สามีใบ้ของข้าผู้นี้ดีที่สุด – ตอนที่ 568 คนของหมอผี

สามีใบ้ของข้าผู้นี้ดีที่สุด

ตอนที่ 568 คนของหมอผี

วิหคยักษ์กางปีกกว้างใหญ่ค่อยๆ โฉบวนแล้วร่อนลงในสวนบุปผาอย่างช้าๆ ศิษย์จำนวนมากจากวังสวรรค์หมื่นวิมานก็เริ่มไปรวมตัวป้องกันทางสวนบุปผาแล้ว

ผู้มาเยือนนิ่งสุขุม ไม่ปรากฏความเป็นปรปักษ์ใดๆ ทางนี้จึงไม่บุ่มบ่ามสร้างความวุ่นวายเช่นกัน

คนที่สามารถใช้วิหคพาหนะได้จะใช่คนธรรมดาทั่วไปหรือ? จึงไม่กล้าผลีผลามเช่นกัน

เมื่อวิหคร่อนแตะพื้นก็หุบปีก ชายหนุ่มกระโดดลงมายังพื้น ท่วงท่ายามกระโดดลงพื้นทำให้เหล่าศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานมองหน้ากัน มองจากท่าทางแล้วดูเหมือนผู้มาเยือนจะไม่มีพลังสภาวะใดๆ เลย

“เจ้าเป็นใคร?” ศิษย์กลุ่มหนึ่งปราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต่างชักกระบี่จ่อชี้ไปตรงหน้าอีกฝ่ายอย่างพร้อมเพรียง

ชายหนุ่มมองคมกระบี่ล้ำค่าที่อยู่เบื้องหน้า เอ่ยตอบเสียงเรียบนุ่มทุ้ม “ข้าเป็นผู้ใดไม่สำคัญ หากต้องการให้ข้าไป ข้าก็จะไปเดี๋ยวนี้”

“เจ้าคือ…” มีศิษย์คนหนึ่งดูเหมือนจะจดจำผู้มาเยือนได้ พลันโบกมือด้วยความตกใจพลางเอ่ยว่า “ลดมือลง รีบลดกระบี่ลง!”

วิหคยักษ์มิใช่พาหนะที่คนธรรมดาจะมีไว้ใช้งานได้ เสียงเอะอะจากการมาถึงของอีกฝ่ายได้ล่วงรู้ถึงหูคณะผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์หมื่นวิมานที่อยู่ในจวนแล้ว พวกซือถูเย่าจึงรีบมายังทางนี้

ยังไปไม่ถึงสวนบุปผาก็มีศิษย์ทะยานออกมาจากสวนบุปผาขวางหน้าพวกเขาไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าเจือความดีใจและรีบร้อนลนลาน “เจ้าสำนัก คนของหมอผีมาแล้วขอรับ!”

พวกซือถูเย่าล้วนผงะงัน ค่อนข้างไม่อยากจะเชื่อ

หลีอู๋ฮวาที่มีสีหน้าซูบเซียวเอ่ยด้วยความสะเทือนอารมณ์ “พูดจาซี้ซั้ว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าผู้มาเป็นคนของหมอผี?” เขาก็ไม่กล้าเชื่อข่าวดีนี้เช่นกัน

ฝ่ายศิษย์ตอบว่า “อาจารย์ พวกเราเคยพบมาแล้วขอรับ เคยพบมาก่อนตอนที่คุณชายใหญ่ถูกหมอผีพาตัวจากไปหน้าประตูใหญ่ เป็นบุรุษผู้นั้นที่ติดตามหมอผีมา ท่านก็เคยพบเขาแล้ว ไม่ผิดแน่ขอรับ เป็นเขาจริงๆ”

หลีอู๋ฮวาสั่นสะท้านไปทั้งกายา ชื่อเสียงลือเลื่องของบุคคลดั่งเงาทอดใต้ร่มไม้ หมอผีขึ้นชื่อลือชาว่ารักษาได้ทุกอาการ ทำให้เขามองเห็นความหวังขึ้นมา

เขาไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆ อีกทั้งไม่สนใจประมุขที่อยู่ข้างกายแล้ว หลีอู๋ฮวาพุ่งทะยานออกไปคนเดียว มุ่งหน้าไปยังสวนบุปผา

พวกซือถูเย่ามองหน้ากัน ไม่ใส่ใจความเสียมารยาทของหลีอู๋ฮวา เนื่องจากพอจะเข้าใจความรู้สึกได้ ต่างพากันทะยานตามไป

เพิ่งมาถึงทางเข้าสวนบุปผา ก็มองเห็นศิษย์กลุ่มหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับชายหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งด้วยท่าทางระแวดระวัง รูปลักษณ์ล่องลอยพิสุทธิ์หลุดพ้นโลกีย์ แฝงบุคลิกสง่างามเย็นชาบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้

พอหลีอู๋ฮวาได้พบก็ปรีดานัก ใช่เขาจริงๆ ไม่ผิดเลย เป็นคนผู้นั้นที่ติดตามข้างกายหมอผีจริงๆ

เขาควบคุมความปรีดาอย่างบ้าคลั่งไม่อยู่ สาวเท้าวิ่งเข้าไปหาแล้วค้อมกายคำนับเต็มพิธี “ไม่ทราบว่าท่านหมอจะมาเยือน หากเสียมารยาทไปโปรดให้อภัยด้วย”

พวกซือถูเย่าที่ตามหลังมามองพินิจชายหนุ่มผู้นี้

ฝ่ายชายหนุ่มเอ่ยว่า “ทุกคนล้วนไม่รู้จักหน้าค่าตา ไม่อาจกล่าวเรื่องเสียมารยาทอันใดได้”

ซือถูเย่าเดินเข้ามา ประสานมือกล่าวว่า “ข้าพเจ้าคือซือถูเย่าประมุขวังสวรรค์หมื่นวิมาน ขอบังอาจถามถึงชื่อเสียงเรียงนามของท่าน เกี่ยวข้องกับหมอผีเช่นใดหรือ?”

“ไปดูอาการผู้ป่วยเถอะ!”

คล้ายว่าชายหนุ่มไม่อยากคุยจุกจิกให้มากความอีก พอเอ่ยจบก็เดินผ่านไปด้วยสีหน้าราบเรียบเฉยเมย เดินผ่านหน้าซือถูเย่าไปเช่นนี้

ประมุขผู้ทรงเกียรติแห่งวังสวรรค์หมื่นวิมานกลับถูกมองข้ามไปเสียแล้ว ซือถูเย่ารู้สึกขายหน้าขึ้นมา จนปัญญาว่าถึงมีโทสะก็ไม่อาจแสดงออกมาได้

“ขอรับๆๆ!” หลีอู๋ฮวาตอบรับรัวเร็ว ไม่ทันใส่ใจตระหนักรู้เลยว่าศิษย์พี่ประมุขเสียหน้าแล้ว พยักหน้ารับค้อมกายให้เล็กน้อยแล้วเดินนำทางอยู่ด้านหน้า

กลุ่มคนที่อยู่รอบข้างลอบสังเกตปฏิกิริยาของซือถูเย่าเงียบๆ

ซือถูเย่าเอ่ยอย่างสุขุม “บุคลิกท่าทีสมเป็นผู้ทรงภูมิ แต่ดูอายุน้อยไปหน่อย ไม่ทราบเช่นกันว่าจะมีทักษะการแพทย์อันเลิศล้ำอยู่จริงหรือไม่” เขาโบกมือเล็กน้อย พาทุกคนตามไปอีกครั้ง…

มีเสียงเคาะประตูแว่วขึ้นสองที จากนั้นประตูก็ถูกผลักเปิดอย่างเร่งร้อน

หนิวโหย่วเต้าที่นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ พอเห็นว่าเป็นก่วนฟางอี๋ที่เดินเข้ามาอย่างเร่งร้อนก็ค่อยๆ กดฝ่ามือเก็บลมปราณ เอ่ยถาม “ฟ้าจะถล่มหรือไร รีบร้อนอันใดกัน?”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยแจ้วๆ ว่า “รีบเข้าเถอะ ไปดูกันเร็ว เข้าแพร่ข่าวไปถึงหมอผีเข้าแล้วจริงๆ ได้ยินว่าคนของหมอผีมาแล้ว”

“คนของหมอผีงั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้าผงะไป จากนั้นก็หยิบกระบี่ที่อยู่ข้างๆ มาถือ ลงจากเตียงแล้วรีบเดินออกไป

เมื่อทั้งสองมาถึงลานเรือนส่วนในก็เห็นหลีอู๋ฮวาที่มีสีหน้าพินอบพิเทาเดินนำทางชายหนุ่มชุดขาวที่สง่างามเป็นอย่างยิ่งเข้ามา มีพวกซือถูเย่าตามหลังมาด้วย

หนิวโหย่วเต้าทะยานเข้าไปขวางหน้า ยันกระบี่ไว้กับพื้น ขวางทางเดินไว้ ทำให้ทั้งกลุ่มต้องหยุดลงชั่วคราว

“น้องหนิว เจ้าจะทำอะไร?” หลีอู๋ฮวาแปลกใจ

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองชายหนุ่มแปลกหน้า เอ่ยถามเสียงเรียบ “ได้ยินว่าคนของหมอผีมาถึงแล้วหรือ?”

“ใช่!” หลีอู๋ฮวาผายมือแนะนำ “เป็นท่านผู้นี้”

หนิวโหย่วเต้าถาม “ผู้อาวุโสหลีแน่ใจหรือ?”

ใช่ว่าเขาอยากหาเรื่องอีกฝ่าย แต่หากว่าเป็นคนที่มีจิตคิดไม่ซืออันใดขึ้น ทางไห่หรูเยวี่ยคงไม่มีแม้แต่โอกาสรอดแล้ว

“ท่านหมอเคยมาพร้อมกับหมอผี ข้าเคยพบมาแล้ว” หลีอู๋ฮซ่ากล่าวพลางรีบดึงเขาให้หลบทางไป ท่าทางคล้ายจะตำหนิว่าหนิวโหย่วเต้าเรื่องมาก

เคยพบแล้วงั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออกเลย ไม่คิดเลยเช่นกันว่าคนของฝั่งหมอผีที่มิใช่ตัวหมอผีเองจะมาปรากฏตัวที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง กล่าวเช่นนี้คือ เจตนาดีของตนกลับทำให้เสียเรื่องแล้ว

เขาประประสายมือกุมกระบี่เอ่ยไปว่า “ล่วงเกินแล้ว ข้าพเจ้าหนิวโหย่วเต้า ขอบังเรียนถามนามของท่าน…”

กล่าไปได้ครึ่งเดียวก็หยุดลง อีกฝ่ายไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย เมินเฉยต่อเขาแล้วเดินผ่านหน้าไปทันที

ซือถูเย่ายิ้มมุมปากนิดๆ รู้สึกเหมือนได้พบเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้ว

แต่เรื่องราวกลับดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ทันใดนั้น ชายหนุ่มชุดขาวพลันชะงักเท้า คล้ายจะก้มหน้าพึมพำออกมาเล็กน้อย แต่ทุกคนไม่ได้ยินชัดว่าเขาพูดอะไร

ทุกคนมองเห็นเขาค่อยๆ หันกลับมอง หันไปหาหนิวโหย่วเต้า มองพินิจหัวจรดเท้า ในที่สุดก็หยุดมองใบหน้าหนิวโหย่วเต้าด้วยสายตาเรียบเฉย คล้ายต้องการจดจำใบหน้าค่าตาของหนิวโหย่วเต้าเอาไว้ เขาเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “หนิวโหย่วเต้าหรือ? เจ้าคือหนิวโหย่วเต้าแห่งแคว้นเยี่ยนหรือ?”

มุมปากซือถูเย่ากระตุกนิดๆ ฉากนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขา อีกฝ่ายทราบว่าเขาเป็นประมุขวังสวรรค์หมื่นวิมานแต่ก็ยังเมินเฉย แต่หลังจากได้ยินว่าคนผู้นี้คือหนิวโหย่วเต้ากลับมีท่าทีต่างออกไป ความรู้สึกนี้ช่างน่าหงุดหงิดนัก

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “เป็นข้าพเจ้าเอง”

“ข้าเคยได้ยินเรื่องเจ้า บีบให้คนแซ่เซ่าแห่งเป่ยโจวต้องหนีหัวซุกหัวซุน” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยด้วยแววตาเรียบเฉย

หนิวโหย่วเต้ายกยิ้มมุมปากเจือแววเย้ยหยันตนเล็กน้อย วีรกรรมที่ทำในหลายปีมานี้ เว้นแต่ผู้ที่ตัดขาดทางโลกแล้ว คาดว่าคงไม่มีผู้ใดในโลกบำเพ็ญเพียรที่ไม่เคยได้ยินเรื่องของตน เคยได้ยินเรื่องของตนแล้วแปลกมากหรือ?

ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ผู้ใดจะทราบว่าอีกฝ่ายกลับพยักหน้าให้นิดๆ แล้วหันหลังเดินออกไป

หนิวโหย่วเต้ารู้สึกเหมือนคว้าได้เพียงความว่างเปล่า พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เฝ้ามองตามไป กลิ่นสมุนไพรหอมเจือจางที่แผ่ออกมาจากร่างอีกฝ่ายยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก ยิ่งขับเน้นให้บุคลิกงามสง่าพ้นโลกีย์ของอีกฝ่ายดูแฝงกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์บางอย่างเอาไว้

ฝีเท้าที่สงบสุขุมของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกเหมือนทุกย่างก้าวจะก่อกำเนิดบงกชได้

ตันตนของอีกฝ่ายเปรียบเสมือนทะเลสาบนิ่งสงบไร้ระลอกคลื่น ครามกระจ่างชวนให้คนเพลินตาเจริญใจ แต่ก็เงียบสงัดวังเวงเช่นกัน

หนิวโหย่วเต้าจับตามองแล้ว

เมื่อซือถูเย่าเดินผ่านก็หยุดลงครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “น้องชายอย่าได้ถือสาเลย สิ่งที่ข้าเผชิญก่อนหน้านี้แย่กว่าเจ้าเสียอีก แจ้งแล้วว่าเป็นประมุข แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะแยแสเลยสักนิด บางทีนี่อาจจะเป็นมาดของศิษย์ผู้ทรงภูมิก็เป็นได้” บอกกล่าวเป็นนัยๆ ว่าเย่อหยิ่งไม่เห็นใครในสายตา เนื่องจากในใจค่อนข้างมีความคับข้องไม่ยินยอมอยู่

หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ สายตาที่มองตามหลังชายหนุ่มชุดขาวซึ่งเดินเข้าห้องไปแล้วเจือความคิดลุ่มลึกเอาไว้ “อายุยังน้อยก็บรรลุถึงขั้นที่ละวางอารมณ์สุขทุกข์ชอบชังเช่นนี้ได้แล้ว สุขุมลุ่มลึกอย่างที่หาได้ยาก คนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ทางโลกมาเลยเกรงว่าคงไม่อาจทำได้” ว่าจบก็โบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย สื่อว่าให้ซือถูเบ่าเข้าไปดูพร้อมกัน

เมื่อทั้งกลุ่มเข้าห้องไปก็เห็นเพียงว่าชายหนุ่มปลดเข่งที่สะพายไว้ลงแล้ว วางลงที่แทบเท้า นั่งลงข้างเตียงพลิกดูสีหน้าดวงตาของไห่หรูเยวี่ย บีบปากไห่หรูเยวี่ยให้เปิดออก จากนั้นก็จับชีพจรให้ไห่หรูเยวี่ย

ไห่หรูเยวี่ยที่นอนบนเตียงอยู่ในสภาวะสลบไสล หากมิเช่นเพราะมีผู้บำเพ็ญเพียรคอยใช้พลังปราณกระตุ้นเสิมเลือดลมที่ค่อยๆ พร่องลงอยู่ตลอด เกรงว่าคงสิ้นชีพไปนานแล้ว

ชายหนุ่มปล่อยมือจากนั้นหันมาเอ่ยว่า “เตรียมน้ำสะอาดมาสองถ้วย”

“ไปเร็ว!” หลีอู๋ฮวาสั่งคนไปเตรียมมาทันที

ชายหนุ่มก้มตัวเปิดเข่งออก หยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ สองใบที่ห่อผ้าตาข่ายไว้ออกมา หนึ่งขาวหนึ่งดำ อีกมือถือเข็มเงินเล่มหนึ่งไว้

น้ำสะอาดสองถ้วยมาแล้ว ชายหนุ่มให้คนวางถ้วยหนึ่งไว้ที่ขอบเตียง คว้ามือไห่หรูเยวี่ยขึ้นมา บีบนิ้วชี้ของนางแล้วทิ่มเข็มเงินลงไป

ปลายนิ้วชีปรากฏสีเลือดทว่าไม่มีเลือดไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าเลือดลมของไห่หรูเยวี่ยขาดพร่องไปอย่างร้ายแรงมาก

สุดท้ายเขาก็ฝืนบีบเค้นจนมีเลือดหยดหนึ่งไหลลงไปผสมในถ้วยน้ำ จากนั้นก็ให้นำน้ำสะอาดอีกถ้วยเข้ามา บังคีบเค้นโลหิตให้หยดผสมลงในถ้วยอีกครั้ง

ชายหนุ่มปล่อยมือของไห่หรูเยวี่ยแล้วเปิดขวดสีขาวออก หยิบช้อนไม้สีขาวคันเล็กๆ ที่อยู่ในขวดออกมา ตักผงสีขาวขึ้นมาเล็กน้อยเทใส่ในถ้วยน้ำใบหนึ่ง

เขาจ้องมองน้ำในถ้วยอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นความผิดปกติใดๆ ชายหนึ่งโบกมือสื่อให้หยิบออกไป จากนั้นยกอีกถ้วยเข้ามาแล้วเปิดขวดสีดำตักผงสีเขียวใส่ลงไปในถ้วยน้ำเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าสมาธิของเขาจดจ่อกับการทำสิ่งเหล่านี้ คล้ายจะไม่ได้รับผละกระทบใดๆ จากรอบข้างเลย

หลีอู๋ฮวาถือถ้วยน้ำไว้ด้วยสองมือค้อมตัวเล็กน้อยท่าทีจริงจังมากเช่นกัน คอยให้ความร่วมมือกับทุกขั้นตอนของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง ราวกับกำลังรับใช้บรรพบุรุษของตนอยู่ก็มิปาน

จากนั้นสีหน้าของคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงไป เห็นเพียงว่าหลังจากใส่ผงสีเขียวลงไปในน้ำ สีสันของน้ำในถ้วยก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ค่อยๆ ปรากฏสีแดงฉานผสมอยู่ในน้ำ

ทุกคนล้วนจ้องมองไปทางชายหนุ่มต่อ เฝ้ามองท่าทีของเขา

ชายหนุ่มพนักหน้านิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “ถูกพิษของกุมารแดงเข้าแล้ว” จากนั้นก็โบกมือให้ยกน้ำออกไปไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว

พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา มีหลายคนที่ประหลาดใจ ซือถูเย่าและหนิวโหย่วเต้าก็มองหน้ากัน

ก่อนหน้านี้ทางนี้พอจะทราบแล้วว่าถูกพิษกุมารแดงเข้า ทราบเพราะหนิวโหย่วเต้าไปสอบถามมาได้ เริ่มแรกไม่มีผู้ใดตรวจสอบพบทั้งสิ้น อีกทั้งไม่เคยได้ยินเรื่องพิษ ‘กุมารแดง’ มาก่อน แต่พบคนผู้นี้ลงมือตรวจอาการ ใช้เวลาครู่เดียวก็วินิจฉัยได้แล้ว เหนือชั้นกว่าชาววังสวรรค์หมื่นวิมานกลุ่มนี้มากโข

ในใจของทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้น หมอผีมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือนัก แม้กระทั่งคนข้างกายที่ถูกส่งตัวมาก็ยังมีฝีมือขนาดนี้

หลีอู๋ฮวาทั้งตื่นเต้นและมีความหวังขึ้นมา เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ท่านหมอสามารถแก้พิษได้หรือไม่?”

ทางชายหนุ่มเก็บข้าวของที่นำออกมาลงในเข่งไม้ไผ่ให้เรียบร้อยพลางคอยว่า “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด”

ทุกคนพูดไม่ออกยิ่งกว่าเดิม ปัญหาใหญ่ขนาดนี้ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใดอีกหรือ?

หลีอู๋ฮวาดีใจจนแทบคลั่งแล้ว โค้งคำนับกล่าวไปว่า “ขอร้องท่านหมอโปรดช่วยรักษาด้วยเถิด ขอเพียงท่านหมอ…”

ชายหนุ่มลุกขึ้นมา “ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้ ข้ามาก็เพื่อทำการรักษา หากไม่รักษาก็คงไม่มา มามุงกันอยู่ที่นี่ทำไม รบกวนข้า ถอยออกไปให้หมดซะ” เขาหันไปชี้ไห่หรูเยวี่ยที่อยู่บนเตียง “แบกคนไปที่ห้องครัว”

กลุ่มคนที่กำลังทยอยถอยออกไปพอได้ยินก็หันกลับมามอง ล้วนคิดว่าตนฟังผิดไป

“ห้องครัวหรือ?” หลีอู๋ฮวาผงะไป “ท่านหมอบอกให้พาคนไปที่ห้องครัวหรือ”

ชายหนุ่มตอบอืม ก้มตัวลงไปยกเข่งไม้ไผ่ขึ้นมา “เตรียมไม้กระดานรองเตียงแผ่นหนึ่งที่ค่อนข้างบางมา เอาผ้าห่มมาด้วยหนึ่งผืน ยกไปที่ห้องครัวพร้อมกัน อย่าให้กลุ่มคนไร้หน้าที่มามุงล้อมอีก”

……………………………………………………………..

สามีใบ้ของข้าผู้นี้ดีที่สุด

สามีใบ้ของข้าผู้นี้ดีที่สุด

Status: Ongoing
หลังจากฟื้นขึ้นมา ไป๋เสวี่ยเหมยพบว่าตนกำลังเปลือยเปล่าอยู่กับอาช่าน...บ่าวใบ้ผู้ต่ำต้อย เมื่อความทรงจำต่างๆ ย้อนคืน จึงระลึกได้ว่านางกลับมาเกิดใหม่ในร่างเดิม เป็นคุณหนูใหญ่ไป๋แสนร้ายกาจเมื่อสองปีก่อนที่วางแผนทำลายน้องสาว...ไป๋มู่หลานให้เสียตัวเป็นเมียบ่าวใบ้ เพื่อจะแย่งชิงรองแม่ทัพหวังอี้หาน ชายหนุ่มหล่อเหลาอนาคตไกลผู้ปักใจรักน้องสาวมาเป็นคนรักตนแผนกลับผิดคาด นอกจากเล่นงานน้องสาวที่มีแต่คนรุมรักไม่สำเร็จ นางยังตกเป็นเมียบ่าวใบ้แทน ทว่าสิ่งที่ต่างไปจากเดิมคือชาตินี้ตัวตนนางได้เปลี่ยนไปแล้ว นอกจากไม่โวยวาย ยังน้อมรับชะตากรรมแสนบัดซบอย่างยินดี...ในห้วงเวลาเป็นตายสุดท้าย นางได้รู้แล้วว่าอาช่านดีต่อตนเพียงใด ทั้งที่นางตบตีด่าทอเขาสารพัดในชาติก่อน เพราะคิดว่าอีกฝ่ายทำให้ตนมีชะตากรรมเลวร้าย เขากลับยังทำทุกอย่างเพื่อนาง...กระทั่งยอมถูกโจรป่าฆ่าเพื่อช่วยชีวิตนางเอาไว้ไป๋เสวี่ยเหมยไม่คิดเลยว่าการยอมรับชะตากรรมครั้งนี้เพื่อไถ่โทษให้อาช่าน หลังเปิดใจยอมรับเขาเป็นสามี...อาช่านเจ้าลูกเต่าขี้อาย แท้จริงกลับเป็นเสือร้ายหิวกระหาย ‘รัก’ นางอย่างหิวโหยร้อนแรงเสียเหลือเกิน!วันหนึ่งเมื่อทั้งสองเข้าป่าไปพบสุสานถ้ำหยกปริศนา อาช่านได้แช่ตัวในสระหยกและสัมผัสกับแหวนรัตนบุปผา ความทรงจำตลอดจนพละกำลังของเขาพลันกลับคืน ทั้งยังหายเป็นใบ้ ไป๋เสวี่ยเหมยจึงรู้ว่าตนได้ครอบครองสามีที่เป็นดุจพลอยชั้นดียิ่งกว่าสตรีนางใด หาใช่คนเร่ร่อนต่ำต้อยที่นางรับมาเป็นบ่าวแค่เพราะถูกใจดวงตาสีอำพัน อาช่านตัวจริงเป็นถึงตงฟางหงจวิ้น ประมุขหุบเขาโลหิตผู้รวยล้นฟ้า ทั้งยังมากด้วยบารมี เก่งกล้าจนใต้หล้าต้องยำเกรง ด้วยเหตุนี้จึงถูกคนในริษยา ลอบทำร้ายด้วยการวางยาพิษเพื่อสังหาร เขาจึงความจำเสื่อม พูดไม่ได้และพลังหดหายเพราะยาพิษ กระทั่งกลายเป็นอาช่านบ่าวใบ้ของไป๋เสวี่ยเหมย ฮ่องเต้แคว้นอู่ยังต้องเกรงใจเขาเกินสิบส่วน ภายหลังจึงสมคบคิดกับคนในหุบเขา ซึ่งเป็นญาติเพียงหนึ่งเดียวอย่างตงฟางหลี่เฉิน อาแท้ๆ ของตงฟางหงจวิ้น วางแผนยึดครองหุบเขาโลหิต โดยฝ่ายหลังต้องการเพียง ‘แหวนรัตนบุปผา’ ที่ผู้เป็นหลานครอบครอง และเขาก็คือคนที่ทำร้ายตั้งแต่พ่อของหงจวิ้น กระทั่งหงจวิ้นขึ้นเป็นประมุขยังไม่เลิกรา โดนเขาทำร้ายซ้ำจนเกือบจะสำเร็จ เพื่อให้ได้ครอบครองแหวนและขึ้นเป็นประมุขหุบเขา ความร่วมมือกันครั้งนี้ก่อให้เกิดศึกใหญ่ระหว่างแคว้นอู่กับเจ้าหุบเขาศึกระหว่างแคว้นอู่กับประมุขหุบเขาโลหิตจะลงเอยเช่นไร เมื่อสุดท้ายไป๋เสวี่ยเหมยถูกจับตัวไปต่อรองกับแหวนรัตนบุปผา หากความจริงปรากฏว่าชาติก่อนนางเคยทำให้เขาตายมาแล้ว อาช่านหรือตงฟางหงจวิ้นผู้นี้จะอภัยให้นาง...ช่วยชีวิตนางอีกครั้งหรือไม่!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท