เมื่อรู้ว่าอรหันต์หงส์เพลิงไม่ได้ตั้งใจฟังเขา สามเณรน้อยจึงตัดสินใจว่าจะเตรียมอาหารมังสวิรัติในงานเลี้ยงเพิ่มให้กับอรหันต์หงส์เพลิง ด้วยหวังว่าอาหารเลิศรสจะช่วยควบคุมอารมณ์ของนางได้
ตามแผนการเดิมที่วางไว้ พวกเขาตั้งใจว่าจะทำอาหารเพียงแค่สองอย่างสำหรับงานเลี้ยงครั้งนี้ แต่พอถึงวันจริง บนโต๊ะก็มีอาหารถึงแปดอย่าง และจานใส่ลูกท้อเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งจานใหญ่ก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าของหงส์เพลิง
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นเมื่อแสงแห่งพระพุทธคุณสาดส่องเข้ามาในที่แห่งนั้น
ดอกไม้งามเบ่งบานในทุกซอกทุกมุมของภูเขาซวีหมีราวกับปูทางให้ใครบางคน
ณ ตำหนักต้าสยง เสียงกระซิบกระซาบดังก้องไปทั่วบรรยากาศ
หัวข้อหลักของการสนทนานี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเทพองค์ที่นั่งอยู่บนที่นั่งด้านบน
เทพผู้หล่อเหลาเต็มไปด้วยความสง่างามและบรรยากาศอันน่าหลงใหล
แต่ที่ด้านหลังของเขากลับมีปีศาจติดตามอยู่นับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้งานเลี้ยงของพระพุทธศาสนาจึงอัดแน่นไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือกและชั่วร้าย
เขามาที่นี่เพื่อทานอาหารจริงหรือ
เขากำลังท้าทายพวกเราอยู่ชัดๆ!
เขาพยายามกลั่นแกล้งภิกษุเช่นพวกเรา และคงคิดว่าพวกเขาไม่เคยเรียนมารยาทการแสดงออกทางสังคมมาก่อน
แต่พวกเราไม่ได้โง่อย่างที่ท่านคิด!
เวลานี้พวกเราอยู่ที่ตำหนักต้าสยงอันเป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระพุทธศาสนา ย่อมไม่มีปีศาจตนใดสามารถย่างเท้าเข้ามาในที่แห่งนี้ได้!
เทพหนุ่มกล่าวทักทายพวกเขาด้วยคำชมเชยทันทีที่เข้ามาในตำหนัก
หรือถ้าจะพูดให้ชัดเจนกว่านั้นก็คือ เขาบอกกับภิกษุว่า ”ข้าชื่นชมพวกท่านจากใจจริงมาโดยตลอด พวกท่านนึกถึงภพภูมิทั้งหกอยู่เสมอ และยังทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยเหลือทุกสรรพสิ่งให้พ้นจากความทุกข์อีกด้วย”
พวกเขาพึมพำว่าอมิตาพุทธด้วยความสุภาพ ก่อนจะเอ่ยว่า ”นี่คือสิ่งที่พุทธศาสนิกชนเช่นพวกข้าควรทำ”
แต่แล้วพวกเขาก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก เมื่อชายหนุ่มเริ่มพูดประโยคต่อมา ”หากเป็นเช่นนั้น คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าข้าจะพาพวกมันเข้ามาด้วยใช่หรือไม่”
ทันใดนั้นเงาของปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา
บรรยากาศปกคลุมไปด้วยความชั่วร้ายและน่าขนลุกในทันที
ชายหนุ่มแย้มรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเสริมว่า ”อย่างไรพวกมันก็มาจากภพภูมิทั้งหกเช่นกัน”
ภิกษุเหล่านั้นทำอะไรไม่ถูกเพราะพวกเขาไม่สามารถตอบโต้อีกฝ่ายได้!
พวกเขาต้องจำใจกลืนเม็ดยาขมเพราะไม่มีทางเลือกอื่น
ตี้จวินช่างไร้ยางอายนัก เขาไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ปฏิเสธคำขอด้วยซ้ำ!
”สมเด็จ อรหันต์หงส์เพลิงมาถึงแล้วขอรับ” สามเณรรายงานเจ้านายด้วยน้ำเสียงอู้อี้ เขาต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมหาศาลกว่าจะสามารถพูดอะไรออกมาได้ภายในสถานการณ์อันตึงเครียดเช่นนี้
สมเด็จเริ่มนับลูกประคำในมือ พร้อมกับยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาในระดับอก เขาเอ่ยว่าอมิตาพุทธ ก่อนจะพูดขึ้นว่า ”พาหงส์เพลิงเข้ามา”
”ขอรับ” สามเณรออกจากห้องไป
ไม่นานนักหญิงสาวผมดำยาวถึงข้อเท้าจึงเดินลงมาจากบันไดเมฆ ดอกบัวเบ่งบานในทุกย่างที่นางก้าวเดิน
หงส์เพลิงต่างไปจากอรหันต์องค์อื่นๆ นางสวมเสื้อคลุมสีแดงราวกับเลือดทับชุดสีขาวบริสุทธิ์ของตัวเอง เมื่ออยู่ภายใต้แสงแห่งพระพุทธคุณ เสื้อและผมยาวของนางลอยอยู่ในสายลมราวกับดาวตกที่ตัดผ่านฟากฟ้า นางดูสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงแห่งพระพุทธคุณแม้จะทำเพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ เท่านั้น
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในตำหนักวางคางของตัวเองไว้บนนิ้วเรียวยาว ก่อนจะเปลี่ยนท่าอย่างไม่สนใจ
หงส์เพลิงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติทันทีที่นางเข้ามาในตำหนัก
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองเก้าอี้ที่อยู่ด้านบนของตำหนัก นางก็มองเห็นต้นกำเนิดของกลิ่นเลือดที่ลอยอยู่ในอากาศได้แทบจะในทันที
นางเคยพบเจอปีศาจฝีมือร้ายกาจมาก็มากมาย
แต่มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่กล้าพอที่จะมาเยี่ยมเยือนภูเขาซวีหมี
นอกจากผู้ชายคนนี้ ก็แทบไม่มีใครกล้าพอที่จะนั่งอยู่เบื้องหน้าปีศาจพวกนี้
แต่เพราะแสงของพระพุทธคุณ นางจึงมองไม่เห็นใบหน้าของชายคนนั้นชัดเจน
แต่มันไม่ได้ทำให้ความอยากสู้กับผู้ชายคนนี้ของนางลดน้อยลงแต่อย่างได้
หงส์เพลิงเอียงศีรษะพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย และก่อนที่ใครจะทันได้มีปฏิกิริยา นางก็เปลี่ยนลูกประคำที่ข้อมือของตัวเองกลายเป็นดาบวงพระจันทร์อันงดงามภายใต้แสงแห่งพระพุทธคุณ
นางใช้ดาบวงพระจันทร์ในการโจมตี ราวกับดาวหางที่พุ่งผ่านฟ้าและสว่างวาบขึ้นด้วยแสงแห่งพระพุทธคุณ การโจมตีนั้นพุ่งเป้าไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านบน
เทพองค์อื่นๆ และเหล่าพระอรหันต์จากทั้งภพสวรรค์และพระพุทธศาสนาล้วนแต่ตกใจกับสิ่งที่เห็น ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างขณะมองไปที่ชายคนนั้น ”ตี้จวิน!”
ตี้จวินหรือ หงส์เพลิงขมวดคิ้วสวยเข้าหากัน ดาบวงพระจันทร์หยุดอยู่ก่อนถึงหน้าอกของเขาไปเพียงแค่สองชุ่น[1]เท่านั้น
น่าประหลาดใจที่ชายคนนั้นกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวต่อดาบวงพระจันทร์เล่มนั้นแต่อย่างใด เขายกขาขึ้นไขว่ห้าง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วมองนาง เขาไม่คิดที่จะหลบการโจมตีนั้นเลยด้วยซ้ำ ซ้ำยังทำราวกับเขาไม่สนใจมันเลยแม้แต่นิดเดียว ตลอดเวลานั้น ดวงตาคู่สวยของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม
ขณะที่หงส์เพลิงกำลังชั่งใจอยู่ว่านางควรจะดึงดาบวงพระจันทร์ของตัวเองกลับมาดีหรือไม่ นางก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น ดาบวงพระจันทร์ของนางหักเป็นสองท่อนก่อนจะกลายเป็นประกายแสงแล้วหล่นหายลงไปในทะเลเมฆ
บรรดาพระอรหันต์ต่างตกตะลึงเมื่อเห็นพลังธรรมะสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว
ดาบวงพระจันทร์เล่มนั้นแปลงมาจากลูกประคำของหงส์เพลิง ไม่ใช่ของที่ใครจะสามารถทำลายมันได้โดยไม่ตั้งใจ
ตี้จวินช่าง…
”ขออภัย ข้าคุมแรงเอาไว้ไม่อยู่” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ฟังดูเหมือนกำลังขอโทษอยู่เลย ”แต่ข้านึกไม่ถึงเลยว่าจะได้รับการต้อนรับด้วยคมดาบเช่นนี้ นี่คือวิธีที่พระพุทธศาสนาต้อนรับแขกของตนหรือ”
ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ ไม่มีใครเคยเห็นรอยยิ้มอันสง่างามและน่าดึงดูดอย่างยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
มือที่โอบเอวของเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้ทั้งแข็งแกร่งและแน่นหนา เขาจ้องมองหงส์เพลิงด้วยสายตาเย็นชาและกลิ่นเลือดที่อบอวลอยู่ในอากาศ เมื่อมองจากด้านข้าง ใบหน้าคมคายของเขาช่างงดงามเป็นอย่างยิ่ง
ห้องโถงอันว่างเปล่าถูกกลบด้วยความเงียบงัน ไม่มีใครพูดหรือขยับตัว
ในที่สุดสามเณรน้อยที่เดินตามหลังหงส์เพลิงมาก็มาถึง เขาอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพนั้นพร้อมทั้งนวดศีรษะโล้นที่ปวดหนึบของตัวเองไปด้วย เขารู้สึกแย่ยิ่งนักที่ไม่สามารถหยุดอรหันต์หงส์เพลิงได้ทันเวลา
อรหันต์หงส์เพลิงเกลียดชังตี้จวินองค์นั้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ
นางโจมตีเขาโดยไม่ลังเลเลยหรือ
อรหันต์ ท่านโหดร้ายเกินไปแล้ว!
ท่านจู่โจมเขาเพราะเขาไม่พอใจในความดุดันของท่านหรือ หรือเพราะว่าเขาเก่งกว่าท่าน
นั่นไม่ใช่สิ่งที่พุทธศาสนิกชนทำนะขอรับ!
อมิตาพุทธ!
ความจริงแล้วสามเณรน้อยเข้าใจหงส์เพลิงผิดไปจริงๆ
เป้าหมายของหงส์เพลิงคือปีศาจ นางเคยชินกับการสังหารปีศาจและนั่นเป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของนาง
นางนึกไม่ถึงว่าตี้จวินจะเป็นคนพาปีศาจพวกนี้เข้ามาในพระพุทธศาสนา
อันที่จริง หงส์เพลิงเคยพบตี้จวินองค์นี้มาก่อน แต่นางไม่สามารถระบุตัวตนของเขาได้เพราะบรรยากาศแห่งความมืดนั้น
เป็นเวลาหลายปีที่มีข่าวลือว่าหงส์เพลิงและตี้จวินองค์ที่ว่านี้เป็นศัตรูของกันและกัน
แต่ที่จริงแล้วพวกเขาไม่เคยปะทะกันมาก่อน
พวกเขาเพียงแค่บังเอิญเจอกันสองสามครั้ง และมองดูอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ เท่านั้น
เขาปรากฏตัวขึ้นในภารกิจสังหารปีศาจที่นางได้รับมาก่อนหน้านี้
ภพสวรรค์ดีกว่าแดนพระพุทธศาสนา เพราะคนที่อยู่ที่นั่นได้รับอนุญาตให้ไปทุกแห่งได้ตามใจปรารถนา
แต่นางก็สงสัยว่านางเผลอเสียมารยาทต่อเขาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือเปล่า เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้แขนของนางบาดเจ็บ
หากจะแก้ต่างให้เขา ก็คือเขาเองก็จำนางไม่ได้เช่นกัน เมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาบนร่างนาง เขาจึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามว่า ”เป็นเจ้าเองหรอกหรือ?”
น่าแปลกเพราะเขาพูดเหมือนคนที่จับได้ว่าคนรักของตัวเองกำลังนอกใจ
แต่นางไม่ได้สนทนาอะไรกับเขา พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าคนรู้จัก ยิ่งกว่านั้น เขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายนาง
นางพยักหน้าให้เขาตามมารยาท ก่อนจะจับปีศาจแล้วกลับสู่แดนพระพุทธศาสนา
จากนั้น การพบกันครั้งถัดมาของพวกเขาก็คือในงานเลี้ยงแห่งนี้
เขาดูเป็นมิตรน้อยยิ่งกว่าหงส์เพลิงเสียอีก
แม้เขาจะดูเย็นชาต่อนาง แต่หงส์เพลิงผู้เฉยชาก็ยังเผยรอยยิ้มออกมา
แต่นางก็ไม่ได้ชอบหน้าเขานักเหมือนกัน…
[1] ประมาณ 5 เซนติเมตร