ผู้เฒ่าหลี่รู้สึกเพียงน้ำชาเย็นชืดบนใบหน้ากำลังซึมเข้าสู่หัวใจ
”ข้า…” เขาอ้าปากขึ้นด้วยความยากลำบาก
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ มองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเหมือนอยากพูดอะไรกับนาง แต่พวกเขาต่างก็หยุดความคิดนั้นเอาไว้เหมือนลังเลที่จะพูด
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ใส่ใจเพราะนางรู้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการพูดดี ”หนีเฟิ่งเป็นคนฉลาดและเก่งเรื่องการปลอมตัว จึงเป็นธรรมดาที่พวกเจ้าทุกคนจะเข้าใจผิดว่านางเป็นในสิ่งที่นางไม่ได้เป็น การคิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้วย่อมไม่มีประโยชน์กับเราในเวลานี้ ฮูหยิน เรารีบไปที่ตระกูลหนีกันดีกว่า ป่านนี้บุตรแห่งราชานรกน่าจะเตรียมตัวเสร็จแล้ว”
”ได้”
ฮูหยินจูเก่อพยักหน้าตามด้วยสีหน้าจริงจัง
ฮูหยินจูเก่อเคยไปเยี่ยมเยือนตระกูลหนีนับครั้งไม่ถ้วน
โดยเฉพาะหลังจากตระกูลจูเก่อตกต่ำ
นางมักรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่นางก้าวเข้าไปในที่แห่งนั้น
แต่นี่เป็นเพียงครั้งเดียวที่นางรู้สึกมั่นใจ
นางคิดว่านี่อาจจะเป็นพลังของพระชายา
ไม่ใช่เพียงแค่ฉายา แต่ความจริงแล้ว คนที่อยู่ข้างหลังนางนั้นแข็งแกร่งจนสามารถทำให้ทุกคนเชื่อในตัวนางได้
”ฮูหยินขอรับ” ลูกศิษย์ของตระกูลหนียกมือขึ้นขวางฮูหยินจูเก่อไว้เพื่อตรวจสอบ
ฮูหยินจูเก่อให้ความร่วมมือกับพวกเขา นางยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ
การรักษาความปลอดภัยดูเคร่งครัดอย่างมากในเวลานี้ ทุกคนที่เข้าออกสถานที่แห่งนี้ล้วนแต่ต้องได้รับการตรวจสอบ พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พกของมีคมเข้าไปในจวน
ฮูหยินจูเก่อมองลูกศิษย์คนนั้นแล้วเอ่ยว่า ”คุณหนูหนีอยู่ไหนหรือ”
”อยู่ที่ห้องประชุมขอรับ” หลังจากพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ลูกศิษย์ของตระกูลหนีจึงค้อมศีรษะให้กับนาง ”เมื่อครู่นี้คุณหนูหนีเพิ่งบอกว่านางมีเรื่องอยากจะปรึกษากับท่านพอดีขอรับ”
ฮูหยินจูเก่อเลิกคิ้ว แล้วบอกกับคนที่อยู่ข้างหลังนางว่า ”ในเมื่อเฟิ่งเอ๋อร์ต้องการพบข้า เช่นนั้นพวกเจ้าไปรออยู่ที่สวนก่อนก็แล้วกัน”
”เจ้าค่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนสายตาลง นางรู้ว่าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แผนการถูกเปิดเผย ฮูหยินจูเก่อย่อมไม่ต้องการให้พวกนางเผชิญหน้ากับหนีเฟิ่งโดยตรง
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคิด
นางตกลงรออยู่ที่สวนเพราะนางจะได้ตามหากระจกวิเศษบานนั้นได้โดยที่ไม่มีใครสนใจ
ฮูหยินจูเก่อตามลูกศิษย์ของตระกูลหนีเข้าไปในห้องประชุมหลังจากสั่งพวกนางเสร็จ
หนีเฟิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ประมุข ทันทีที่สังเกตเห็นการมาถึงของนาง นางก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับไอออกมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับฮูหยินจูเก่อด้วยความเคารพว่า ”ท่านป้า ท่านมาถึงแล้ว”
”เฟิ่งเอ๋อร์ ถ้าเจ้าอาการไม่ดีก็ไม่ควรลุกขึ้นมา” ผู้อาวุโสจากอีกตระกูลเอ่ยขึ้น
ทันใดนั้นฮูหยินจูเก่อจึงสังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตระกูลอื่นต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่นี่อย่างพร้อมหน้า พวกเขามองหน้านางเหมือนต้องการให้นางสารภาพอะไรออกมา
ฮูหยินจูเก่อนึกถึงสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดกับนางในระหว่างทางมาที่นี่ได้
”ฮูหยินยังไม่ได้ส่งลูกศิษย์ของตระกูลจูเก่อออกไปคุ้มกันเมือง หนีเฟิ่งจะต้องหาทางทำให้ท่านคายเหตุผลออกมาอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ท่านควรจะอ้างว่าบรรดาลูกศิษย์ของท่านยังเด็กอยู่ และอย่าได้พูดอะไรเกี่ยวกับการจับกุมผู้รอดชีวิตออกมาเด็ดขาด”
เด็กสาวคนนั้นคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ
ฮูหยินจูเก่อเงยหน้าขึ้นมองหนีเฟิ่ง จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวประจำของนาง นางอยากรู้ว่าหนีเฟิ่งจะพูดอะไรต่อ
”ท่านป้า” หนีเฟิ่งรอจนกระทั่งนางจิบชาเสร็จ ก่อนจะไอออกมาสองครั้งแล้วพูดต่อ ”ข้าได้ยินมาว่าทุกตระกูลต่างส่งลูกศิษย์ของตัวเองออกไปคุ้มกันเมืองแล้ว เว้นก็แต่ลูกศิษย์จากตระกูลจูเก่อเท่านั้น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ ท่านป้า ท่านไม่พอใจกับคำสั่งของข้าหรือ การที่ข้าตั้งคำถามกับท่านเช่นนี้อาจฟังดูก้าวร้าวเกินไป แต่นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นและความตายของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ดังนั้นขอให้ท่านโปรดยกโทษให้กับพฤติกรรมไร้มารยาทของข้าด้วย”
ฮูหยินจูเก่อขมวดคิ้วแต่นางยังคงแสร้งทำเป็นใจกว้างเหมือนเช่นปกติ ”ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นล่ะ เฟิ่งเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ส่งลูกศิษย์ของตระกูลจูเก่อออกไปในทันทีก็เพราะพวกเขายังเด็กเกินไป พวกเขาไม่มีพลังมากพอที่จะสามารถเอาชนะปีศาจพวกนั้นได้ หลังจากเจ้าออกคำสั่ง ข้าก็กลับไปและสอนบทเรียนเพิ่มเติมให้กับพวกเขา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดความล่าช้า แต่ในเวลานี้พวกเขาน่าจะสวมเครื่องแบบของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายและอยู่ระหว่างทางออกไปคุ้มกันตัวเมืองแล้ว อย่างไรนี่ก็เป็นเวลาชี้เป็นชี้ตายของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอย่างที่เฟิ่งเอ๋อร์ว่า และหน้าที่ที่ตระกูลจูเก่อทำมาโดยตลอดก็คือการผดุงความยุติธรรม และกำจัดความชั่วร้าย พวกเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ข้างหนีเฟิ่งลดเสียงลงแล้วรายงานว่า ”คุณหนูขอรับ สิ่งที่ฮูหยินจูเก่อพูดมานั้นเป็นความจริง ลูกศิษย์ของตระกูลจูเก่อออกไปคุ้มกันตัวเมืองแล้วขอรับ”
หนีเฟิ่งยิ้มหลังจากได้ฟังสิ่งที่ข้ารับใช้บอก
นางคงคิดมากไปเอง
ฮูหยินจูเก่ออาจจะไม่ได้หลอกง่ายเหมือนกับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ
แต่นางก็ไม่ใช่ตัวปัญหาเช่นกัน
ถึงผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเหล่านั้นจะเข้ามาในเมืองได้ แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคนที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง
แม้แต่ฮูหยินจูเก่อที่ใช่ว่าจะสามารถรับมือได้โดยง่ายก็ยังค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวนาง
ตราบใดที่รออีกเพียงแค่สี่ชั่วยาม แล้วเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายยังไม่ถูกยึด ทุกสิ่งที่เป็นของพระชายาจะตกเป็นของนาง แล้วนางจะได้ฟื้นคืนชีพอย่างแท้จริง!
ทันใดนั้น เสียงโครมครามก็ดังก้องไปทั่ว!
มันเหมือนมีอะไรกระแทกเข้ากับกำแพงเมือง!
ผู้อาวุโสจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายผุดลุกขึ้นด้วยใบหน้าตื่นตกใจ ”เกิดอะไรขึ้น มีอะไรเกิดขึ้นข้างนอกหรือ!”
”มังกรนี่นา!” ใครคนหนึ่งมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ”ดูสิ มันตัวใหญ่ทีเดียว นั่นมันชิงหลงมิใช่หรือ!”
หนีเฟิ่งเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทางทิศใต้ตามแสงนั้นเช่นเดียวกันกับทุกคน และเห็นชิงหลงทะยานขึ้นแล้วม้วนตัวเป็นวงอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ชิงหลงใช้หางของมันทำลายกำแพงเมืองราวกับได้รับคำสั่งจากใครบางคน พร้อมกับแผ่บรรยากาศอันเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามออกมา
หนีเฟิ่งไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อยเมื่อได้เห็นภาพนั้น ดวงตาของนางกลับสว่างสดใสเป็นประกาย
เป็นเขานั่นเอง เขาอยู่ที่นี่
มุมปากของนางกระตุกขึ้นเพราะในที่สุดวันที่นางรอคอยก็มาถึง
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่นางวางไว้ ในอีกสี่ชั่วยาม ทุกอย่างจะต้องตกเป็นของนาง!
หนีเฟิ่งไม่สนใจว่ากำแพงเมืองจะพังลงมาหรือไม่ ตราบใดที่ไม่มีใครเข้าถึงสถานที่แห่งนั้นได้ เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายย่อมไร้พ่ายไปตลอดกาล
ไม่มีใครรู้จุดอ่อนของเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ลึกลงไปสามชุ่นใต้ดิน สถานที่แห่งนั้นได้รับการคุ้มกันจากคนของภพภูมิทั้งหก
แต่ถึงจะมีใครค้นพบสถานที่แห่งนั้นเข้า ก็คงไม่มีใครสามารถทำลายเขตอาคมนั้นได้
ไม่ต้องพูดถึงเฮ่อเหลียนเวยเวยที่คงจะตายไปแล้ว
ต่อให้นางจะยังมีชีวิตอยู่ แต่นางจะสู้กับคนจากภพภูมิทั้งหกด้วยพลังวิญญาณที่นางมีได้อย่างไร
คนคนนั้นสามารถจัดการปีศาจทั้งฝูงได้ด้วยตัวคนเดียว
แม้กระทั่งไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในร่างปีศาจก็คงสู้กับคนคนนั้นได้เพียงแค่พอสูสี
ถ้าเขาไม่ได้ตกจากสวรรค์ละก็…
แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
ดังนั้นไม่ใช่เพียงแค่หงส์เพลิงแห่งธรรมะเท่านั้นที่จะกลายเป็นของนาง แต่ผู้ชายคนนั้นก็ด้วย
”สั่งให้ทุกคนไปที่ประตูทางทิศใต้” หนีเฟิ่งสั่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมอย่างรวดเร็ว
คนที่เดินตามหลังนางมาคือบรรดาผู้อาวุโสจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย รวมถึงฮูหยินจูเก่อด้วยเช่นกัน
ทันทีที่ฮูหยินจูเก่อเดินออกมา นางก็หันไปมองทางต้นอิงฮวาที่อยู่ในสวน คนสองคนที่เดิมเคยอยู่ตรงนั้นหายไปแล้ว พวกเขาลงมือได้อย่างรวดเร็วจริงๆ
ฮูหยินจูเก่อถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เช่นนั้นภารกิจของนางก็สำเร็จแล้ว
ไม่ว่าเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะอยู่รอดหรือล่มสลาย เส้นทางแห่งการเกิดใหม่จะได้รับการปกป้องเอาไว้ได้หรือไม่ เวลานี้ทั้งหมดล้วนแต่ขึ้นอยู่กับคนทั้งสอง
แต่นางไม่เคยเห็นกระจกวิเศษที่พวกเขาพูดถึงมาก่อนแม้นางจะมาเยี่ยมตระกูลหนีหลายครั้งแล้วก็ตาม
พวกเขาจะสามารถหากระจกวิเศษที่ว่านั่นเจอภายในเวลาที่กำหนดได้จริงหรือ