หงส์เพลิงชักมือกลับมา แล้วสะบัดแขนเสื้อกว้างของตัวเอง ในไม่ช้าดาบวงพระจันทร์ที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนางในสภาพสมบูรณ์ จากนั้นจึงกลับเป็นลูกประคำแล้วพันเข้าที่รอบข้อมือของนาง
เมื่อเห็นว่านางไม่มีเจตนาที่จะสู้ต่อ สามเณรน้อยจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินนางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มและดวงตาเป็นประกายว่า ”ข้านึกไม่ถึงเลยว่าคนจากภพสวรรค์จะพาปีศาจมาร่วมงานเลี้ยงของพระพุทธศาสนาด้วย ทำไมหรือ ระยะนี้ภพสวรรค์ขาดแคลนเงินทองหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหงส์เพลิง ดวงตาเย็นชาของชายหนุ่มก็เคลื่อนขึ้นสบเข้ากับตาของนางทันที
นี่ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าสงครามสายตา
บรรดาพระอรหันต์และเทพทุกองค์รู้สึกเหมือนพวกเขาได้ยินเสียงประกายไฟดังเปรี๊ยะๆ
สมเด็จกระแอมขึ้นเบาๆ
สามเณรน้อยรีบเดินเข้าไป แล้วกระตุกมุมเสื้อคลุมของหงส์เพลิง ”พระอรหันต์ขอรับ ท่านจะถูกกักบริเวณเอาได้นะ ท่านคงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นอีกใช่ไหมขอรับ”
หงส์เพลิงเหลือบมองเด็กชายตัวน้อยแล้วลูบศีรษะของเขาด้วยรอยยิ้ม ”อาหารมังสวิรัติของข้าล่ะ”
”จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ” สามเณรน้อยลดเสียงลง ”โต๊ะที่มีอาหารมังสวิรัติมากที่สุดเป็นของท่านขอรับ”
เขาพูดพร้อมกับทุ่มแรงทั้งหมดไปที่ปลายนิ้วราวกับกลัวว่าตี้จวินที่อยู่ตรงนั้นจะได้ยิน
หงส์เพลิงเลิกคิ้ว ”เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว กินเยอะๆ ออกแรงน้อยๆ ใช่หรือเปล่า พาข้าไปที่โต๊ะสิ”
สมเด็จแก้ตัวแทนหงส์เพลิงขณะมองนางเดินไปที่โต๊ะว่า ”หงส์เพลิงมักมีปฏิกิริยาเช่นนี้เสมอเวลาที่นางเห็นปีศาจ ต้องขออภัยด้วยหากนางทำให้ตี้จวินตกใจ”
ชายหนุ่มกระตุกริมฝีปากบางขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง ”ช่างเป็นดาบที่งดงามยิ่งนัก! น่าเสียดายจริงๆ ที่มันอยู่ในพระพุทธศาสนา”
”อมิตาพุทธ ท่านหมายถึงดาบวงพระจันทร์เล่มนั้นหรือ” สมเด็จหัวเราะ ”หากท่านเทพถูกใจ ท่านสามารถนำลูกประคำพวกนั้นกลับไปได้ขอรับ ท่านจะได้ดาบเล่มนั้นมาหลังจากหลอมพวกมันเป็นเวลาหนึ่งร้อยวัน”
ชายหนุ่มถอนสายตากลับมา รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนขึ้นกว่าที่เคย ดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นเงาของปีศาจที่อยู่ด้านหลัง ”ขอบใจสมเด็จ แต่อันที่จริงข้าไม่ได้พูดถึงดาบ”
ไม่ใช่ดาบหรือ เช่นนั้นจะเป็นอะไรได้ คิ้วของสมเด็จขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แล้วหันไปบอกกับฝูงชนว่า ”การกวาดล้างทะเลเลือดในครั้งนี้ไม่ได้เป็นสิริมงคลต่อพระพุทธศาสนาเพียงแห่งเดียว แต่ยังเป็นสิริมงคลต่อภพทั้งหกอีกด้วย ต้องขอบคุณท่านเทพที่ทำให้ปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้น ดอกบัวทองคำเองก็เพิ่งได้รับร่างมนุษย์มาเมื่อวานนี้ ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงความสำนึกในความกรุณานั้น นางจะท่องพระไตรปิฎกเป็นเวลาหนึ่งร้อยวันเพื่อแบ่งปันความเป็นสิริมงคลนี้ให้แก่โลกใบนี้!”
ระหว่างที่สมเด็จพูด หญิงสาวที่เวลานี้ได้กลายเป็นพระอรหันต์ก็เดินออกมาท่ามกลางหมู่เมฆ ความสง่างามที่แผ่ออกมาจากร่างของนางปกคลุมไปทั่วชุดสีขาวราวกับดอกบัวบานที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ในอากาศ
หญิงสาวยิ้มอย่างเขินอาย จากนั้นจึงเอ่ยเป็นภาษาสันสกฤตว่า ”คารวะตี้จวิน”
”นางคือดอกบัวทองคำที่ชูดอกขึ้นมาหาพระพุทธองค์ ช่างมหัศจรรย์จริงๆ”
”แต่อรหัตผลของนางยังต่ำเกินไป เช่นเดียวกับระดับของนางในพระพุทธศาสนา”
”เจ้าไม่ควรเปรียบเทียบเช่นนี้ ดอกบัวทองคำเกิดในพระพุทธศาสนาและได้รับร่างมนุษย์มาหลังจากตรัสรู้พระไตรปิฎก หากมองเช่นนี้นางย่อมบริสุทธิ์ยิ่งกว่าพระอรหันต์คนอื่นๆ ที่เคยผจญความทุกข์ทั้งปวงบนโลกมนุษย์มาก่อน และยังเป็นที่รู้กันดีอีกด้วยว่าตี้จวินชื่นชอบคนที่บริสุทธิ์”
”หากมองเช่นนั้น หงส์เพลิงก็ได้รับการชุบเลี้ยงในพระพุทธศาสนาเหมือนกันขุมนรกถูกลำแสงแห่งพระพุทธคุณผ่าลงไปถึงสามสิบสามครั้งตอนที่นางเกิด และพระพุทธองค์ที่แท้จริงก็เป็นผู้รับนางเข้าสู่พระพุทธศาสนาด้วยตัวเอง ถึงนางจะไม่ได้กลายเป็นพระอรหันต์ทันที แต่นางก็บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเราทุกคน”
”ข้ารู้ว่านางบริสุทธิ์ แต่พวกเรากำลังพูดถึงผู้ที่เป็นเบอร์หนึ่งในพระพุทธศาสนาอยู่ สมเด็จต้องการเอาใจภพสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ดอกบัวทองคำจึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้อย่างไรเล่า เจ้าคงคาดหวังให้หงส์เพลิงทำอะไรเช่นนี้ไม่ได้หรอก ข้าพูดถูกมิใช่หรือ”
”จริงด้วย! อย่างไรในประตูของพระอรหันต์ก็คงไม่มีใครมีตำแหน่งทางพระพุทธศาสนาสูงกว่าหงส์เพลิงอีกแล้ว”
แม้ระดับทางพระพุทธศาสนาที่นางได้มานั้นจะมาจากการสังหารปีศาจไปนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถเอาชนะนางได้
หงส์เพลิงค่อนข้างเงียบทีเดียวเวลาที่มีของให้กิน นางไม่ค่อยสนใจเรื่องการจับคู่นัก จะมีก็แต่เพียงสามเณรน้อยที่อยู่ข้างนางเท่านั้นที่ยังเอาแต่ขยิบตาให้นาง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังขอร้องไม่ให้นางสู้กับตี้จวิน
ว่ากันตามตรง หงส์เพลิงรู้สึกว่านางไม่เคยมีความขัดแย้งรุนแรงใดๆ กับตี้จวินองค์นี้มาก่อน
เขาไม่ชอบนาง นางก็ไม่ชอบเขาเหมือนกัน
แต่พวกนางดูไม่ถูกกันหรือ
หงส์เพลิงพยายามนึกถึงตอนที่นางได้พบผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรก
ระหว่างพวกเขามีระยะห่างอยู่ค่อนข้างมาก และเพราะความสง่างามที่เขามีติดตัวมาแต่กำเนิดนั้น นางจึงคิดว่าเวลาที่เจอกัน พวกเขามักจะทักทายกันด้วยการพยักหน้าเท่านั้น
ทำไมในสายตาคนอื่น นางถึงต้องกลายเป็นฝ่ายที่เริ่มก่อนไปได้
สามเณรน้อยได้ยินคำถามของนาง เขาจึงหัวเราะออกมา ”พระอรหันต์อย่าหลอกตัวเองเลยขอรับ เมื่อครู่นี้ท่านเกือบจะแทงตี้จวินไปแล้วนะ ส่วนการทักทายที่ท่านว่า เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงแค่การพยักหน้าให้กันเล็กน้อยอย่างห่างเหิน ท่านเรียกสิ่งนั้นว่าการทักทายหรือขอรับ”
”ข้าทำตามเขาต่างหาก” หงส์เพลิงโยนขนมเกาลัดชิ้นหนึ่งเข้าปากแล้วเคี้ยวมันพร้อมกับยิ้มอย่างสบายๆ ไปพร้อมกัน ”ข้าก็แค่ทักทายเขาด้วยวิธีการเดียวกันกับที่เขาทักทายข้าเท่านั้น”
สามเณรน้อยมองนางจากทางซ้ายทีขวาที ”ข้ารู้ขอรับ ตี้จวินองค์นั้นจะพยักหน้าให้ทุกคนที่เขาพบ แต่เขาทำด้วยท่าทางน่ามอง แต่เวลาที่ท่านทำ มันกลับดูเหมือนท่านกำลังหาเรื่องคนอื่นอยู่ขอรับ ทุกอย่างล้วนแต่ขึ้นอยู่กับนิสัยใจคอของคนเราน่ะขอรับ ท่านเข้าใจหรือเปล่า”
”ข้าคิดว่าข้านิสัยดีทีเดียว เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีคนจากภพสวรรค์มาขอข้าแต่งงานมากขนาดไหน” หงส์เพลิงวางตะเกียบไม้ลง นางรู้สึกว่านางต้องสู้เพื่อภาพลักษณ์ของตัวเอง
สามเณรน้อยหัวเราะ ”นั่นเป็นเพราะว่าภพสวรรค์ต้องการให้ท่านไปสู้แทนพวกเขาต่างหากล่ะขอรับ”
”เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” หงส์เพลิงยิ้ม รอยยิ้มของนางดูชั่วร้ายทีเดียว ”มันก็เป็นความคิดเดียวกันกับที่พระพุทธศาสนาต้องการมัดใจตี้จวินองค์นั้นนั่นเอง”
สามเณรน้อยพึมพำตอบรับคำพูดของนาง เขาถือระฆังไม้รูปปลาไว้ในมือ ”แต่อย่างไรวันนี้ท่านก็ต้องทำตัวดีๆ ขอรับ คำขอแต่งงานจากภพสวรรค์พวกนั้นล้วนแต่ไร้ความหมาย พระอรหันต์ ความรักของท่านควรมีไว้เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับชาวโลกขอรับ”
”พระพุทธศาสนาต้องการให้ข้าปลดเปลื้องความทุกข์ให้กับชาวโลกนี่เอง” หงส์เพลิงทวนประโยคนั้นพร้อมกับหัวเราะขึ้น ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นเย็นชา ”ช่างเป็นเส้นทางที่ดียิ่งนัก”
สามเณรน้อยไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ หงส์เพลิงถึงลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ”พระอรหันต์ พระอรหันต์ขอรับ ท่านจะไปไหนขอรับ”
”ข้าทำภารกิจเสร็จแล้ว ข้าจะกลับไปรดน้ำต้นโพธิ์และท่องพระสูตรเสียหน่อย” หงส์เพลิงขยับมือ จากนั้นดาบวงพระจันทร์ก็ปรากฏขึ้นในมือของนางอีกครั้ง
ไม่มีใครคิด หรือกล้าพอที่จะหยุดนาง สำหรับพระอรหันต์คนอื่นๆ การเข่นฆ่าย่อมไม่ใช่สิ่งดี
แม้ขุนเขาและทะเลสาบจะกว้างใหญ่มหาศาล แต่มันย่อมมีเงาแห่งพระพุทธศาสนาอยู่เสมอ พระพุทธศาสนาจะยืนตระหง่านเพียงหนึ่งเดียว…
หากพูดถึงการท่องพระสูตร หงส์เพลิงมักจะนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ด้วยท่าทางเกียจคร้านเหมือนเช่นปกติ นางจะพูดคุยกับต้นโพธิ์ทุกครั้งที่นางพลิกหน้ากระดาษ
”เจ้าเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างกายข้าเสมอมา”
”การเดินทางไปยังแดนปีศาจในครั้งนี้ฝากรอยแผลไว้ให้ข้า แต่มันก็เป็นสถานที่ที่น่าสนใจดี ข้าได้เห็นเงือกตอนอยู่ที่นั่นด้วยนะ”
”แต่ข้าอยู่ที่นั่นนานเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะถูกกักบริเวณ”
”ข้ารู้สึกเหมือนมือตัวเองถูกล่ามเอาไว้ไม่มีผิด มันรู้สึกแย่มากทีเดียว แต่มันคงคุ้มค่าถ้ามันทำให้เจ้าสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้…”
หงส์เพลิงผล็อยหลับไประหว่างพูด ผมยาวสีดำสนิทราวขนกาที่ตัดกับชุดสีขาวของนางยิ่งเพิ่มความงดงามให้กับภาพที่เกิดขึ้นนี้
ต้นโพธิ์ที่ไม่ขยับเขยื้อนมาเป็นเวลาพันปีส่งเสียงน่าฟังออกมา ราวกับว่ามันกำลังโบกกิ่งก้านอยู่ในสายลม
ในปีนั้น เสียงที่ต้นโพธิ์เอ่ยตอบคือเสียงแห่งการปลอบประโลม
มันต้องการปลอบประโลมนาง หญิงสาวผู้เดียวดายในโลกใบนี้…