ตอนที่ 572 เตรียมโลงศพไว้ให้ตัวเอง
ซือถูเย่าอดใคร่ครวญตามไม่ได้ คิดไปคิดว่าวิธีนี้ไม่มีปัญหาใดเลยจริงๆ จึงตกปากรับคำ
ทั้งสองหารือรายละเอียดกันต่อ หลังคุยจบ หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นขvตัวอำลา “ช่วงนี้จำเป็นต้องปลอบขวัญผู้คนทั้งบนล่างในฝั่งจินโจว ประมุขซือถูมีงานยุ่งไม่น้อย ข้าไม่ขอรบกวนแล้ว“”
ฉากหน้าล้วนดูผ่อนคลาย แต่ความจริงแล้วลึกลงไปต่างมีเรื่องกังวลกันอยู่ไม่น้อย
พอออกจากที่นี่ หนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ได้ออกจากจวนผู้ว่าการมณฑลไป เดินอาดๆ ไปตามท้องถนนอย่างเปิดเผย มุ่งตรงจนมาถึงเรือนที่เป็นศูนย์รับผิดชอบติดต่อข่าวสารระหว่างหนานโจวกับจวนผู้ว่าการทางนี้
พอเข้าไปด้านในแล้วพบสวี่เหลาปา หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามไป “คนเป็นอย่างไรบ้าง?”
สวี่เหล่าปาตอบว่า “ร่ำร้องต้องการพบท่านทุกวันขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปพบกันเถอะ” หนิวโหย่วเต้าโบกมือเล็กน้อยสื่อว่าให้นำทางไป
พอไปถึงห้องนั้นที่คุมขังคนเอาไว้ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็มองเห็นเฉาเซิ่งไหวที่ยังคงถูกมัดเอาไว้กับเสาค้ำคาน
เฉาเซิ่งไหวได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้น พอเห็นหนิวโหย่วเต้าพลันร้องอู้อี้ๆ อยู่ตรงนั้นไม่หยุด
ด้วยกลัวว่าเขาจะเอะอะ จึงผนึกไว้แม้กระทั่งความสามารถในการพูดของเขา
หนิวโหย่วเต้าร้องเอ๊ะ เอ่ยถาม “นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เขาหันกลับไปด่าสวี่เหล่าปา “ข้าให้เจ้ารับรองแขกดีๆ พวกเจ้ากลับรับรองให้ข้าเช่นนี้หรือ?”
สวี่เหล่าปาก็เออออไปด้วย รีบเอ่ยขออภัย “เต้าเหยี่ย ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะเกรงว่าเขาไม่รู้กาลเทศะขอรับ”
หนิวโหย่วเต้าดุด่า “ยังไม่รีบไปปล่อยตัวคนอีกหรือ?”
“ขอรับๆๆ!” สวี่เหล่าปาขานรับติดกันหลายที รีบเดินเข้าไปแก้มัดเฉาเซิ่งไหวที่อยู่บนเสา
เฉาเซิ่งไหวถูกมัดมานานขนาดนี้มือเท้าเหน็บชาไปหมดแล้ว พอเชือกคลายออกก็ล้มทรุดคุกเข่าลงพื้นดังตุ้บ
หนิวโหย่วเต้าทำเป็นตกใจมากนัก “พี่เฉา พวกเราเป็นสหายกันไยต้องมากพิธีถึงเพียงนี้ด้วย?”
ก่วนฟางอี๋เบือนหน้าออกไปด้านข้าง พยายามกลั้นหัวเราะ รู้สึกว่าคนผู้นี้ชั่วร้ายเกินไปแล้ว
สวี่เหล่าปาก็กลั้นไม่ไหวแอบยิ้มออกมาเล็กน้อย
เฉาเซิ่งไหวคุกเข่าอยู่ตรงนั้นลุกไม่ขึ้น มีทุกข์ก็ยากจะเอื้อนเอ่ยได้ อีกทั้งยังไม่สามารถพูดได้
หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าหาพลางยื่นมือออไปประคองเขาขึ้นมา ลากมานั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างพลางจี้จุดคลายผนึกให้เขาพูดได้ ทว่าไม่ได้คลายผนึกควบคุมพลังปราณของเขา
มือเท้าเฉาเซิ่งไหวเหน็บชายากจะขยับได้ในชั่วขณะ นั่งอยู่บนเก้าอี้ประหนึ่งเป็นอัมพาฒ ถูกมัดนานเกินไปจนเลือดไม่เดินแล้วจริงๆ กระแอมให้ลำคอโล่งก่อน จากนั้นก็เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “หนิวโหย่วเต้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าโบกแขนเสื้อเล็กน้อยก่อน รอจนก่วนฟางอี๋กับสวี่เหล่าปาออกไปแล้วถึงได้ทอดหายใจเอ่ยไปว่า “พี่เฉา เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป เจ้าถ่อไปหาข้าถึงบ้าน เปิดปากมาก็ข่มขู่ข้าเสียแล้ว ลูกน้องของข้าไม่ได้ระงับอารมณ์ของตัวไว้ให้ดี ถึงได้ล่วงเกินพี่เฉาเข้า ข้าก็เพิ่งทราบว่าวันนี้ว่าคนพวกนี้แอบกระทำเกินเลยลับหลังข้า ข้าไม่รู้เรื่องมาก่อน ใช่แล้ว ข้าให้พวกเขานำเงินไปมอบให้พี่เฉาหนึ่งล้านเหรียญทอง พี่เฉาได้รับหรือยัง? เรื่องนี้ต้องคุยกันให้แน่ชัดหน่อย เลี่ยงไม่ให้พวกเขาแอบยักยอก”
เฉาเซิ่งไหวเดือดดาล “เจ้าอย่ามาทำเสแสร้งเช่นนี้เลย ข้าได้เงินแล้วแต่คนเล่า?”
หนิวโหย่วเต้าถาม “คนอะไร?”
เฉาเซิ่งไหวกัดฟันเอ่ย “ศิษย์ร่วมสำนักสี่คนนั้นของข้าเล่า? ขอพูดประโยคเดียว หากอยู่ข้าต้องได้พบ หากตายต้องได้เห็นศพ!”
หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ เอ่ยตอบว่า “เจ้าพูดถึงศิษย์ร่วมสำนักสี่คนนั้นของเจ้านั่นเอง เอ่ยถึงเรื่องนี้ข้าก็อยากถามเจ้าอยู่เหมือนกัน ข้าก็แปลกใจอยู่ ลูกน้องของข้าบอกว่านัดแนะกับเจ้าไว้เรียบร้อยแล้ว ผลคือรอจนถึงดึกดื่นก็ไม่เห็นสี่คนนั้นโผล่มา พวกเขาคิดว่าเจ้าผิดนัดเสียแล้ว กลัวจะเกิดเหตุร้ายไม่กล้ารั้งอยู่นาน จคงจากมาเสียก่อน”
“ไม่ปรากฏตัวหรือ?” เฉาเซิ่งไหวผงะไป ได้แต่สงสัยอยู่ในใจ เกิดอะไรขึ้น?
สุดท้ายพอเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ใส่ใจเลย กำลังมองสำรวจสภาพแวดล้อมภายในห้องนี้ด้วยท่าทางสงบเฉยเมย ราวกับไม่กลัวเลยสักนิดว่าหากเกิดเหตุเหนือความคาดหมายกับสี่คนนั้นแล้วเรื่องที่พวกเขาขโมยอินทรีหยกทมิฬจะเปิดเผยออกมา พลันได้สติกลับมา เอ่ยด้วยความโกรธ “หนิวโหย่วเต้า เจ้ากล้าหลอกข้าหรือ? ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ อย่าได้ฝันว่าจะนำเรื่องนี้มาขู่ข้าได้ตลอด ข้ามาครั้งนี้ก็ไม่หวังจะได้รอดชีวิตกลับไปแล้ว ข้าทิ้งหนังสือสั่งเสียฉบับหนึ่งไว้ที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว หากข้าไม่กลับไปตามเวลาที่กำหนดไว้ เรื่องที่พวกเราทำจะถูกเปิดโปงแน่นอน วันนี้เจ้าจะต้องมอบคำอธิบายแก่ข้า!”
หนิวโหย่วเต้าที่กวาดตามองไปทั่วห้องอย่างมาอนาทรร้อนใจค่อยๆ หันกลับมามองเขา มุมปากเจือรอยยิ้มลุ่มลึกมีนัย ถามไปว่า “พี่เฉาอยากตายจริงๆ น่ะหรือ?”
เกิดเสียงดัง ‘ชิ้ง’ แว่วมาจากในมือ กระบี่โผล่พ้นฝักขึ้นมาหลายส่วน ตัวกระบี่ค่อยๆ ลื่นไถลขึ้นมาจากฝัก ถูกเขาชักออกมาอย่างเชื่องช้า
หัวใจเฉาเซิ่งไหวใจเต้นกระหน่ำ ลูกกระเดือกขยับไหวกลืนน้ำลายแห้งผากลงไป หวั่นวิตกแล้ว เอ่ยเตือนขึ้นมาอีกครั้ง “หากข้าตายไปเรื่องราวจะถูกเปิดเผยแน่นอน สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่มีทางปล่อยเจ้าไป!”
เกิดเสียงดังฉึบ กระบี่พลันสอดเข้าฝักอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้าค้ำกระบี่สองมือกุมอยู่บนด้ามกระบี่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สำนักหมื่นสรรพสัตว์หรือ? เจ้ายกสำนักหมื่นสรรพสัตว์มาขู่ข้างั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวสำนักหมื่นสรรพสัตว์หรือ?หากข้ากลัวจริง เจ้าคิดว่าข้ายังจะกล้าไปก่อเรื่องในสำนักหมื่นสรรพสัตว์หรือ? หากกลัวจริงคงจัดการเจ้าในโลกมามายาไปแล้ว จบปัญหาไปนานแล้ว! อีกอย่าง มีอะไรให้เปิดไม่เปิดกัน ข้าทำอันใดที่ต้องกลัวถูกเปิดเผยเล่า?”
เฉาเซิ่งไหวกล่าวว่า “แต่เรื่องนี้เจ้าจำเป็นต้องกลัว! เจ้าอย่าได้ลือเสียเล่าว่าตอนที่อยู่นอกประตูสำนักหมื่นสรรพสัตว์เจ้าเคยโดยสารวิหคพาหนะอย่างเปิดเผย ซ้ำยังมิใช่เพียงตัวเดียว คนที่รู้ว่าจู่ๆ เจ้าก็มีวิหคพาหนะในครอบครองมิได้มีเพียงคนสองคน อินทรีหยกทมิฬห้าตัวมิใช่จำนวนน้อยๆ เลย นี่มิใช่เรื่องที่เจ้าจะแก้ตัวให้ผ่านพ้นไปได้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไหนเลยจะปล่อยเจ้าไป?”
“ฮ่าๆ!” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าพลางหัวเราะ ห้าตัว? ต้องแก้ตัวด้วยหรือ? แก้ตัวเรื่องใดเล่า? ต้องปวดหัวหาคำแก้ตัวไปไย? ในบ้านเขามีวิหคพาหนะเป็นฝูง จะอธิบายอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
หากเป็นเมื่อก่อนเขาไม่กล้าทำเช่นนี้แน่นอน ตอนนี้ต่างกันออกไปแล้ว
สถานการณ์ไม่คงที่ เรื่องราวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เขาคอยจับจังหวะจากสถานการณ์เสมอ ปรับเปลี่ยนแผนการของตนเสมอมา ในฐานะผู้นำก็มีเรื่องที่ทำไม่ได้อยู่เช่นกัน จำเป็นต้องคอยกังวลใส่ใจไว้
สรุปคือเขาสังเกตเห็นว่าเฉาเซิ่งไหวคนนี้น่าขบขันนัก มีฐานะเป็นคนในสำนักที่ถูกผูกมัดไว้ด้วยกฎสำนัก รู้ชัดเจนดีว่าทางสำนักไม่มีทางยอมรับเรื่องที่ตนทำลงไป ยากจะขอยืมกำลังจากสำนักได้ รู้ชัดเจนดีว่าตอนนี้ตัวเขาหนิวโหย่วเต้ามีอำนาจในระดับหนึ่งแล้ว ยังกล้าถ่อมาข่มขู่เขาด้วยตัวคนเดียวอีกงั้นหรือ?
ทำเช่นนี้ไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำบ้างเลยหรือ? อยู่แต่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์นานเกินไปจนโง่เขลาคิดว่าใต้หล้านี้ขึ้นอยู่กับสำนักหมื่นสรรพสัตว์งั้นหรือ?
ยังนึกว่าตอนนี้อยู่ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ คิดจะอาศัยประโยชน์จากภูมิหลังของตนทำทุกอย่างตามต้องการอีกงั้นหรือ?
แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้เช่นกัน หลังหัวเราะกลับถอนหายใจกล่าวไปว่า “พี่เฉากล่าวถูกแล้ว มิสู้เอาเช่นนี้เถิด ท่านช่วยธุระข้าอย่างหนึ่ง เรื่องนี้ก็จะนับว่าแล้วกันไป”
เฉาเซิ่งไหวที่ร่างกายดีขึ้นมาเล็กน้อยแล้วยืดตัวขึ้นมานั่งตรงๆ เอ่ยด้วยความขุ่นข้อง “อย่าฝันว่าจะขู่ข้าได้อีก อย่างมากก็แค่ตายตกไปตามกันเท่านั้น!”
หนิวโหย่วเต้าแค่นหัวเราะเฮอะๆ เล็กน้อย “พี่เฉาอาจจะยังไม่ทราบถึงสถานการณ์ภายนอก ณ ปัจจุบันนี้ ราชสำนักแคว้นเยี่ยนเตรียมยกทัพเข้าโจมตีหนานโจว หากข้ารักษาหนานโจวไว้ไม่ได้ ชีวิตข้าก็คงหาไม่ด้วย ทางข้าอย่างมากไม่ตายก็คงต้องหนี เจ้ามาข่มขู่ข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ มีพี่เฉาร่วมลงหลุมไปพร้อมข้าด้วยมีเพื่อนร่วมเดินทางสู่ปรโลกโดยที่ข้าไม่ต้องขอ หากว่าพี่เฉาไม่เชื่อ…อีกเดี๋ยวข้าจะปล่อยท่านออกไป ท่านไปสอบถามดูด้วยตัวเองได้เลย”
เฉาเซิ่งไหวอ้าปากค้าง จริงหรือเท็จกัน? เขาไม่ทรายสถานการณ์ภายนอกจริงๆ นี่ก็เพราะถูกอีกฝ่ายจับมัดไว้มิใช่หรือ
หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจเอ่ยไปว่า “พี่เฉา เอาเช่นนี้เถอะ ข้าก็รักถนอมชีวิตไม่อยากตายเช่นกัน ขอเพียงสามารถรอดชีวิตจากวิกฤตนี้ไปได้จะไม่ยอมปล่อยให้สี่คนนั้นสร้างความเดือดให้ตนแน่ ขอเพียงเจ้าช่วยข้าจัดการเรื่องเล็กน้อยบางอย่าง ทำให้ข้ารอดพ้นอันตรายครั้งนี้ไปได้ ข้าจะตามหาศิษย์รวมสำนักสี่คนนั้นของเจ้าให้พบ แล้วมอบให้เจ้าจัดการด้วยมือตนดีหรือไม่? เช่นนี้เจ้าก็นับว่าตายได้เห็นศพอยู่ได้พบตัวแล้ว อีกทั้งในมือข้าก็ไม่มีหลักฐานที่จะนำมาข่มขู่เจ้าได้อีก เจ้าก็ปลอดภัยเช่ากัน”
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยด้วยความโมโห “ใช้ไม้นี้ให้มันน้อยๆ หน่อย!”
หนิวโหย่วเต้าทำเป็นไม่ได้ยิน เอ่ยต่อไปว่า “หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็ไม่เหลือทางถอยแล้ว จะเป็นราชำสนักแคว้นเยี่ยนมาจัดการข้าหรือว่าเป็นสำนักหมื่นสรรพสัตว์จัดการข้าก็ไม่สำคัญอันใดอีก ก่อนที่ข้าจะย่อยยับอับปางไป จะหาวิธีทำให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์พบตัวสี่คนนั้นแน่นอน พี่เฉาไม่จำเป็นต้องข่มขู่ข้าข้าก็จะทำให้สำนักหมื่นสรรพสัตว์ได้ทราบเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างกระจ่าง ลากท่านปู่ของเจ้าลงหลุมไปด้วยกัน”
“มีเรื่องหนึ่งที่ต้องแจ้งไว้ นั่นคือต้องการให้พี่เฉาช่วยธุระเล็กน้อยจริงๆ ไม่มีอันตรายใดทั้งสิ้น เอาละ ขอเอ่ยเท่านี้แล้ว พี่เฉาไปทบทวนดูให้ดีเถอะ คิดออกมาแล้วก็มาบอกคนที่นี่ได้ ข้าต้องการคำตอบก่อนฟ้ามืด หากสายเกินไปพี่เฉาก็เตรียมโลงศพไว้ให้ตัวเองได้เลย!” พูดจบหนิวโหย่วเต้าก็หันหลังเดินออกไป
“หนิวโหย่วเต้า!” เฉาเซิ่งไหวลุกขึ้นมาด้วยความเดือดดาล เขาไม่สามารถโคจรลมปราณได้มือเท้าจึงยังชาอยู่ ทรุดนั่งลงไปอีกครั้ง
หนิวโหย่วเต้าคร้านจะสนใจเขาอีก เดินออกประตูมาถึงด้านนอกเรือนก็เอ่ยสั่งหารสวี่เหล่าปาว่า “ปล่อยเขาไป”
สวี่เหล่าปาแปลกใจ “จะปล่อยไปเช่นนี้หรือขอรับ?”
“วางใจเถอะ เขาจะกลับมาก่อนฟ้ามืดแน่ ไปเถอะ!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยทิ้งทายแล้วหันไบอกก่วนฟางอี๋ ทั้งสองออกจากสถานที่แห่งนี้ไปเช่นนี้ ย้อนกลับไปที่จวนผู้ว่าการมณฑล
….
เมืองจินโจวงั้นหรือ? เฉาเซิ่งไหวที่ผ่านการแปลงโฉมแล้วเดินเร่ร่อนอยู่ในถนนอันรุ่งเรืองแห่งนี้ ไม่คิดเลยว่าตนจะถูกจับมาที่นี่
ประเด็นสำคัญสถานการณ์ในยามนี้ตึงเครียก แม้แต่พ่อค้าประชาชนที่สัญจรตามท้องถนนก็ซุบซิบคุยถึงเช่นกัน
สอบถามดูเล็กน้อยก็ทราบได้ไม่ยากแล้วว่าสิ่งที่หนิวโหย่วเต้าเล่าเป็นจริงหรือเท็จ ไห่หรูเยวี่ยต้องพิษเอย แคว้นจ้าวจะเข้าโจมตีมณฑลจินโจวเอย แคว้นเยี่ยนจะเข้าโจมตีมณฑลหนานโจวเอย
ที่แท้หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้ขู่ขวัญเขา แต่ตกอยู่สถานการณ์วิกฤติจริงๆ อาจจะอยากลากเขาลงหลุมไปด้วยจริงๆ
เฉาเซิ่งไหวสำนึกเสียใจขึ้นมาว่า ดันไปยั่วโทสะคนที่อาจจะพลาดท่าย่อยยับในคลื่นมรสุมใหญ่เข้าเสียแล้ว
ก่อนที่ฟ้าจะมืดลง เขาออกมาจากที่ใดก็ยังคงกลับไปยังที่นั่น มายืนเคาะประตูอยู่หน้าเรือน
ประตูเปิดออก สวี่เหล่าปาแย้มยิ้มพลางเชิญเขาเข้ามา เขากำลังรออยู่เลย
ประตูปิดลง เฉาเซิ่งไหวกัดฟันถาม “ต้องการให้ข้าทำอะไร?”
……
ราตรีผ่านพ้นรุ่งสางมาเยือนอีกครา ชีวิตในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน
อู๋ซินศิษย์หมอผีจะไปแล้ว หลีอู๋ฮวารีบไปที่เรือนรับรองอวลสุคนธาเพื่อน้อมส่ง
ได้เอ่ยรั้งไว้เช่นกัน หวังอยากให้อีกฝ่ายอยู่ต่ออีกหลายๆ วัน ด้วยเกรงว่าอาการป่วยของแม่ลูกคู่นั้นจะย้อนกลับมา
แต่ก็รั้งไม่อยู่ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไป
พวกซือถูเย่าไม่ได้มาด้วย เนื่องจากอีกฝ่ายไม่รับไมตรีและไม่อยากให้พวกเขาไปส่ง
วิหคยักษ์โฉบลงมาจากนภา ร่อนลงในลานเรือน อู๋ซินเดินเข้าไปหา
หลีอู๋ฮวารีบตามไปพลางเอ่ยถาม “ท่านหมอต้องการจะไปที่ใดหรือ”
อู๋ซินไม่ตอบ
หลีอู๋ฮวารีบกล่าวว่า “ข้ากลัวว่าอาการของพวกนางแม่ลูกจะกำเริบอีกแล้วทำให้เสียชื่อของท่านหมอ หากมีเหตุฉุกเฉินอันเจะติดต่อท่านหมอได้อย่างไรขอรับ?”
อู๋ซินที่เดินไปถึงตัววิหคยักษ์พลันชะงักเท้า เงียบไปครู่หนึ่งถึงตอบว่า “ครั้งนี้จะไปเมืองหลวงแคว้นฉี น่าจะหาตัวข้าพบได้ง่ายมาก”
“ขอรับ ท่านหมอต้องการให้ข้าส่งคนตามคุ้มกันหรือไม่?” หลีอู๋ฮวาพูดจาไร้แก่นสารออกไปเสียแล้ว
อู๋ซินไม่สนใจเขา กระโดดขึ้นหลักวิหคยักษ์ โบกมือคราหนึ่ง วิหคยักษ์ย่อตัวโผขึ้นไป บินสู่นภาอากาศ
….
ก่วนฟางอี๋เคาะประตูแล้วเดินเข้ามาหยุดเบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้าที่นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ รายงานว่า “ศิษย์หมอผีคนนั้นจากไปแล้ว บอกว่าจะไปเมืองหลวงแคว้นฉี”
“เมืองหลวงแคว้นฉี…” หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้นเล็กน้อย ตอบอืมคำหนึ่งแล้วหลับตาบำเพ็ญเพียรต่อ
…………………………………………………………………………….