ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ความชั่วร้ายโหดเหี้ยมก็พลันวาบขึ้นในดวงตาสีเข้มของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองไปทางบุตรแห่งราชานรก
จากนั้น เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างดุร้ายว่า ”ข้าน่าจะฆ่าเจ้าไปเสียตั้งแต่เมื่อครู่ ข้อมูลเป็นเพียงสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นและมันไม่ได้สร้างความรำคาญให้กับใคร แตกต่างจากคนที่พูดจาปากไม่มีหูรูด เจ้าเห็นด้วยกับข้าหรือไม่”
”ข้าไม่รู้ว่าเรื่องพวกนั้นเป็นความจริงหรือไม่” บุตรแห่งราชานรกตอบขณะประสานสายตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาไม่คิดที่จะยอมแพ้ ”อย่างไรก็ตาม ความทรงจำของนางจะฟื้นกลับมาได้ก็ต่อเมื่อใช้กระจกวิเศษบานนั้น เจ้าเองก็คงอยากรู้เหมือนกันมิใช่หรือว่าเมื่อหมื่นปีก่อนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าทั้งสองคนกันแน่ ทำไมเจ้าถึงได้ตกจากสวรรค์ นางกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ได้อย่างไร เจ้าไม่สงสัยในสิ่งที่ข้าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้เลยหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเข้าไปในดวงตาของบุตรแห่งราชานรกพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการสังหารเทพหรือกวาดล้างปีศาจ ข้าก็สามารถจัดการได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องเอาความทรงจำจากหลายหมื่นปีก่อนกลับมา”
”แต่เจ้าก็ยังไม่มั่นใจ” บุตรแห่งราชานรกกระตุกริมฝีปากเป็นเส้นโค้ง ก่อนจะพูดอย่างไม่คิดที่จะอ้อมค้อมว่า ”เจ้ากลัว เจ้ากลัวว่าสิ่งที่เขียนอยู่ในบัญชีนรกจะเป็นเรื่องจริง ข้าพูดถูกหรือไม่”
กล้ามเนื้อบนมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่โอบเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่เกร็งแน่นไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงหัวเราะขึ้น ”ถ้าข้าทำเช่นนั้นจริงแล้วจะทำไมหรือ”
”อะไรนะ” บุตรแห่งราชานรกนึกไม่ถึงว่าเขาจะได้ยินคำตอบเช่นนี้กลับมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตา ที่ด้านหลังของเขา ขนอีกาสีดำกำลังลอยสูงขึ้นไปในอากาศ แล้วหมุนเป็นวงอยู่ในสายลมพร้อมกับปุยหิมะ
ไกลออกไปนั้น บรรดาปีศาจที่พยายามซุ่มโจมตีเขาต่างยกมือขึ้นกุมลำคอของตัวเองด้วยความเจ็บปวด พวกมันไม่เข้าใจว่าทำไมแค่ความโกรธของชายคนเดียวถึงทำให้พวกมันเข้าใกล้เขาได้ยากยิ่งขึ้น
”ถ้าข้าทำเช่นนั้นจริงแล้วจะทำไม ผิดหรือที่ข้าขังนางเอาไว้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดชัดถ้อยชัดคำ
รอยยิ้มเย้ยหยันนั้นราวกับกำลังดูถูกทุกสรรพชีวิตอยู่ก็ไม่ปาน อีกทั้งยังดูหยิ่งยโสยิ่งนัก
บุตรแห่งราชานรกสบถ ก่อนจะพูดขึ้นว่า ”เจ้าไม่ได้แค่จับนางขังเอาไว้น่ะสิ! เจ้าเลาะเอาพระสารีริกธาตุทุกชิ้นออกจากร่างของนาง และยังขโมยโอกาสที่ชาตินี้นางจะได้เป็นพระอรหันต์ไปจากนางอีกด้วย!” จากนั้นเขาจึงหันกลับไปแล้วพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”ในที่สุดข้าก็ได้รู้ความลับที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะของชายคนนี้เสียที เขาช่างเป็นคนหน้าด้านนัก! เขาจงใจขัดขวางไม่ให้เจ้ากลับคืนสู่พุทธศาสนา เพื่อที่เจ้าจะได้กลายเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าอยากจะติดตามคนวิปริตเช่นนี้ไปชั่วชีวิต เจ้าไม่อยากแต่งงานกับคนอื่นบ้างหรือ ที่ยมโลกยังมีหนุ่มรูปงามอยู่อีกมาก เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะนิยมความรุนแรง เจ้าลองคิดดูให้ดีก่อนดีหรือไม่ นี่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้าเชียวนะ มีคู่รักไม่น้อยเลยที่เคยรักกันหวานซึ้งก่อนแต่งงาน แต่ต้องมาหย่าร้างกันในภายหลังเพราะปัญหาความรุนแรงในครอบครัว อย่างน้อยเจ้าก็ยังสาวและหน้าตางดงาม อย่าโง่เขลาจนถูกล่ามโซ่จนตายไปกับราชาปีศาจเลย”
ทุกครั้งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเด็กอายุห้าขวบพูดเรื่องผู้ใหญ่เช่นนี้ นางก็กลั้นหัวเราะเอาไว้แทบไม่ไหว ”ไม่ต้องห่วง ข้าจะแยกทางกับเขาแน่ถ้าการแต่งงานของเราไปได้ไม่สวย นอกจากนั้นข้าก็ยังสามารถหาหนุ่มรูปงามที่อายุน้อยกว่าข้าได้อีกถมไป ยกตัวอย่างเช่นเสี่ยวโกวเป็นอย่างไร”
บุตรแห่งราชานรก : …
”ราชาปีศาจ รีบพาภรรยาของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้! ผู้หญิงร้ายกาจนางนี้คิดจะทำลายครอบครัวข้า! อย่าได้คิดแม้กระทั่งจะได้เห็นเสี่ยวโกวของข้าเลย!”
บุตรแห่งราชานรกดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาใช้ขวานเล่มใหญ่สีดำที่อยู่ในมือเล็กๆ จัดการโค่นปีศาจระหว่างทางไปหลายตัว
เด็กชายประกาศก้องว่าพวกมันเป็นศัตรูหัวใจของเขา!
เขาไม่อยากเห็นพวกมันอีก!
จูเก่ออวิ๋นไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรกระตุ้นให้เด็กชายทำเช่นนี้
การมีบุตรชายแห่งราชานรกช่วยกรุยทางให้ก็ทำให้การเดินทางของพวกเขาง่ายขึ้นมากทีเดียว
แต่การเดินตามหลังเด็กตัวเล็กๆ แล้วปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการปีศาจตลอดการเดินทางย่อมทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาดูแย่ไปหน่อย
จูเก่ออวิ๋นหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ต่างจากเขา ทั้งสองกลับมองข้ามเรื่องที่ว่านั้นไป อีกทั้งยังดูพอใจกับมันเสียด้วย
จูเก่ออวิ๋นรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน…
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ไม่ได้เป็นคนเปิดใจเช่นจูเก่ออวิ๋น
พวกเขาไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเมื่อได้เห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในร่างปีศาจ
ชายที่ติดตามพวกเขาเข้าไปในสุสานโบราณแห่งนี้ แท้จริงแล้วเป็นปีศาจ
แน่นอนว่าชายคนนี้ช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้อย่างใหญ่หลวง
แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมีชีวิตอยู่เพื่อการขับไล่ภูตผีปีศาจ และหน้าที่ของพวกเขาก็คือการพิทักษ์ความยุติธรรม กำจัดความชั่วร้าย
แต่พวกเขารู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือการกระชากหน้ากากของคุณหนูตระกูลหนี พวกเขาไม่อาจปล่อยให้นางหลอกลวงผู้คนได้อีกต่อไป มิฉะนั้นทันทีที่ปีศาจบุกเข้าไปในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้ คนที่จะต้องทุกข์ทรมานก็คือพวกเขาเอง
ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่สหายต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในศึกครั้งนี้เป็นปีศาจ
คนเฉลียวฉลาดอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมอ่านความคิดของพวกเขาออก เขาเผยรอยยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคุ้นเคยอย่างมาก
”ใครอยากออกจากกลุ่มก็ออกไปได้เลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ”จากนี้ไปเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะยิ่งอันตรายกว่าแต่ก่อน พวกเราคงไม่มีเวลามาสนใจความขัดแย้งภายในไปพร้อมๆ กัน”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายรีบแยกตัวออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทันทีที่นางพูดจบโดยไม่รู้เลยว่าในไม่ช้าพวกเขาจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจนี้ พวกเขาส่งยันต์ของตัวเองให้กับจูเก่ออวิ๋นก่อนจะออกเดินทาง ”พวกเจ้าควรเก็บสิ่งนี้เอาไว้ พวกข้าจะมุ่งหน้าไปที่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเช่นกัน แต่บอกตามตรงว่าความเชื่อที่พวกเรามีนั้นแตกต่างกัน และการร่วมมือกันต่อจากนี้คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก น้องอวิ๋น น้องเว่ย พวกเจ้าระวังตัวด้วย”
หากเป็นในอดีต จูเก่ออวิ๋นคงไม่อยู่เฉยอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องการให้พวกเขาอยู่ต่อ หรือเพื่อขับไล่พวกเขาออกไปก็ตาม
แต่เด็กหนุ่มดูเหมือนจะโตขึ้นอย่างกะทันหันหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
เวลานี้เขามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
เขาเอ่ยตอบแทนเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”ขอรับ” เขาไม่ได้รับยันต์พวกนั้นมา แต่กลับบอกให้พวกเขาดูแลตัวเองตลอดการเดินทางเช่นกัน
จริงอยู่ที่พี่เจียเจวี๋ยอาจจะเป็นปีศาจ แต่จูเก่ออวิ๋นไม่ต้องการยึดติดอยู่กับกรอบความคิดเรื่องความดีงามและความชั่วร้ายที่เขาถูกปลูกฝังมาเป็นเวลานานนั้น
การปฏิเสธตัวตนของคนคนหนึ่งเพียงเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องหรือ
ตระกูลหนีเป็นตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ได้รับความเคารพนับถือ แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็ไม่ได้ดีไปกว่าปีศาจ
หากเปรียบเทียบกับคนที่สวมหน้ากากเอาไว้หลายต่อหลายชั้นพวกนั้น เขาย่อมเชื่อในตัวสหายที่เดินร่วมทางกับตัวเองมาตลอดทางมากกว่า
เขาเชื่อว่าหลังจากนี้ พวกเขาจะได้เดินทางร่วมผ่านร้อนผ่านหนาวไปด้วยกัน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่านายน้อยอวิ๋นดูมีไฟขึ้นมาอย่างกะทันหันได้อย่างไร
แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคือดอกบัวทองคำที่กำลังจะกลายเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นมันคงเชี่ยวชาญเรื่อง ’การดึงด้านดีของมนุษย์ออกมา’ อย่างแน่นอน
เมื่อลำแสงแห่งพระพุทธคุณส่องสว่าง และเสียงสวดสันสกฤตดังขึ้น คนที่มีจิตใจไม่มั่นคงย่อมได้รับผลกระทบโดยง่าย และสูญเสียความสามารถในการแยกแยะความดีและความชั่วไป
สุดท้ายพวกเขาก็จะกลายเป็นภาระ ดังนั้นสู้ตัดพวกเขาออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้คงดีกว่า การแยกทางจากผู้ขับไล่วิญญาณร้ายพวกนั้นอาจจะมีประโยชน์กับพวกนางมากกว่าจริงๆ
นางไม่ควรเปิดเผยแผนการฟื้นความทรงจำด้วยการใช้พระจกวิเศษให้คนที่นางไม่ไว้ใจรู้ หากนางไม่สามารถทำตามแผนการของตัวเองได้เพราะแผนรั่วไหลออกไปก่อน เช่นนั้นเส้นทางแห่งการเกิดใหม่ของนางจะถูกบิดเบือน
นางจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องผู้ชายของตัวเองอย่างไม่เกรงใจเช่นนี้แน่
ในท้องของนางยังมีลูกที่ยังไม่เกิดอยู่อีกสองคน
นางยังอยากเห็นพวกเขาสะพายย่ามใบเล็กๆ แกล้งอาจารย์ของตัวเองอย่างซุกซนอยู่
คนพวกนั้นต้องการพรากทุกอย่างไปจากข้าหรือ
หึ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนเจ้าอารมณ์มาแต่ไหนแต่ไร ใครที่กล้าแตะต้องของของนาง มันจะต้องถูกนางส่งลงหลุมก่อนเวลาอันควร!
นางมีนิสัยใจร้อนถึงเพียงนี้ เมื่อชาติก่อนนางเป็นพระอรหันต์จริงหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองบุตรแห่งราชานรกอีกครั้ง แล้วถามว่า ”ตอนนั้นข้ากลายเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร”