กระแสลมที่เดิมเคยผันผวน มาตอนนี้กลับสงบลงจนกลายเป็นความเงียบ กระแสน้ำอันเงียบสงบเริ่มหมุนวนเข้าหากันพร้อมกับแสงสีขาวที่ดับลง
สัตว์อสูรนับพันหยุดเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาเคยได้เห็นเหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน
ครั้งหนึ่งชายผู้นี้เคยลอยตัวอยู่เหนือทะเลเลือดในนรกของภพภูมิทั้งหกโดยไม่สนใจไยดีว่ากระแสน้ำสีดำนั้นจะเชี่ยวกรากเพียงใด แล้วถามว่ามีใครเต็มใจที่จะติดตามเขาไปยังภพภูมิทั้งหกหรือไม่
ดอกไม้วิเศษบานสะพรั่งไปตลอดทางเฉกเช่นเดียวกันกับในยามนี้
ตั้งแต่นั้นมา ทะเลทรายทั้งแปดและทะเลเลือดชำระบาปก็ถูกลบออกไปจากยมโลก เขาคนนั้นกลายมาเป็นผู้ปกครองของเหล่าปีศาจทั้งมวล
ภพสวรรค์รุ่งเรืองอยู่ในเวลาหนึ่ง ก่อนท้ายที่สุดจะกลายเป็นผู้นำในภพภูมิทั้งหก
ชายคนนี้คือคนคนเดียวที่สามารถทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้
มีเพียงเทพผู้ถือกำเนิดขึ้นจากความโกลาหล แต่มีอำนาจยิ่งใหญ่มหัศจรรย์อันไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้นที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้!
แต่เทพองค์นั้นตกจากสวรรค์ไปแล้วมิใช่หรือ เขายังมีเทวจิตอยู่ได้อย่างไร
ชายชราจ้องมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ดวงตาสีน้ำตาลของเขาเบิกกว้างราวกับได้เห็นในสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย นี่เป็นครั้งแรกที่ดวงตาเหน็ดเหนื่อยไร้ซึ่งชีวิตชีวาของเขาแทบจะถลนออกมาจากศีรษะ
ริมฝีปากสีชมพูจางๆ ของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย เขากำลังจะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของเขากลับเหือดแห้งหายไปพร้อมกับลำคออันแห้งผาก
ไม่จริง!
เป็นไปไม่ได้!
มันจะต้องเป็นภาพลวงตาที่ปีศาจตนนี้สร้างขึ้นอย่างแน่นอน!
คนที่ตกสวรรค์ไปแล้วไม่มีทางฟื้นจิตของตัวเองได้!
ชายชราเรียกความสงบเยือกเย็นของตัวเองกลับมา ก่อนจะมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างเย็นชา ”เจ้าอาจจะเป็นเขา แต่ข้ารู้ว่าของพวกนี้เป็นเพียงแค่การข่มขวัญเท่านั้น เจ้าคิดว่าของแค่นี้จะทำให้ข้ากลัวได้หรือ”
ชายชราหรี่ตาลงขณะเอ่ยเช่นนั้น สายลมที่อยู่บนฝ่ามือของเขาค่อยๆ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นของแข็ง พื้นดินบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และทำให้ทั่วทุกพื้นที่ตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน
เขาพุ่งตัวเข้าใส่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างว่องไวด้วยความเร็วอันยากจะมีใครเลียนแบบได้ ในวินาทีต่อมา ฝ่ามือของเขาก็อยู่ห่างจากขมับของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไปแค่ไม่กี่เซนติเมตร
เขามั่นใจว่ากำปั้นของเขาจะสามารถระเบิดศีรษะของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้
แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น
มันเป็นเสียงของหินที่แตกออกจากกัน
เขาไม่เข้าใจ อีกทั้งยังไม่รู้เลยแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองกระเด็นออกมาได้อย่างไร แต่ทันทีที่ร่างของเขากระแทกเข้ากับพื้น ความเจ็บปวดรวดร้าวก็ถาโถมลงมาทันที
กลีบกุหลาบสีดำสนิทลอยขึ้นในอากาศก่อนจะร่วงหล่นลงมาอีกครั้งอย่างช้าๆ ราวกับมีใครร่ายคาถาใส่มัน
เขาใช้เทวจิตได้จริงๆ
เขาใช้เทวจิตที่เขาไม่สมควรจะมีอยู่ได้จริงๆ!
ชายชราเคลื่อนดวงตาสีน้ำตาลขึ้นมองเล็กน้อย เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงควบคู่ไปกับลมหายใจสั้นๆ อันแผ่วเบาว่า ”เป็นไปไม่ได้ เจ้าตกจากสวรรค์ไปแล้ว เจ้าไม่มีทางมีเทวจิตได้อย่างแน่นอน!”
”หึ…” เสียงหัวเราะอันหนักแน่นและไพเราะของเขาดังก้องไปทั่วสถานที่แห่งนั้นราวกับเม็ดทรายสีทอง ทรายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาค่อยๆ ลอยตัวขึ้นและทำให้เขาดูเย็นชาแต่ก็สง่างามเป็นอย่างยิ่ง
”ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับข้า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะข้าปฏิเสธที่จะกลับไปยังภพสวรรค์” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองชายชราผู้มาจากภพสวรรค์จากจุดที่สูงกว่าด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มถากถาง และให้คำตอบอันชวนคิดกับชายชรา
แม้ร่างของเขาจะชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่กลิ่นอายของเขากลับยังแข็งแกร่งดังเดิม ใบหน้าด้านข้างอันคมคายนั้นดูซีดเซียว แต่ก็ดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง แต่แม้ว่าผิวของเขาจะขาวซีด มันก็ดูใสกระจ่างเปล่งประกาย
”เจ้าไม่เคยสูญเสียพลังเทพของตัวเอง…” ดวงตาของชายชราเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ขนนกสีดำก็พลันพุ่งเข้ามาปกคลุมร่างของเขาไว้ ก่อนจะแทงทะลุมือและลำคอของเขาไป
เลือดสดๆ ซึมลงไปบนผืนแผ่นดินอันแห้งแล้งและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับมัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสาวเท้าออกเดินด้วยท่าทางไม่แยแสขณะที่สัตว์อสูรหลายพันตัวหลีกทางให้กับเขา ภาพนี้ช่างดูตระการตายิ่งนัก
สัตว์อสูรที่อยู่ในวิหารไม่กล้ากระดิกตัวเลยแม้แต่นิดเดียว พวกมันพากันยืนนิ่งด้วยกลัวว่าจะถูกชายคนนี้ฆ่าด้วยมือเปล่า สัตว์อสูรตัวสั่นระหว่างเอ่ยเรียกเขา ”องค์ราชาขอรับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ตรงกลาง เขากระตุกยิ้มขึ้นพร้อมกับสั่งเพียงสั้นๆ ว่า ”ไสหัวไป”
สัตว์อสูรเปิดทางให้กับเขา ก่อนจะเกาะกลุ่มกันกลายเป็นก้อนกลม พวกมันม้วนตัวถอยหลังอย่างเชื่อฟังคำสั่งด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง มิหนำซ้ำยังแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลยด้วยซ้ำ
ทำไมไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับพวกเขามาก่อน
ทำไมพวกเขาไม่รู้เลยว่ามันมีความเป็นไปได้ที่องค์ราชาจะกลับมา
ว่ากันว่าคนที่ตกจากสวรรค์ไปแล้วจะไม่สามารถเป็นเทพได้อีกมิใช่หรือ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
ไม่ว่าพวกมันจะหนังหนาเพียงใด แต่พวกมันก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีอันโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้!
”สัตว์อสูรพวกนั้นดูเหมือนจะรู้จักท่านดีทีเดียว” เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างนึกขัน อย่างไรการได้เห็นสัตว์อสูรขนาดยักษ์ม้วนตัวเข้าหากันจนกลายเป็นก้อนกลมๆ เช่นนั้นก็น่าขันเกินไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินต่อ เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะตอบว่า ”นี่เป็นครั้งที่สองที่ข้าได้พบพวกเขา พวกเราไม่ได้รู้จักกันดีเท่าใดนัก”
สัตว์อสูรเหล่านั้นถึงกับผงะ แล้วใครกันที่เป็นคนพาพวกเราไปยังภพสวรรค์ พวกเราถูกท่านทรมานอยู่ถึงห้าร้อยปีเชียวนะ แต่ท่านกลับยังมีหน้ามาพูดอีกหรือว่าท่านไม่ได้รู้จักพวกเราดี!
”ข้าว่าพวกเขาดูมีอะไรจะพูดกับท่านอยู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกพร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะไปด้วย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองสัตว์อสูร
ทันใดนั้นสัตว์อสูรทุกตัวก็รีบถอยห่างจากเขาอย่างหวาดกลัว แล้วกลิ้งตัวออกจากฉากไป
”ข้าว่าพวกเขาคงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอุ้มเฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยนวดขมับตัวเองอย่างเหนื่อยใจ บางครั้งองค์ชายก็แข็งแกร่งจนเกินไป
ขนอีกาสีดำโปรยปรายลงมาเหนือร่างของเขา แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่ได้คิดที่จะผ่อนฝีเท้าลงแต่อย่างใด ร่างสูงโปร่งของเขาหายวับไปก่อนที่จะปรากฏอยู่ตรงหน้ากระจกวิเศษที่ลอยอยู่ตรงนั้น เขาเยาะขึ้นว่า ”กระจกบานนี้น่ะหรือที่สามารถแสดงชาติภพในภพภูมิทั้งหกได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหมือนมองเห็นอะไรบางอย่างภายในกระจกบานนั้น นางจึงยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ
เพียงชั่วพริบตา นางก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง ก่อนที่ประสาทการรับรู้ทั้งหมดของนางจะดับไป
นางไม่รู้ว่าภาพที่อยู่ในกระจกวิเศษบานนั้นคือภาพจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขาซวีหมีเมื่อหนึ่งพันปีก่อน
มันคือภาพของพุทธอุทยานและทุ่งดอกบัวอันไร้ที่สิ้นสุด
บนภูเขาซวีหมีมีเส้นทางที่ทำมาจากกระจกสีอยู่เส้นหนึ่ง บันไดสู่สวรรค์ที่ถูกเมฆบดบังนั้นทอดตัวคดเคี้ยวลงมาจากภูเขา
พระพุทธศาสนาเลี้ยงฉลองให้กับการกวาดล้างทะเลเลือดของภพสวรรค์
เดิมทีแล้วเรื่องนี้ควรจะเป็นความรับผิดชอบของพระพุทธศาสนา
เพราะอย่างไร พระพุทธศาสนาก็ควรจะเป็นผู้ช่วยเหลือทุกสรรพสิ่งให้พ้นทุกข์
ว่ากันว่าหงส์เพลิงผู้เป็นมือสังหารเพียงคนเดียวของพระพุทธศาสนาได้รับบาดเจ็บตอนที่นางเข้าไปในแดนปีศาจเพื่อฆ่าปีศาจเหล่านั้น แต่ด้วยความทุ่มเทของนาง ในที่สุดแดนปีศาจจึงกลับคืนสู่ความสงบสุข แต่นางไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะสามารถกวาดล้างทะเลเลือดได้อีกต่อไป
ดังนั้นภพสวรรค์จึงเข้ามารับหน้าที่ในการกวาดล้างทะเลเลือดต่อ
”เป็นความจริงหรือที่ว่าเทพองค์นั้นไปเยือนทะเลเลือดด้วยตัวเอง ภพสวรรค์นำหน้าพระพุทธศาสนาไปอีกก้าวแล้ว”
”ตราบใดที่เทพองค์นั้นยังอยู่ ภพสวรรค์ย่อมเป็นที่หนึ่งเสมอ”
”หงส์เพลิงไม่ใช่คนที่ใครจะล้อเล่นด้วยได้ ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ที่พระพุทธศาสนาสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายด้านได้ก็เพราะนาง”
”ที่เทพองค์นั้นมาเยี่ยมเยือนพระพุทธศาสนาก็เพราะเขาไม่พอใจหงส์เพลิงหรือ”
”ดูเหมือนทั้งสองต่างก็ไม่ชอบหน้ากันนัก ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราเชิญภพสวรรค์มาที่งานเลี้ยง ก็ยังไม่มีใครมาสักคน นับว่าเสียมารยาทต่อทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก”
”แต่ข้าได้ยินมาว่าหงส์เพลิงไม่ไปเพราะนางไม่อยากพลาดทำวัดมิใช่หรือ ส่วนเทพองค์นั้นก็เกียจคร้านเกินกว่าจะก้าวออกมาจากตำหนักของตัวเอง”
”เรื่องพวกนี้ล้วนแต่เป็นข้ออ้างทั้งสิ้น เทพองค์นั้นชอบสตรีนิสัยบอบบางอ่อนหวาน ดังนั้นเขาคงไม่อยากเห็นหงส์เพลิงที่เป็นคนใจกล้าและดุร้ายต่างหาก เขาก็เลยไม่มาปรากฏตัวขึ้นที่งานเลี้ยง พวกเขาไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีได้แล้วกระมัง พวกเรารอดูการวิวาทในงานเลี้ยงหลังจากนี้ได้เลย”
เสียงพูดคุยของพวกเขาแผ่วเบาลงตามระยะทางที่ห่างออกไป พร้อมกับเมฆที่เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ ร่างที่นอนอยู่เอาคัมภีร์ที่ปิดหน้าออก แล้วเงยหน้าขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย ”ข้าต้องดุร้ายถึงเพียงใดหรือถึงทำให้คนไม่มาร่วมงานเลี้ยงได้”