บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 1087 ดาบเพลิงปีศาจสังหาร

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1087 ดาบเพลิงปีศาจสังหาร

บทที่ 1087 ดาบเพลิงปีศาจสังหาร

เหลียงถูที่อยู่ในอันดับที่ยี่สิบเอ็ดพ่ายแพ้แล้ว!

ขณะที่พวกเขามองไปยังร่างสูงของเฉินซีที่ยืนอยู่บนสนามประลอง ศิษย์ของตระกูลเหลียงทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก และอดไม่ได้ที่จะแสดงความเคารพในใจ

การต่อสู้ทั้งสิบครั้งในวันนี้ ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของเฉินซีแล้ว!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้ระหว่างเขากับเหลียงถู มันดำเนินมาตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงตอนนี้ และนี่เป็นสิ่งที่เหนือล้ำเกินกว่าจะจินตนการได้ เพราะมีแต่การดำรงอยู่ที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูงเท่านั้น ที่จะสามารถยืนหยัดได้นานขนาดนี้

และที่สำคัญ เหลียงถูก็พ่ายแพ้ในที่สุด!

หลังจากนี้ จะมีใครกล้าเรียกเฉินซีว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ธรรมดาทั่วไปได้อีกหรือ?

และในทวีปทักษิณา จะมีใครบ้างที่มีพลังฝีมือท้าทายสวรรค์เช่นเฉินซี ในขณะที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสูง?

แล้วจะเป็นไปได้หรือที่ตัวตนเช่นนี้ ไม่สมควรได้รับการเคารพ?

เหลียงปิงเองก็นึกไม่ถึงว่าเฉินซีจะสามารถเอาชนะเหลียงถูได้ และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่นางมึนงง และรู้สึกตกใจอย่างสุดจะพรรณนา

บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบสงัด

พลังฝีมือที่เฉินซีได้เปิดเผยในวันนี้ ได้เอาชนะใจของคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ รวมถึงเหลียงปิงด้วย

แม้ว่าฉินซีจะอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เล็กน้อย ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ สีหน้าก็ซีดเซียว แต่ก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะเขา

“เข้ามาอีก” เสียงทุ้มต่ำที่สงบดังออกมาจากระหว่างริมฝีปากของเฉินซี และมันดังก้องอยู่ในหูของทุกคนอย่างชัดเจนท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดนี้ ทุกคนล้วนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่เก็บงำความรู้สึกที่ซับซ้อนไว้ในใจ “เขายังคิดต่อสู้อีกหรือ?”

“ข้าเกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้” เหลียงปิงตกตะลึง จากนั้นนางก็อธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา

เฉินซีชะงัก “เพราะเหตุใด?”

แม้ว่าการต่อสู้ครั้งก่อนกับเหลียงถูจะยากลำบากมาก ทำให้ได้รับแรงกดดันอย่างหนักและตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เล็กน้อย แต่ด้วยการสนับสนุนของต้นอ่อนเงาทมิฬ และการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าที่ขอบเขตวิญญาณดวงใจ เขาก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีพละกำลังเพียงพอที่จะต่อสู้ในศึกถัดไป

“หรือว่าเจ้าคิดจะสู้กับข้า?” เหลียงปิงถามโดยตรง

เฉินซีเข้าใจทันทีว่านางหมายถึงอะไร เห็นได้ชัดว่ามีเพียงอันดับของเหลียงปิงเท่านั้นที่อยู่เหนือเหลียงถูท่ามกลางผู้คนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ สำหรับคนอื่น พวกเขาไม่มีคุณสมบัติ

“ไม่” เฉินซีปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ช่างเป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี ไม่ต้องกล่าวถึงอันดับเก้าในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปของนาง แม้แต่สมบัติอมตะระดับจักรวาลอย่างกระสวยแสงเงินที่นางครอบครองอยู่ก็เหนือล้ำกว่าเขา

อย่างไรก็ตาม กระสวยแสงเงินในตอนนี้ก็ไม่สามารถเทียบได้กับในอดีตได้ เนื่องจากพลังของมันได้เพิ่มขึ้นถึงสี่ส่วน หากเหลียงปิงต้องการ นางย่อมสามารถไต่อันดับไปถึงห้าอันดับแรกในเทียบอันดับเซียนภาคพื้นทวีปได้อย่างแน่นอน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การต่อสู้กับเหลียงปิงก็เหมือนกับการแส่หาเรื่องถูกทุบตี และโอกาสที่จะได้รับชัยชนะก็มีไม่มากนัก แน่นอนว่าเฉินซีก็รู้ตัวดีว่าหากสามารถบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบได้ บางทีเขาอาจจะมีพลังพอที่จะต่อสู้กับเหลียงปิงได้

เมื่อนางเห็นเฉินซีปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เหลียงปิงก็แย้มยิ้มงดงามออกมา ในขณะที่เหล่าศิษย์ของตระกูลเหลียงที่อยู่ใกล้เคียงก็ยิ้มและเข้าใจความหมายดี เพราะพวกเขารู้อย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของคุณหนูใหญ่ ดังนั้นจึงรู้ว่าการกระทำของเฉินซีนั้นสมเหตุสมผลเพียงใด

หลังจากนั้น เฉินซีก็กลับไปที่ห้องของเขา และตั้งใจพักผ่อนก่อนจะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะต่อไป

อย่างไรก็ตาม เหลียงปิงได้บอกไว้ว่า พรุ่งนี้เช้าให้เดินทางไปที่ศาลาเมฆารุ้ง ซึ่งคนของตระกูลเหลียงหลายคนจะนำศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียนมาด้วย และจะรวมตัวกันที่นั่น หากเฉินซีเต็มใจ ก็สามารถชี้แนะการขัดเกลาสมบัติของพวกเขา เพื่อแลกกับศิลาโลหิตจ้าววิญญาณเซียน

เฉินซีตอบรับคำขอนี้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

การบ่มเพาะร่างอวตารของเฉินซีได้กลายเป็นปมในใจมานานแล้ว ดังนั้นเขาจะปล่อยให้โอกาสดังกล่าวหลุดลอยไปได้อย่างไร

แต่ถึงจะไม่ใช่เพื่อศิลาโลหิตจ้าววิญญาณ ตราบใดที่เหลียงปิงร้องขอ เขาจะไม่ปฏิเสธที่จะชี้แนะในการขัดเกลาสมบัติอมตะแก่คนในตระกูลของนางอย่างแน่นอน

เหตุผลก็ง่ายมากเช่นเดียวกัน เพราะเหลียงปิงได้ช่วยเขามามากเหลือเกิน

เช้าตรู่วันถัดมา

ณ ศาลาเมฆารุ้ง

เมื่อเฉินซีมาถึง ทั้งห้องโถงก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสของตระกูลเหลียง พวกเขาทั้งหมดล้วนครอบครองพลังมหาศาล และเกือบทั้งหมดมีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำ ทำให้เฉินซีตกใจอย่างมากกับภาพที่เห็นนี้

จากมุมมองของคนอื่น สิ่งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าในฐานะของตระกูลที่มีชื่อเสียงในเต๋าแห่งยันต์อักขระ ทรัพยากรและอำนาจของตระกูลเหลียงนั้นลึกล้ำและน่าเกรงขามเพียงใด

สำหรับศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลเหลียง ก็มีไม่มากนักที่ได้มาที่นี่ เพราะถึงอย่างไร ศิลาโลหิตจ้าววิญญาณนั้นหายากเสียเหลือเกิน และพวกมันมีประโยชน์ต่อผู้ขัดเกลากายาเท่านั้น จึงไม่มีประโยชน์สำหรับผู้บ่มเพาะลมปราณ ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดรวบรวมพวกมัน

เมื่อเฉินซีมาถึง บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลเหลียงทั้งหมดต่างพยักหน้าให้เขาด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร และทักทายเฉินซีอย่างอบอุ่น ทำให้เฉินซีรู้สึกตื้นตันเล็กน้อยกับความโปรดปรานที่ไม่คาดคิดนี้

“เฉินซี มานี้สิ สิ่งเหล่านี้เจ้าไว้ทำในภายหลัง ตอนนี้จงจัดเตรียมวิธีการขัดเกลาสมบัติอมตะต่าง ๆ ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของข้าเอง” เหลียงปิงปรากฏตัวได้ทันเวลา และช่วยเฉินซีออกจากสถานการณ์ ก่อนจะขอให้เขานั่งลงที่ด้านข้าง

“คุณหนูปิง นี่เจ้าคิดจะทำอันใดกัน? หรือว่าเจ้ากลัวว่าลุงสี่จะกินน้องเฉินซี?” ผู้อาวุโสของตระกูลเหลียงกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยที่เหลียงปิงขัดจังหวะการพูดคุยของตนกับเฉินซี

คนผู้นี้มีชื่อว่าเหลียงเทียนชิง และเป็นลุงคนที่สี่ของเหลียงปิง

เหลียงปิงแค่นเสียงเย็น “ข้าแค่กังวลว่าลุงสี่ไม่สามารถผลิตศิลาโลหิตจ้าววิญญาณได้ ดังนั้นเจตนาของท่านคิดจะพึ่งพาการพูดคุยเล็กน้อย เพื่อขอวิธีการขัดเกลาจากเฉินซี”

เหลียงเทียนชิงถอนหายใจทันทีด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ “ไอ่หยา! เช่นนี้ไม่ควรเลย! ยากที่จะให้หญิงสาวที่เติบใหญ่แล้วรั้งอยู่บ้าน! เจ้าเต็มใจที่ช่วยคนรักตัวน้อยของเจ้า และไม่แม้แต่จะไว้หน้าลุงเลยหรือ?”

ทุกคนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และทำให้เฉินซีรู้สึกอายอย่างมาก

“คนรักตัวน้อยหรือ?”

“ตาเฒ่านี้กล่าวโดยไม่ไตร่ตรองจริง ๆ”

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเหลียงปิง เขาเห็นดวงตาใส ๆ ของนางที่เปล่งประกายด้วยแสงแวววาว ใบหน้าขาว นุ่มนวล และสวยงามไร้ที่เปรียบของนางถูกย้อมด้วยสีแดงเล็กน้อย ทำให้หญิงสาวดูบอบบางและมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

ลักษณะเขินอายดังกล่าว ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นในตัวเหลียงปิงซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของราชินี

สำหรับความลำบากใจของเฉินซี เขาเหลือบมองไปที่เหลียงปิง นางก็เหลือบมองมาเช่นกัน สายตาของทั้งสองสบกันโดยบังเอิญ ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย จึงรีบหลบสายตา ราวกับกำลังทำความผิด

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเหลียงทั้งหมดก็หัวเราะอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ และทำให้คิ้วเรียวงามของเหลียงปิงขมวดเข้าหากัน ก่อนจะเหลือบมองลุงสี่และขู่อย่างเกรี้ยวกราด “ท่านลุงสี่ ข้าจะยกเลิกคุณสมบัติของท่าน ถ้าท่านยังกล้ากล่าวเช่นนี้อีก!”

สีหน้าของเหลียงเทียนชิงแข็งทื่อทันที เขาโบกมือแล้วกล่าวว่า “เอาล่ะ ๆ ยัยหนูปิงเป็นคนขี้อาย ดังนั้นเหล่าผู้เฒ่าทุกคนก็ไม่ควรสร้างปัญหา เพราะถ้าพวกเจ้าทำให้คนรักตัวน้อยของนางขุ่นเคือง ก็อาจทำให้เกิดความยุ่งยากในความรู้สึกระหว่างพวกเขา และข้าลุงสี่ผู้นี้ก็จะรู้สึกเสียใจยิ่ง”

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกลอกตา “ผู้ใดสร้างปัญหากัน? เป็นเจ้ามิใช่หรือที่แกล้งนางก่อน?

“เอาล่ะ เฉพาะผู้ที่สามารถนำศิลาโลหิตจ้าววิญญาณสิบก้อนมาได้เท่านั้น ส่วนใครก็ตามที่มีน้อยกว่าสิบก้อน ก็ลืมคำขอร้องนี้ไปได้เลย เพราะข้าจะไม่สนใจ!” เหลียงปิงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เพราะหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางกังวลว่าจะไม่ใช่แค่นางที่รับไม่ได้ และแม้แต่เฉินซีก็อาจจะทนการหยอกเย้านี้ไม่ไหว

หลังจากที่นางเสนอเงื่อนไขนี้ออกไป ก็ไม่มีใครคัดค้าน เห็นได้ชัดว่าเหลียงปิงได้บอกไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวมาเรียบร้อย

ทว่าเฉินซีไม่ทราบเรื่องทั้งหมดนี้ ดังนั้นเขาจึงยังกังวลเล็กน้อยเมื่อได้ยินจำนวนของศิลาโลหิตจ้าววิญญาณในตอนแรก เพราะท้ายที่สุดแล้ว ศิลาโลหิตจ้าววิญญาณนั่นไม่ใช่สิ่งของทั่วไป และมันเป็นสิ่งที่ได้มาโดยวาสนาเท่านั้น

แต่เมื่อเฉินซีเห็นว่าไม่มีใครแสดงอาการคัดค้าน เขาก็รู้สึกโล่งใจทันที

“นี่คือดาบเพลิงปีศาจสังหารของข้า และเป็นสมบัติอมตะระดับจักรวาล โปรดดูเถอะ พ่อหนุ่มเฉินซี” ทันทีที่เหลียงปิงกล่าวจบ ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วดุจการเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติ จากนั้นเขาก็ส่งศิลาโลหิตจ้าววิญญาณสิบก้อนให้เหลียงปิงด้วยมือข้างเดียว และส่งดาบที่ปกคลุมด้วยคลื่นเปลวเพลิงเป็นชั้น ๆ ให้กับเฉินซี

“ตาเฒ่าเหลียงหวนผู้นี้มักจะเชื่องช้าในทุกสิ่ง แต่ในวันนี้เขากลับเร็วกว่าพวกเราทุกคน!” ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกไม่พอใจ เพราะมีคนนำหน้าไปหนึ่งก้าว และพวกเขาทั้งหมดก็แอบเตรียมตัวที่จะคว้าโอกาสต่อไป ก่อนที่จะมีใครแซงหน้า…

ในขณะนี้เฉินซีไม่กล้ากล่าววาจาใด ๆ สีหน้าของชายหนุ่มจริงจังขึ้น ขณะยื่นมือไปรับและพินิจมันโดยละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยความลำบากใจว่า “ผู้อาวุโส พลังของดาบนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องยากที่จะขัดเกลาให้มันดีขึ้น”

หัวใจของผู้อาวุโสเหลียงหวนกระตุกวูบ และเขาอดไม่ได้ที่จะถาม “หากเป็นเช่นนั้น…มันพอจะขัดเกลาได้ประมาณเท่าใดกัน?”

เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งและกล่าวว่า “หากได้รับการขัดเกลาอีกครั้งตามวิธีของข้า ก็จะสามารถขัดเกลาพลังของมันได้เพิ่มขึ้นเพียงสามส่วนเท่านั้น”

“สามส่วน!”

ไม่ใช่แค่เหลียงหวน แม้แต่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึง

เฉินซีคิดว่าเหลียงหวนไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขออภัย “นี่คือขีดจำกัดของของข้าแล้ว ถ้า…”

เฉินซียังกล่าวไม่ทันจบ แต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “สามส่วน! ดาบเพลิงปีศาจสังหารของข้ายังสามารถพัฒนาได้อีกสามส่วน!”

เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสุข จนเกือบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

ตอนนี้เฉินซีเริ่มเข้าใจแล้ว เมื่อมองไปที่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดต่างแสดงความอิจฉาอย่างไม่ปิดบัง และไม่มีความไม่พอใจใด ๆ ทำให้เฉินซีผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์

อันที่จริงมันก็ชัดเจน การขัดเกลาพลังของสมบัติอมตะระดับจักรวาลนั้นไม่ง่ายเลย และการที่สามารถขัดเกลาได้ถึงสามส่วน ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่น่ายินดีซึ่งยากจะจินตนาการได้อยู่แล้ว

“ขอบคุณ ขอบคุณ น้องชาย! ถ้าเจ้ามีเวลาว่างในอนาคต โปรดแวะมาพูดคุยที่บ้านอันต่ำต้อยของข้า ที่บ้านของข้าขาดทุกสิ่งยกเว้นสาวงาม มีหลายคนที่ข้ารวบรวมมาจากนอกพิภพ อีกทั้งทุกคนยังมีรูปร่างที่ร้อนแรงและมากด้วยเสน่ห์โดยกำเนิด ข้ารับประกัน…” ใบหน้าของเหลียงหวนเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น และขอบคุณเฉินซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่กล่าวยังไม่ทันจบ เมื่อสังเกตเห็นท่าทางของเหลียงปิงที่อยู่ใกล้ ๆ นั้นเริ่มไม่น่าดู เขาจึงปิดปากเงียบทันที

แต่ก่อนจะจากไป เขาจ้องมองเฉินซีอย่างคลุมเครือ ซึ่งทุกคนต่างก็เข้าใจดี แล้วจึงจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะขบขัน เขาได้ยินมาว่าผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนมีงานอดิเรกของตัวเอง บางคนชื่นชอบที่จะรวบรวมสมบัติอมตะ บางคนชื่นชอบที่จะรวบรวมเคล็ดวิชาบ่มเพาะ แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ชื่นชอบรวบรวมสาวงาม…

เห็นได้ชัดว่า เหลียงหวนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ประเภทนั้นที่ชอบรวบรวมสาวงาม

ฟิ้ว!

ทันทีที่เหลียงหวนจากไป บรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เฝ้ารอมานานแล้ว ต่างพากันมารุมล้อมด้วยความโกลาหลทันที ราวกับมองเฉินซีเป็นสมบัติอันล้ำค่า และจะต่อสู้จนตัวตายเพื่อแย่งชิงเฉินซี

เหลียงปิงเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา แต่นางก็ไม่สามารถทนต่ออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นและจะส่งผลกระทบต่อเฉินซีอันเนื่องมาจากการต่อสู้ของผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ ดังนั้นนางจึงกล่าวอย่างเย็นชาในพริบตาต่อมา “เข้าแถวเดี๋ยวนี้!”

———————————-

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท