บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1086 เป็นที่ได้รับความนิยม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1086 เป็นที่ได้รับความนิยม

บทที่ 1086 เป็นที่ได้รับความนิยม

“เฉินซีออกจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้ว!”

“เร็วเข้า! รีบไปรายงานเรื่องนี้กับนายน้อย และขอให้นายน้อยรีบไปสนามประลองเร็ว!”

โชคดีที่ใช้เวลาไม่นาน ก่อนที่ผู้คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจะหายจากอาการตกใจ จากนั้นพวกเขาแผดเสียงร้องตะโกนและแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง

เฉินซีถูจมูก และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ดูเหมือนการที่ข้าออกจากการปิดด่านบ่มเพาะจะทำให้คนอื่น ๆ ตื่นเต้นมาก?”

เฉินซีส่ายศีรษะและมุ่งตรงไปยังสนามประลอง

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มได้สร้างความแตกตื่นในทุกหนทุกแห่งที่ผ่าน และเมื่อทุกคนรู้ถึงการมาของเขา ผู้คนต่างรีบไปรายงานข่าวเรื่องนี้ ราวกับว่าการที่เขาออกจากการปิดด่านบ่มเพาะเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวง

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เฉินซีเข้าใจได้ในที่สุด เนื่องจากข่าวการชี้แนะต่อเหลียงเฉียวและเหลียงเจ๋อในวันนั้นอาจแพร่สะพัดออกไป มันจึงดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย

“เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากข้าสามารถดึงดูดผู้เยี่ยมยุทธ์ให้เข้าร่วมได้มากขึ้น มันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับข้าที่จะไต่อันดับ…”

เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งขณะก้าวเดิน และรู้สึกว่าสถานการณ์นี้ไม่เลวจริง ๆ เพราะสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด มันคงเป็นสถานการณ์ที่น่าอาย หากไม่มีใครยอมรับคำท้าทายของตน

แต่เมื่อเขามาถึงสนามประลอง เฉินซีก็อดไม่ที่จะตกตะลึงกับฉากที่ยิ่งใหญ่ตรงหน้า และถึงขนาดที่ไม่เชื่อในสายตาของตนเอง

เพราะสนามประลองทั้งหมด ล้วนเต็มไปด้วยผู้คนมากมายจนหนาแน่น และคลื่นเสียงโหวกเหวกโวยวายครั้งใหญ่ ก็ทำให้ชั้นเมฆบนท้องฟ้าแตกกระจัดกระจายออกไปอย่างสิ้นเชิง

โดยเฉพาะบริเวณโดยรอบของสนามประลองหมายเลขหนึ่ง มันเต็มไปด้วยผู้คนจนแน่นขนัด และดูเหมือนที่จะเป็นที่นิยมอย่างมาก

“หรือว่ามีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นในตระกูลเหลียง?”

เฉินซีรู้สึกงุนงงสับสนเพราะฉากนี้ยิ่งใหญ่เกินไป ไม่ใช่แค่เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลเหลียง แต่ยังสามารถเห็นผู้อาวุโสบางคนที่มีพลังมหาศาล และอย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็อยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำ!

เฉินซีไม่กล้าเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเพียงเพราะตนออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ

อย่างไรก็ตาม เฉินซีก็ต้องประหลาดใจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อ…

“เฉินซี! ในที่สุดเฉินซีก็มาแล้ว!”

“มันผ่านไปเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น ข้าคิดว่าเขาคงต้องใช้เวลาปิดด่านบ่มเพาะสักสองสามปีเป็นอย่างน้อยเสียอีก!”

“บัดซบ! นี่เจ้าไม่กังวลหรือ? หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงไม่รออีกสักพัก แล้วปล่อยให้โอกาสครั้งนี้เป็นของคนอื่นเล่า?”

“เราตกลงกันแล้วว่าข้าจะเป็นคนแรกที่ประลองกับเฉินซี เพราะข้าชนะเดิมพันก่อนหน้านี้!”

“ฮึ่ม! ไอ้สารเลว! ข้าเป็นลุงของเจ้า แต่เจ้าตั้งใจจะแย่งตำแหน่งของข้าจริง ๆ หรือ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถตบเจ้าออกจากที่นี่ได้?!”

เมื่อพวกเขาเห็นร่างสูงใหญ่ของเฉินซี ปรากฏอยู่ไกลออกไปนอกสนามประลอง ผู้คนโดยรอบก็แตกตื่นทันที ในขณะที่คลื่นเสียงโห่ร้องดังก้องราวกับกลายเป็นตลาดสด

เมื่อเผชิญหน้ากับฉากดังกล่าว แม้แต่เฉินซีก็ยังลังเลเล็กน้อยว่าเขาควรจะออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นที่สนใจหรือไม่ เพราะฉากนี้น่าตกตะลึงเกินไป “จะทำอย่างไรดีหากพวกเขากระตือรือร้นจนไม่ยอมปล่อยข้าไป? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาใช้กำลังจนเกิดเหตุการณ์บานปลาย?”

“พวกเจ้าทุกคนหุบปากซะ!” โชคดีที่เหลียงปิงปรากฏตัวได้ทันเวลาราวกับผู้กอบกู้ที่สวรรค์ส่งมา ดวงตาสุกใสและเย็นชาของนางกวาดมองไปทั่วบริเวณ ริมฝีปากสีแดงเย้ายวนเผยอออกเล็กน้อย และแม้ว่านางจะกล่าวเพียงไม่กี่คำ แต่ดูเหมือนมีมนต์สะกดที่สามารถลบล้างเสียงอึกทึกครึมโครมในบริเวณนี้ได้อย่างสมบูรณ์

บรรยากาศกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ทุกสายตาที่จ้องมองไปยังเฉินซีกลับทวีความร้อนแรงมากขึ้น ราวกับพวกเขาเป็นหมาป่าดุร้ายตัวใหญ่ที่จ้องมองกระต่ายสีขาวตัวน้อย มันน่ากลัวมาก

“ตามข้ามา” เหลียงปิงไม่สามารถใส่ใจกับเรื่องทั้งหมดนี้ได้ และนางก็พาเฉินซีไปที่สนามประลอง ซึ่งฝูงชนก็เปิดเส้นทางให้แต่โดยดี

“เกิดอะไรขึ้น?” เฉินซีตามมาที่ด้านข้างของเหลียงปิง และอดไม่ได้ที่จะถามเบา ๆ

เหลียงปิงจ้องเขม็งมาที่เขาและกล่าวด้วยความโกรธ “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ตอนนี้ทุกคนในตระกูลเหลียงล้วนรู้ว่า เจ้ามีความสามารถที่ขัดเกลาสมบัติอมตะได้ ดังนั้นเจ้าคิดว่าทุกคนจะยอมนิ่งเฉยภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หรือ”

เฉินซีกล่าว “แต่มีคนตั้งมากมายขนาดนี้ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้มาเพื่อต่อสู้กับข้าใช่หรือไม่?”

มีอีกสิ่งหนึ่งที่เฉินซีไม่ได้กล่าว เพราะแม้แต่เซียนทองคำก็ยังปรากฏตัวที่นี่ หากผู้สูงส่งเหล่านั้นต้องการต่อสู้กับเขาจริง จะเป็นการดีกว่าหรือไม่หากเขาจะหันหลังกลับและจากไป?

“ไม่ต้องกังวล เฉพาะผู้ที่มีอันดับสูงกว่าเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติ สำหรับคนอื่น ๆ… มาเพื่อชมการแสดงเท่านั้น และข้าบอกพวกเขาไปแล้วว่า หากสามารถผลิตศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนได้เพียงพอ ก็พอจะพูดคุยกันได้ ส่วนจะช่วยหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้า” เหลียงปิงอธิบาย

เฉินซีชมเชย “ความคิดนี้ไม่เลวเลย”

ปัจจุบัน ร่างอวตารติดอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพี และสิ่งที่ขาดแคลนคือศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียน หากได้รับสิ่งเหล่านี้จากบรรดาศิษย์ของตระกูลเหลียง เขาก็ไม่รังเกียจที่จะให้คำชี้แนะแก่คนเหล่านี้

ไม่นาน ทั้งคู่ก็มาถึงหน้าสนามประลอง

เมื่อเห็นเฉินซีก้าวขึ้นไปบนลานประลอง เสียงที่ไม่พึงประสงค์อย่างยิ่งก็ดังก้องขึ้นมาทันที และทำลายความเงียบในที่เกิดเหตุ “พี่เฉิน พี่เฉิน ข้าจะคุกเข่าขอร้อง!”

“คุกเข่าขอร้อง…” สีหน้าของทุกคนแข็งทื่อ “ผู้ใดกันที่กล้ากล่าววาจาไร้ยางอายเช่นนี้!?”

ทุกคนล้วนมองไปทางต้นตอของเสียง และทันใดนั้น พวกเขาก็เห็นชายร่างผอมที่มีปากแหลม ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายน่าสมเพชจนไม่สามารถปกปิดได้

น่าแปลกที่คนผู้นั้นคือเหลียงเลี่ยง

ทุกคนจึงเข้าใจว่า ที่แท้ก็คือเจ้าคนประหลาดที่น่าสมเพช!

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขาจ้องมองไปที่ด้านข้าง ก็สังเกตเห็นเหลียงเจิ้นที่สวมเสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะ ซึ่งมีท่าทางเย็นชาและทะนงตัวยืนอยู่ข้าง ๆ เหลียงเลี่ยงประหนึ่งเงา

สองคนนี้มักจะอยู่ด้วยกันเสมอ และเป็นที่รู้จักกันดีในตระกูลเหลียง แต่ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะคำพูดอันไร้มารยาท และการกระทำที่ไร้ยางอายเกินไป นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ทั้งสองเป็นที่รู้จัก!

อย่างไรก็ตาม เฉินซีมีความประทับใจที่ดีกับพวกเขา เพราะเหลียงเลี่ยงและเหลียงเจิ้นได้ช่วยเหลือเขาอย่างมากในดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ เมื่อได้ยินว่าทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เพราะเป็นธุระให้ตน เฉินซีก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งเข้าสู่ดินแดนจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ และทุบตีสั่งสอนอินหว่านซวินและอินว่านเฟิงอย่างเดือดดาล

“รอสักครู่ ไว้ข้าจะคุยกับเจ้าทั้งสองในภายหลัง” เฉินซีกล่าวพลางยิ้มทันที

เหลียงเลี่ยงและเหลียงเจิ้นต่างก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเรื่องนี้

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ พวกเขาสองคนได้ยินเกี่ยวกับความสามารถของเฉินซี และไม่สามารถยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นของตนได้ เดิมทีพวกเขาแค่พยายามเล่นตลก แต่ไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะเห็นด้วยโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย จึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

การที่เห็นฉากนี้เข้า ทำให้ฝูงชนที่อยู่ใกล้ ๆ ล้วนตาแดงด้วยความอิจฉา และพวกเขาก็ร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง

“แล้วพวกเราล่ะ?”

“พี่ใหญ่เฉินซี เจ้าคงไม่ลำเอียงขนาดนั้นหรอกกระมัง?”

“พี่เฉิน พี่เฉิน ข้าก็ขอคุกเข่าด้วย!”

บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้อง

เหลียงปิงกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ถ้าใครยังคงส่งเสียงดัง จงกลับไปสำนึกกับกำแพงในบริเวณหวงห้ามของตระกูลทันที! และห้ามออกไปไหนเป็นเวลาสามเดือน!”

ทุกคนพลันปิดปากเงียบทันที ในขณะที่มองไปที่เหลียงปิงอย่างขุ่นเคือง ราวกับว่าพวกเขาทำผิด

เหลียงปิงไม่แยแสกับเรื่องนี้ และกล่าวตรงไปตรงมาว่า “เหลียงจือซิงเจ้าขึ้นไปบนสนามประลองและต่อสู้กับเฉินซี”

ทันใดนั้น ชายหนุ่มในชุดสีเหลืองก็ทะยานขึ้นบนสนามประลอง และเอามือประสานกำปั้นไปทางเหลียงปิงจากระยะไกล “ขอบคุณคุณหนูใหญ่ที่ทำให้ความปรารถนาของข้าเป็นจริง”

หลังจากนั้น เขาก็เอามือประสานกำปั้นไปที่เฉินซี “พี่เฉินโปรดชี้แนะข้าด้วย”

คนผู้นี้คือเหลียงจือซิง หนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นเยาว์ระดับสูงของตระกูลเหลียง เขาอยู่ในอันดับแปดสิบเจ็ดในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป และมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนลึกลับขั้นสูง อีกทั้งยังมีพลังฝืมือร้ายกาจ

เมื่อทุกคนเห็นเหลียงจือซิงขึ้นไปบนสนามประลอง ศิษย์ของตระกูลเหลียงคนอื่น ๆ ก็แสดงสีหน้าอิจฉาออกมา แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะพวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าร้อยอันดับแรก ดังนั้นจึงทำได้แค่ชมการแสดงเท่านั้น ไม่สามารถเข้าร่วมได้

“ข้าไม่คู่ควรกับการชี้แนะ คำขอเดียวของข้าก็คือ เจ้าจงทุ่มพลังออกมาอย่างเต็มที่” เฉินซีกล่าว

“แน่นอน” เหลียงจือซิงพยักหน้า

ต่อจากนั้น ม่านของการต่อสู้ครั้งนี้ก็ถูกรูดเปิดขึ้น ภายใต้การจ้องมองของทุกคนที่อยู่ที่นี่

ไม่จำเป็นต้องให้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้ แม้ว่าเฉินซีจะยังไม่ได้บรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูง แต่พลังฝีมือก่อนหน้านี้ของเฉินซี ก็เพียงพอที่จะเอาชนะเหลียงจือซิงแล้ว หากเขาทุ่มพลังออกไปอย่างทั้งหมด

ในการต่อสู้ครั้งนี้ เฉินซีผู้ซึ่งมีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูง และสามารถใช้พลังของกฎแห่งมหาเต๋าทั้งเจ็ดได้ในเวลาเดียวกัน ก็ยิ่งทำให้เขาสามารถเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งเสียงอุทานด้วยความชื่นชมที่ดังก้องจากผู้ชมจำนวนมากได้

แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว แม้ว่าการบ่มเพาะของเฉินซีจะต่ำ แต่พลังฝีมือของเขาผิดปกติเสียเหลือเกิน และผู้ชมส่วนใหญ่ก็เพิ่งเคยเห็นการต่อสู้ของเฉินซีเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตกใจนี้ได้

ม่านของการต่อสู้ก็ถูกรูดปิดลง เหลียงจือซิงได้เติมเต็มความปรารถนา ที่จะได้รับวิธีการขัดเกลาสมบัติอมตะของตน หลังจากกล่าวขอบคุณเฉินซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็เดินออกจากสนามประลองไปพร้อมกับความสุข ทำให้เกิดกระแสความชื่นชมและความรู้สึกอิจฉาในหมู่ฝูงชน

“คนต่อไป เหลียงชา!”

“คนต่อไป เหลียงหรูเฟิง!”

“คนต่อไป เหลียงเจิ้นหว่าน!”

ภายใต้การจัดการของเหลียงปิง ผู้เยี่ยมยุทธ์คนแล้วคนเล่าของตระกูลเหลียง ซึ่งอยู่ในร้อยอันดับแรกก็ทยอยขึ้นไปยังสนามประลอง และก่อนที่จะประลองกับเฉินซี พวกเขากังวลว่าจะกลายเป็นตัวตลก จึงไม่มีใครกล้ายั้งมือ และทำให้การต่อสู้ดูยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

ในทางกลับกัน จากการต่อสู้เหล่านี้ เฉินซีก็ค่อย ๆ รับรู้ถึงพลังที่เขามี และได้ประสบการณ์ในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในการต่อสู้

ตัวอย่างเช่น ศิษย์เหล่านี้มีทั้งทักษะในด้านความเร็ว ด้านการป้องกัน ด้านการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว หรือครอบครองกฎแห่งมหาเต๋าที่หายากและน่าเกรงขาม ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสมบัติอมตะอยู่มากมาย… ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การต่อสู้กับพวกเขายังเป็นการเปิดหูเปิดตาเฉินซีอย่างแท้จริง

ภายใต้สถานการณ์ที่ชนะศึกครั้งแล้วครั้งเล่า อันดับของเฉินซีในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปก็สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทดสอบตัวเองที่กำแพงแสงที่ลอยอยู่ แต่มันก็เพียงพอ ที่จะรับรู้ว่าพลังฝีมือของตนมาถึงระดับใด โดยยึดจากอันดับของคู่ต่อสู้ที่เผชิญ

จนกระทั่งต่อมา ความเร็วในเอาการชนะคู่ต่อสู้ก็เริ่มช้าลง เนื่องจากคู่ต่อสู้มีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งมากขึ้น และทำให้เขารู้สึกกดดันเช่นกัน

โครม!

ร่างหนึ่งถูกระเบิดออกจากสนามประลอง และเรียกเสียงอุทานด้วยความตกใจจากฝูงชน

ร่างนั้นเป็นชายหนุ่มร่างผอมที่เรียกว่าเหลียงถู แม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่พลังฝีมือกลับไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง และเขาอยู่ในอันดับยี่สิบเอ็ดของเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีป!

การต่อสู้ของเขากับเฉินซีนั้นดุเดือดที่สุดในบรรดาการต่อสู้ทั้งสิบกว่าครั้งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และมันดำเนินต่อไปตั้งแต่เที่ยงวันจนกระทั่งม่านราตรีปกคลุม ทำให้ผู้ชมแทบลืมหายใจ

ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นเหลียงถูพ่ายแพ้ให้กับเฉินซี ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

เฉินซีก็มีสภาพย่ำแย่เช่นเดียวกัน ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผมปลิวไสวยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเผือด และหอบหายใจอย่างรุนแรง

มีเพียงดวงตาคู่นั้นยังคงสดใสเหมือนเคย และพลุ่งพล่านไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้!

ความตั้งใจในการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้น!

———————————-

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท