหลาดใจอย่างมาก ดังนั้นเสียงของเขาจึงค่อนข้างบาดหู ดึงดูดความสนใจของผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนในบริเวณใกล้เคียงทันที
“เจ้าว่าอะไรนะ! หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ไอ้หมอนี้ก็กล้าที่จะปรากฏตัวแล้วหรือ?”
“มันเป็นเรื่องจริง คงไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าอินหว่านซวินได้จากไปแล้ว ดังนั้นจึงกล้ามาที่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้กระมัง?”
“เร็วเข้า! เร็วเข้า! รีบไปแจ้งทุกคนเร็ว! มีคนมากมายเห็นเฉินซี วันนี้เขาไม่รอดแน่! เว้นแต่จะละทิ้งศักดิ์ศรีในฐานะผู้เยี่ยมยุทธ์และหันหลังหนีไป”
“ถูกต้อง การหนีเท่ากับเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ และมีแต่จะทำให้ผู้คนในโลกดูถูกเขา!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังระงม บางคนรู้สึกสงสัย บางคนเย้ยหยัน และบางคนรีบไปแจ้งสหายของตน ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
“คนเหล่านี้ดูเหมือนจะตื่นเต้นยิ่งกว่าข้าเสียอีก…”
ความคิดนี้แวบเข้ามาในใจของเฉินซี ก่อนจะโยนมันทิ้งไป จากนั้นพุ่งทะยานไปยังสนามประลองที่อยู่ไกลออกไป ครั้งนี้ เขามาเพื่อต่อสู้กับอินหว่านซวินโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้ หากอินหว่านซวินยังไม่ได้จากไป!
ในไม่ช้า ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงของสนามประลองก็ได้ยินการมาถึงของเฉินซี พวกเขารีบไปที่สนามประลองบนชั้นที่ห้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนที่กำลังสู้ ก็ยังละทิ้งการต่อสู้ของพวกตน และหันไปเข้าร่วมกับกองทัพของผู้ชม
ในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ หากเป็นในแง่ของผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ย่อมเป็นอินเหมียวเมี่ยว เจียงจูหลิว กู่เยวหมิง แต่ถ้าเป็นในแง่ของคนที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด ย่อมต้องเป็นเฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินซีได้เอาชนะอินหุนซึ่งอยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น ในขณะที่ตนอยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นต้น เขาได้สร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในพันปีที่ผ่านมา
ต่อมา เฉินซีได้เอาชนะเหยียนผิง และได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งให้ได้ประจักษ์อีกครั้ง ทำให้อันดับของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับหน่อไม้หลังฝนตก จนมาถึงสองร้อยอันดับแรก
อย่างไรก็ตาม เฉินซีก็เป็นอัจฉริยะที่กล้าโอ้อวดอย่างไร้ยางอาย ท้าทายอินเหมียวเมี่ยวซึ่งอยู่ในอันดับสามในยามนี้ ผู้คนต่างถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในความเห็นของผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่ เขาเป็นเพียงคนโง่เขลาและเย่อหยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา การต่อสู้ที่ล่าช้าระหว่างเฉินซีกับอินหว่านซวิน ได้สร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เฝ้ารอภายในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้เป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในทำนองเดียวกัน
เมื่อเฉินซีปรากฏตัว ก็เป็นเรื่องธรรดาที่จะเกิดความโกลาหล
ดังนั้น เมื่อเฉินซีมาถึงสนามประลองบนชั้นที่ห้า เขาเห็นกลุ่มคนล้อมรอบสนามประลองที่ต่อสู้ในวันนั้นอย่างหนาแน่น และเป็นฉากที่ค่อนข้างงดงาม
“ในที่สุด สหายคนนี้ก็มาเสียที ดูเหมือนว่าเขาจะยังมีกระดูกสันหลังอยู่บ้าง”
“ฮึ่ม! เขาก็แค่เอาชีวิตมาทิ้งมิใช่หรือ? เจ้าไม่ได้ยินหรอกหรือ? อินหว่านซวินตั้งใจจะระเบิดดวงวิญญาณและทำให้เขากลายเป็นคนโง่”
“หยุดพูดจาประชดประชันได้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขากลัวจนหนีไป? หรือต่อให้เขาไม่กลัว ถ้าเขายอมรับความพ่ายแพ้ต่ออินหว่านซวิน แล้วเราจะมีการแสดงให้ดูอยู่อีกหรือ?”
เสียงโหวกเหวกโวยวายเดี๋ยวดังเดี๋ยวเบาไปทั่วบริเวณโดยรอบ แต่ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเฉินซีได้ สายตามองทะลุผ่านฝูงชน จดจ้องไปยังร่างของอินหว่านซวินที่อยู่ด้านหน้า
อินหว่านซวินดูสงบมาก แม้ว่าจะรอมานานนับเดือน เมื่อเขาเห็นเฉินซีมาถึง อินหว่านซวินก็เผยรอยยิ้มอันน่าสยดสยองที่เย็นยะเยือกและชั่วร้าย
“ไอ้หนู เจ้ายืดชีวิตไปได้หนึ่งเดือนก็เพียงพอแล้ว รีบขึ้นมารับความตายของเจ้าซะ” อินหว่านซวินกล่าวอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและกระโดดขึ้นไปบนสนามประลอง จากนั้นยืนกอดอกอยู่ตรงนั้น
“ลุยเลย จะมัวยืนรออะไรอยู่” มีคนอดกลั้นไม่ได้อีกต่อไป และตะโกนใส่เฉินซี
“ขึ้นไปซะ!”
“รีบขึ้นไปซะ!”
ไม่นานนัก ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดที่อยู่รอบข้างก็เริ่มตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน จนก่อตัวเป็นมหาสมุทรแห่งเสียง พวกเขาต่างแสดงสีหน้าเยาะเย้ย ราวกับต้องการเห็นโลกมอดไหม้และรับการชมการแสดงที่น่าเร้าใจ
เฉินซีอดที่จะส่ายศีรษะไม่ได้ เขาเดินทีละก้าวไปยังสนามประลองอย่างไม่รีบร้อน ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง เผยให้เห็นท่าทางมั่นคงและไม่ธรรมดา
เมื่อเฉินซีตัดสินใจที่จะสู้ จิตใจจะเข้าสู่สภาวะว่างเปล่า ทำให้ปัจจัยภายนอกไม่สามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจและร่างกายได้ นี่คือจิตสำนึกของการต่อสู้ ที่เขาได้ขัดเกลาผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นสัญชาตญาณรูปแบบหนึ่ง!