บทที่ 1071 ตามที่เจ้าต้องการ
บทที่ 1071 ตามที่เจ้าต้องการ
ฝีเท้าของเฉินซีนั้นสงบและสุขุม ไม่ทำให้เกิดเสียงแม้แต่น้อย แต่ทุกครั้งที่เขาก้าว มันกลับแฝงไปด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วง
ในขณะที่พวกเขามองไปที่ชายหนุ่มผู้สุขุมเยือกเย็นคนนี้ และมองดูร่างชายหนุ่มเคลื่อนตัวไปยังสนามประลองอย่างสบาย ๆ เสียงอึกทึกครึกโครมรอบข้างก็ค่อย ๆ เงียบลง
เมื่อเฉินซีก้าวเท้าเข้าสู่สนามประลอง รอบข้างพลันเงียบสนิทจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มหล่น
บรรยากาศเช่นนี้เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคน มันเงียบสนิท เคร่งขรึม และมีกลิ่นอายกดดัน
“น่าสนใจยิ่งนัก พลังของเขาสามารถส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้คน นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้” ในระยะไกล ดวงตาของกู่อวี่ถังพลันเปล่งประกาย และประหลาดใจอย่างมาก เมื่อได้ยินว่าเฉินซีปรากฏตัวในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้อีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่ และบังเอิญได้เห็นฉากดังกล่าว
“นี่คือ เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ ซึ่งมีเฉพาะในผู้ที่อุทิศตนให้กับการต่อสู้เท่านั้น จึงจะสามารถสร้างผลกระทบในลักษณะนี้ซึ่งเปรียบเสมือน ‘พลัง’ มันยังพิสูจน์ให้เห็นว่า เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้ของเฉินซีนั่นน่าเกรงขามจนเหนือจินตนาการ” หลัวจื่อเฟิงรีบมาที่นี่เช่นกัน และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด นับตั้งแต่เฉินซีมาถึงสนามประลอง
แม้แต่ในระดับของพวกตน เจตจำนงเต๋าแห่งการต่อสู้เช่นนี้ก็หาได้ยากมาก ทว่าตอนนี้มันปรากฏกับชายหนุ่มที่อยู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง เขาจึงอดที่จะอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้
“คนหนึ่งเพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง ส่วนอีกคนเพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง ข้าชักสงสัยว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้” กู่อวี่ถังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่จะกล่าวออกมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่สนามประลองที่อยู่ไกลออกไป
“ข้าก็ตั้งตารอเช่นกัน” หลัวจื่อเฟิงยิ้ม “แม้ว่าเหลียงปิงจะพาเขาเข้าสู่ตระกูลเหลียง แต่ข้าก็ต้องพยายามต่อสู้เพื่อเขา ตระกูลหลัวของข้าขาดคนหนุ่มสาวเช่นนี้จริง ๆ”
ดวงตาของกู่อวี่ถังหรี่ลงเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินสิ่งนี้ แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
…
หลังจากที่เฉินซีก้าวเท้าขึ้นไปบนสนามประลอง ผู้ชมโดยรอบก็ดูเหมือนกับว่าตื่นขึ้นจากบรรยากาศที่เงียบสงัดราวกับความฝัน สายตาที่จ้องมองเฉินซีก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ทุกคนต่างทราบดีว่าจิตใจของตนได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายอย่างชัดเจน และทำให้พวกเขากลับมารู้สึกตัวได้ในตอนนี้เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายนี้ยังมาจากเฉินซี!
บนสนามประลอง
อินหว่านซวินก็สังเกตเห็นฉากนี้เช่นกัน ดวงตาของเขาทอแววลึกล้ำและกะพริบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งเฉินซีได้มายืนเผชิญหน้ากับตนบนสนามประลอง เขาเพียงหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “อันใดกัน? ครั้งนี้ผู้ช่วยสองคนของเจ้าไม่ได้มาด้วยหรือ?”
แน่นอนว่าเขาย่อมกล่าวถึงเหลียงเจิ้นและเหลียงเลี่ยง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ก็หวนนึกถึงสิ่งที่พวกเขาเห็นและได้ยินเมื่อเดือนที่แล้ว และจำคู่ตัวประหลาดที่ทำให้อินว่านเฟิงไม่พอใจได้เป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้นในทันที
แต่เมื่อเฉินซีได้ยินสิ่งนี้ สายตาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาแทน และเข้าใจทันทีว่า อินหว่านซวินน่าจะรู้ว่าเหลียงเจิ้นกับเหลียงเลี่ยงได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบพิการ
ยิ่งไปกว่านั้น คนร้ายก็คือตระกูลอินของพวกเขา!
“น่าเสียดายหลังจากที่เก็บหนี้ พวกเขาจากไปเร็วนัก มิฉะนั้นตระกูลเหลียงอาจมีไอ้โง่เพิ่มอีกสองคน” อินหว่านซวินยิ้มอย่างน่าสยดสยอง ซึ่งเผยให้เห็นฟันขาวแหลมคมเต็มปาก “แต่ก็ไม่เป็นไร การบดขยี้เจ้าก็เพียงพอที่จะแก้แค้นให้น้องชายของข้าแล้ว”
“พี่ใหญ่ เจ้าจะปล่อยมันไปง่าย ๆ ได้อย่างไร เจ้าต้องทำให้มันพิการเสียก่อน แล้วข้าจะได้จัดการกับมันในโลกภายนอก! ข้าจะทำให้มันอยู่ไม่สู้ตาย! หลังจากที่มันทำให้ข้าอินว่านเฟิงขุ่นเคือง!” เสียงของอินหว่านซวินยังดังก้องอยู่ในอากาศมันไม่ทันจางหาย กลับมีคนตะโกนออกมจากฝูงชนอย่างน่ากลัว คนผู้นั้นมีใบหน้าหล่อเหลา แต่กลับบิดเบี้ยว สายตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ซึ่งคนผู้นั้นคืออินว่านเฟิงนั่นเอง
ทุกคนทั้งประหลาดใจและรู้สึกขบขัน สาเหตุที่พวกเขารู้สึกขบขันนั้น เป็นเพราะอินว่านเฟิงนั่นเดือดดาลจนทำให้ดวงวิญญาณบาดเจ็บสาหัส และถูกบังคับให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง และมันน่าขายหน้าอย่างยิ่ง ส่วนเรื่องที่ประหลาดใจ เป็นเพราะพวกเขานึกไม่ถึงว่าอินว่านเฟิงจะแค้นเฉินซีเข้ากระดูกดำถึงเพียงนี้ และดูเหมือนจะไม่ยอมถอยจนกว่าจะฆ่าเฉินซีได้
“ช่างโง่เขลา” ปฏิกิริยาของเฉินซีต่อเสียงตะโกนนั้นก็ราบเรียบอย่างยิ่ง และไม่แม้แต่จะหันกลับมา แม้ว่าเสียงของเขาจะไม่ดัง แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ใบหน้าของอินว่านเฟิงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ และโกรธจนกัดฟันแน่น พร้อมกับชี้นิ้วไปที่เฉินซี “ไอ้หนู รอข้าก่อนเถอะ!”
“ไม่จำเป็นต้องรอ ข้าจะฆ่ามันเดี๋ยวนี้!” บนสนามประลอง ใบหน้าของอินหว่านซวินก็มืดลงเช่นกัน เขาตะโกนด้วยเสียงเย็นยะเยือก ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างดุร้าย ขณะยืดแขนขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับมังกรทมิฬที่พ่นน้ำ ปลดปล่อยพลังมหาศาลออกจากฝ่ามือ
ฝ่ามือนี้มีพลังรุนแรงดุจพายุ ทุกที่ที่มันผ่านไป ท้องฟ้าจะถูกทำลายจนแตกละเอียดไปทีละนิด และบังเกิดเสียงกัมปนาทกระแทกแก้วหู
“ฝ่ามือกระแสวิญญาณทมิฬของตระกูลอิน!” มีคนอุทานด้วยความตกใจ เขาจำศาสตร์เซียนนี้ได้ มันเป็นหนึ่งในมรดกของตระกูลอินที่มีกฎแห่งวารี เมื่อมันถูกใช้ออกไป เสมือนคลื่นยักษ์นับพันที่ถาโถม อัดแน่นด้วยพลังที่สามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้
ปัง!
พลังฝ่ามือพุ่งทะยานออกไป แต่สีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่อยู่ภายใน จากนั้นฟันฝ่ามืออย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ปราณกระบี่พุ่งเข้าปะทะ มันทั้งรุนแรงและดุร้าย ผ่าพลังฝ่ามือออกจากกันโดยทันที
ประหนึ่งกรรไกรตัดผ้าจากตรงกลาง ก่อให้เกิดเสียงบาดหูที่เกิดจากการเสียดสี
“ฮึ่ม!” กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของอินหว่านซวินรุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากที่การโจมตีครั้งแรกถูกสกัด ผมยาวปลิวสยาย เผยให้เห็นกลิ่นอายครอบงำสูงสุดที่ไม่อาจควบคุมได้
เขากระทืบเท้าลงบนพื้น ฝ่ามืออยู่ในลักษณะเหมือนถือพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ ทั้งร่างเปล่งประกาย และฟาดฝ่ามือใส่เฉินซีอีกครั้ง
ทันใดนั้น ทุกคนเหมือนเห็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ถาโถมลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับพลังที่น่าตกใจ ราวกับตั้งใจจะจมทั้งโลก
เฉินซีไม่ไหวติง ใบหน้าที่สงบของเขาเผยให้เห็นเจตนาฆ่า ใช้ทั้งฝ่ามือและนิ้ว เพื่อสร้างปราณกระบี่ปกคลุมท้องฟ้า และฟันลงมาทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง
ฟ่อ! ฟ่อ! ฟ่อ! ฟ่อ!
ปราณกระบี่พุ่งขึ้นไปตัดกันบนท้องฟ้า พร้อมกับเปล่งแสงหลากสีออกมา ราวกับจะฉีกกระชากท้องฟ้าและผืนดินออกจากกัน จากนั้นปราณกระบี่ทั้งห้าเข้าสลายการโจมตีทั้งหมดด้วยคมกระบี่ของพวกมัน
ทั้งสองคนติดพันอยู่ในการต่อสู้ หนึ่งคนใช้ฝ่ามือฟาดอย่างรุนแรงดั่งทะเลคลั่ง มันรุนแรงและดุดัน ส่วนอีกคนใช้ปราณกระบี่ที่ดุร้ายและเปี่ยมด้วยจิตสังหาร แผ่ไปทั่วบริเวณ
ผู้ชมสามารถสังเกตเห็น คลื่นแรงกระแทกจากการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน ทำให้สนามประลองสั่นสะเทือนอย่างไม่รู้จบ ปราณเซียนพิสุทธิ์พลุ่งพล่านอยู่ภายในนั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับภูเขาไฟใกล้ปะทุ กลุ่มควันพวยพุ่งบดบังฟ้าดินจนมืดมิด
ผู้ชมที่อยู่โดยรอบไม่สามารถละสายตา และจิตใจของพวกเขาก็สั่นคลอน
อินหว่านซวินนั้นแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งอย่างไร้ข้อกังขา เขาบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางซึ่งเหนือกว่าเฉินซีอยู่หลายขั้น ทั้งยังบรรลุสุดยอดศาสตร์เซียนของตระกูลอิน ดังนั้นความแข็งแกร่งดังกล่าวจึงเพียงพอที่จะพุ่งเข้าสู่ร้อยอันดับแรกของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป
การต่อสู้ครั้งนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนชื่นชมเขาอย่างมาก แม้ว่าพลังฝีมือของคู่ต่อสู้อย่างเฉินซีจะท้าทายสวรรค์ แต่คู่ต่อสู้ของเขาก็มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลางเท่านั้น และนี่คือจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเฉินซี
แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าทันทีที่การต่อสู้ปะทุขึ้น อินหว่านซวินกลับไม่สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบ และดูเหมือนว่าทั้งสองจะมีพลังฝีมือที่สูสีกัน!
“แม้ว่าการบ่มเพาะของชายคนนี้จะบรรลุเพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง ทว่าพลังต่อสู้ของเขาดูเหมือนจะทวีเพิ่มเป็นสองเท่า ช่างเป็นตัวประหลาดอย่างแท้จริง!” ทุกคนต่างประหลาดใจ ชายหนุ่มที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นกลาง จะมีพลังต่อสู้ที่เหนือล้ำเกินจินตนาการได้อย่างไร
“ข้าต้องยอมรับว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะในวิถีแห่งเซียน น่าเสียดาย ยิ่งเจ้าเป็นอัจฉริยะมากเท่าใด ก็ยิ่งอายุสั้นเท่านั้น เพราะเจ้าทำให้ตระกูลอินของข้าขุ่นเคือง!” ในระหว่างการต่อสู้ อินหว่านซวินกู่ร้องเสียงยาว ในขณะที่ร่างกายเต็มไปด้วยคลื่นซัดสาด ราวกับเทพเจ้าแห่งวารีประทับร่าง และแผ่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามออกมา พร้อมกับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง
ในเวลาเดียวกัน ดาบเล่มหนา ทื่อ และดำสนิทพลันปรากฏขึ้นในมือของเขา ดาบยาวสี่ฉื่อสิบสองชุ่น และมีความกว้างประมาณฝ่ามือ มันถูกสลักด้วยลวดลายมากมายที่ลึกล้ำอย่างหนาแน่น ทันทีที่มันปรากฏขึ้น มันก็เปล่งรัศมีอันชั่วร้าย และกระหายเลือดออกมา ทำให้กลิ่นอายน่าเกรงขามของอินหว่านซวิน ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
“ดาบทลายขุนเขาพรากวิญญาณ! มันเป็นสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นสูง มันเป็นศาสตราวุธที่ดุร้าย ได้รับการปรับแต่งและขัดเกลาโดยบรรพบุรุษของตระกูลอินภายในแดนโลหิตของเหล่าคนบาป อีกทั้งยังใช้ดวงวิญญาณของเหล่าคนบาปไปกว่าแปดพันคนในการขัดเกลามัน ซึ่งพลังทั้งเก้าระดับถูกผนึกไว้ภายใน ข้าสงสัยว่าอินหว่านซวินจะสามารถปลดผนึกได้กี่ระดับ” ในระยะไกล กู่อวี่ถังประเมินด้วยเสียงแผ่วเบา และเห็นได้ชัดว่าเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับอาวุธที่ดุร้ายนี้
“อินหว่านซวินเพิ่งบรรลุขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลางได้ไม่นาน ดังนั้นเขาคงสามารถปลดผนึกพลังระดับห้าไม่ก็ระดับเจ็ดเป็นอย่างมาก” หลัวจื่อเฟิงแสดงความเห็นเพิ่มเติมจากด้านข้าง “ถ้าเฉินซียังคงต่อสู้ด้วยมือเปล่า มีความเป็นไปได้ที่เขาก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้”
กู่อวี่ถังที่อยู่ใกล้เคียงพยักหน้า เขาเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ใช่แค่พวกเขาสองคนเท่านั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ใกล้เคียงก็เข้าใจสิ่งนี้เช่นกัน การบ่มเพาะของอินหว่านซวินอยู่ที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นกลาง และใช้อาวุธที่ดุร้ายอย่างดาบทลายขุนเขาพรากวิญญาณ ย่อมหมายความว่าเขาตั้งใจจะเอาชนะเฉินซีในครั้งเดียว โดยไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ได้ดิ้นรน!
โอม!
เสียงคำรามของดาบทำให้สวรรค์สั่นสะเทือน ในขณะที่มันถูกชูขึ้นสู่ท้องฟ้า อินหว่านซวินถือดาบไว้ในมือ และฟาดฟันลงมาที่เฉินซี คมดาบเปล่งประกายแสงสีดำสนิท และมีกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่น่าสะพรึงกลัว พร้อมกับเปล่งเสียงคำรามแหลมสูงที่ทำให้ผู้ฟังสั่นสะท้าน
การโจมตีครั้งนี้แฝงไปด้วยพลังที่ดุร้าย ไร้เหตุผล ไร้การควบคุม และมีอำนาจกดขี่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแก่นแท้ของเต๋าแห่งดาบอันลึกล้ำ
เต๋าแห่งดาบนั่นรุนแรง ดุร้าย ไม่ถูกยับยั้ง และไม่อาจควบคุม ซึ่งเป็นเส้นทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับเต๋าแห่งกระบี่ แต่ไม่มีข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบระหว่างทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม เต๋าทุกชนิดไม่มีข้อเสียหรือได้เปรียบจากเต๋าอื่น ๆ ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่ามีทักษะและความเชี่ยวชาญในเต๋าหรือไม่
เห็นได้ชัดว่าความสำเร็จของอินหว่านซวินในเต๋าแห่งดาบนั้นมาถึงจุดสูงสุดอย่างน่าตกใจ ดังนั้นทันทีที่ดาบถูกฟันออกไป มันทำให้หัวใจของทุกคนที่อยู่นอกสนามประลองรู้สึกถึงความสยดสยอง มือและเท้าย็นยะเยือก จิตใจของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ฝ่ามือและนิ้วฟันออกไปซ้ำ ๆ ปราณกระบี่นับร้อยสายถูกควบแน่นจนถึงจุดที่เหมือนจับต้องได้ พวกมันทั้งหนาและกว้างใหญ่ อีกทั้งยังระเบิดเสียงดังกึกก้อง ขณะปะทะกับปราณดาบของอินหว่านซวิน และทำให้สวรรค์ทั้งเก้าสั่นสะเทือน
แต่ถึงอย่างไร สิ่งนี้แทบจะไม่สามารถต้านทานพลังดาบของอินหว่านซวินได้เลย!
“ไอ้เด็กบัดซบ แสดงอาวุธของเจ้าซะ มิฉะนั้น เตรียมรอรับความตายซะ!” อินหว่านซวินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจ ก่อนจะโจมตีอีกครั้งด้วยดาบในมือ เขาเป็นเหมือนเทพสงครามที่เชี่ยวชาญในการใช้ดาบ ทั้งยังแผ่กลิ่นอายกดดันอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ถึงเวลาที่เขาต้องใช้พลังที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงพ่นคำสามคำออกมาเบา ๆ “ตามที่เจ้าต้องการ!”
เสียงของเขายังคงดังก้องอยู่ในอากาศไม่ทันเลือนหาย กระบี่สีดำสนิท ไร้ความแวววาว และเรียบง่ายปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเรียวขาว เป็นรูปลักษณ์ที่ธรรมดายิ่ง
แต่ในทันทีที่มันอยู่ในฝ่ามือของเฉินซี เสียงคำรามของกระบี่ก็ดังเขย่าสวรรค์ทั้งเก้า ก้องไปทั่วฟ้าดิน
ในขณะนี้ ยันต์ศัสตราที่ผ่านการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งหมดนั้น ถูกปลดออกจากฝักแล้ว!