”พวกเราไม่สนใจความลับที่ว่านั่น สิ่งเดียวที่พวกเราต้องทำในสถานการณ์คับขันเช่นนี้คือการทุ่มกำลังทั้งหมดของเราเพื่อปกป้องเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างหาก!”
หนีเฟิ่งเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนออกมา ”ลุงเซียวพูดถูกแล้ว”
ทั้งหมดที่นางต้องทำในเวลานี้ก็คือการปกป้องเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย…
ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายในเมือง หรือผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่หนีออกมาจากสุสานหลวงก็คงคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ได้ ต่อให้พวกเขารู้ความลับของนาง แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะมีโอกาสได้พูดมันออกมา เพราะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณร้าย!
ผู้หญิงคนนั้นฉลาดจริงๆ
นางเป็นคนเฉลียวฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร
ผู้หญิงคนนั้นมักจะถือไพ่เหนือกว่าอยู่เสมอ
แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหรือ
เพราะสุดท้าย คนที่จะได้เป็นผู้ปกครองเมืองนี้ก็คือข้า!
ป่านนี้ผู้หญิงคนนั้นคงตายอยู่ในสุสานหลวงไปแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าจึงเหลือคนที่ต้องจัดการอีกเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
”อู๋ซวง” หนีเฟิ่งหันกลับไปแล้วไอออกมาเล็กน้อย ”ข้ากลัวว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะโจมตีเมืองด้วยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ของเขา ตอนนี้เจ้าเป็นคนเพียงคนเดียวที่จะสามารถหยุดเขาได้ ในระหว่างนี้สัตว์อสูรจะอยู่ในเมืองนี้เพื่อคุ้มกันข้า ตอนนั้นเขาเลาะพระสารีริกธาตุออกจากร่างข้า ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าคราวนี้เขาจะทำอะไรกับข้าอีก แต่จำไว้ให้ดีล่ะว่าห้ามทำร้ายเขาเด็ดขาด เข้าใจไหม”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จิ่งอู๋ซวงจึงตอบด้วยเสียงอันเบาว่า ”เข้าใจแล้ว”
จากนั้นเขาจึงเดินหายเข้าไปในความมืดอันไม่มีที่สิ้นสุด
ปีศาจตัวน้อยที่อยู่แทบเท้าของเขาใช้นิ้วเล็กๆ ของมันคว้าชายเสื้อของเขาไว้พร้อมจ้องมองแขนเสื้อที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดนั้น ”นายท่าน ร่างกายของท่าน…”
”ปีศาจน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าบางครั้งพุทธศาสนาก็ไม่ได้เข้าข้างเราเสมอไป” จิ่งอู๋ซวงเคลื่อนสายตาลงมองคนตัวเล็กด้วยดวงตาปกคลุมไปด้วยม่านหมอก ”มีคนจำนวนมากเดินผ่านข้าไปก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าเพราะข้าเป็นต้นโพธิ์ต้นเดียวบนเขาซวีหมี แต่มีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่หยุดยืนคุยกับข้า รดน้ำข้า และสวดมนต์ให้กับข้า พวกเขาพูดกันว่าข้ากลายร่างเป็นมนุษย์ได้เพราะมีธรรมลิขิต แต่มันไม่ใช่ความจริง ข้ากลายเป็นมนุษย์ได้เพราะนาง ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเริ่มสงสัยในหน้าตาของคนคนนี้ตั้งแต่เมื่อใด ข้ามาถึงที่เขาซวีหมีก่อนหน้านาง และข้าเข้าใจว่าบรรดาพระอรหันต์ต้องการสิ่งใด พวกเขาไม่ต้องการเห็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเอง แต่นางไม่ควรถูกสิ่งใดผูกมัด เพราะนางเป็นตัวแปรที่อยู่นอกเหนือภพภูมิทั้งหมด นางควรได้เกิดใหม่ในเปลวไฟแห่งนรก ได้มีชีวิตอันยอดเยี่ยม และได้ตกหลุมรักใครสักคนด้วยความตั้งใจของตัวเอง”
ดวงตาของปีศาจตัวน้อยขุ่นเคืองขณะเอ่ยว่า ”ข้ารู้ว่านายท่านคิดจะทำอะไรขอรับ ตราบใดที่มีกระจกวิเศษอยู่ ผู้ที่จะกำจัดความอ้างว้างโดดเดี่ยวของนายท่านจะต้องกลับมาแน่ขอรับ แต่ท่านเหลือพระสารีริกธาตุอยู่อีกเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ถ้าท่านเสียมันไป คราวนี้ท่านจะตายจริงๆ นะขอรับ ต้นโพธิ์ไม่มีราก ท่านจะไม่สามารถเกิดใหม่ได้”
”ข้ายังมีพระสารีริกธาตุเหลืออยู่อีกชิ้นหนึ่ง” จิ่งอู๋ซวงยิ้ม แล้วยีผมของคนตัวเล็ก ”ข้าเก็บมันไว้ในที่ปลอดภัย มันจะดึงดูดแสงแห่งพระพุทธคุณให้เรา พระชายาจะต้องได้เกิดใหม่ในสถานที่อันงดงาม”
ปีศาจตัวน้อยขมวดคิ้ว ”นายท่านคาดการณ์ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะแตกต่างออกไปหรือขอรับ หากไม่ใช่เช่นนั้น เหตุใดท่านถึงต้องเก็บพระสารีริกธาตุไว้ถึงสองชิ้นด้วย”
”มันเป็นแผนไว้กันพลาด” จิ่งอู๋ซวงลดเสียงลงก่อนจะไอออกมาอย่างแรง ”ข้าไม่สามารถมองข้ามความเป็นไปได้ที่นางจะกลับมาได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการหยุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ผู้ชายคนนั้นเป็นคนหุนหันพลันแล่น มุทะลุ และมุ่งมั่นในการทำภารกิจของตัวเองให้สำเร็จโดยไม่เคยคำนึงถึงความเหมาะสม…”
…
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ประตูหน้าของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายราวสิบสองคนกำลังยืนล้อมผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอาวุโสสองคน พวกเขามีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
”เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าคิดที่จะจับพวกเรามัดจริงๆ หรือ” เมื่อเห็นเรื่องไร้สาระที่เกิดขึ้น ผู้อาวุโสสองคนจึงจ้องเขม็งไปยังคนที่ล้อมพวกเขาอยู่
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ยืนล้อมพวกเขาต่างมองหน้ากัน และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พวกเขาก็เริ่มจู่โจมผู้อาวุโสทั้งสองทันที
ทั้งสองเหนื่อยจากการเดินเท้าจากสุสานหลวงกลับมาที่ประตูเมืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นชายทั้งสองจึงนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สิ่งที่ทำให้พวกเขาพบกับความสิ้นหวังไม่ใช่ปีศาจที่อยู่นอกประตู แต่กลับเป็นคนที่อยู่ในเมือง
”ไปเรียกผู้อาวุโสของตระกูลใหญ่มารวมกันให้หมดซะ! พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือ ได้ ถ้าเจ้าไม่พาผู้อาวุโสมาที่นี่ เช่นนั้นก็ไปบอกพวกเขาซะว่าคุณหนูหนีไม่ใช่พระชายากลับชาติมาเกิด แต่เป็นแค่ซากศพ นาง…”
ก่อนที่ผู้อาวุโสคนนั้นจะทันได้พูดจบ หนึ่งในผู้ขับไล่วิญญาณร้ายก็ใช้ยันต์ปิดปากของเขาเอาไว้ก่อน ”เจ้าต้องการใส่ร้ายคุณหนูหนีเพื่อก่อความวุ่นวายในเมืองหรือ เงียบไปเสียเถอะ เจ้าพวกวิญญาณร้าย!”
วิญญาณร้ายหรือ พวกข้าจะเป็นวิญญาณร้ายได้อย่างไร
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอาวุโสทั้งสองคนพยายามขัดขืนการจับกุมนั้น แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไรต่อ พวกเขาก็ถูกลากตัวไปเสียแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นเงียบๆ จากจุดใกล้กัน นางรวบพัดแล้วสั่งว่า ”เจ้าออกมาได้แล้ว”
จูเก่ออวิ๋นกับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ถลึงตาด้วยความโกรธ ”พวกเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร พวกเขากล้าปฏิบัติต่อคนที่ทุ่มเทความพยายามอย่างมหาศาลเพื่อกลับมาที่นี่ราวกับพวกเขาเป็นวิญญาณร้ายได้อย่างไร!”
”เจ้ารู้หรือเปล่าว่าใครคือคนที่สามารถเชื่อใจได้มากที่สุด คนพวกนั้นคือคนที่ตายแล้วอย่างไรล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยอย่างช้าๆ ”ตอนนี้พวกเราเป็นคนกลุ่มเดียวที่รู้ความลับของหนีเฟิ่ง แน่นอนว่านางย่อมพยายามปิดปากพวกเรา หนทางเดียวที่นางจะสามารถทำได้คือการทำให้คนในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเชื่อว่าไม่มีใครรอดชีวิตออกมาจากสุสานหลวงได้ ในขณะเดียวกัน คนที่สามารถกลับออกมาจากสุสานหลวงได้สำเร็จย่อมล้วนแต่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง และไม่ใช่คนเป็นอีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีใครเชื่อคำพูดของพวกเราอีกต่อไป จากนั้นก็จะไม่มีใครรู้เรื่องที่นางไม่ใช่พระชายาตัวจริง”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่พอใจเมื่อได้ฟังคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”สรุปว่าตอนนี้พวกเราก็เป็นตัวร้ายแล้วน่ะสิ! น่าขันเสียไม่มี!”
พวกเราต้องมีจุดจบเช่นเดียวกันกับผู้อาวุโสสองคนนั้นแล้วถูกพาออกไปในสภาพน่าอับอายขายหน้าเช่นนั้นหรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้เฒ่าหลี่ก็เหลือบมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาเปลี่ยนชุดและปลอมแปลงฐานะของตัวเองก่อนที่จะแอบเข้ามาในเมือง พวกเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะเปิดโปงความลับของหนีเฟิ่งตามที่เฮ่อเหลียนเวยเวยสั่งเอาไว้
ตอนแรกพวกเขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของนาง แต่ตอนนี้พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างดีแล้ว พวกเขาประเมินสถานการณ์ทั้งหมดผิดไปจริงๆ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไร นางกลับมองไปยังถนนอันวุ่นวายนั้นราวกับคาดเดาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เอาไว้แล้ว ”ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด หนีเฟิ่งน่าจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการคุ้มกันเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายนี้ ตระกูลของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคงเชื่อฟังนางอย่างไม่มีข้อสงสัย และไม่มีใครสังเกตเห็นว่าพลังวิญญาณของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกำลังไปรวมอยู่ที่จุดจุดเดียว อีกทั้งยังไม่มีใครตระหนักได้อีกด้วยว่าพวกเขากำลังค่อยๆ สูญเสียพลังวิญญาณของตัวเองไป ยิ่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนนั้นเก่งกาจเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นแหล่งสารอาหารชั้นดีให้กับนางได้มากเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับมือระหว่างพูดเพื่อแสดงให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเข้าใจ เมฆลอยไปทางทิศตะวันตกซ้อนกันทีละชั้น ในขณะที่สายลมกลับพัดพาไปในทิศทางตรงกันข้าม
จูเก่ออวิ๋นชะงักกับภาพที่เห็น ”พี่เว่ย ท่าน… ท่าน…”