บทที่ 266 พิจารณาตัวเอง
ฮูหยินอวี้ที่บัดนี้ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในศาลบรรพชน ยังไม่สำนึกกับสิ่งที่ได้ก่อลงไปที่วังหลวงแม้แต่น้อย
นางจำได้ว่านางไม่ได้ดื่มสุราเสียหน่อย ฉะนั้นนางจะไปเมาแล้วทำตัวเสียมารยาทในงานเลี้ยงได้อย่างไร
“ต้องเป็นฝีมือของนังหลินซีเหยียนแน่ ๆ!”
ไม่อย่างนั้นแผนการที่นางเตรียมจัดการกับแม่นั่นจะไม่ได้ผลได้อย่างไร ต้องเป็นมัน ต้องเป็นฝีมือมันแน่นอน!
ในขณะที่ฮูหยินอวี้กำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกับสิ่งที่ตนเองสันนิษฐานอยู่นั้น วันพิธีแต่งงานของหลินหัวเยว่ก็ได้มาถึง
เมื่อแสงแดดของวันใหม่ได้มาเยือน ดวงตาหงส์ไฟคู่งามก็ลืมขึ้น หลินซีเหยียนได้ยินเสียงแสดงความยินดีดังมาจากข้างนอกห้องนอนของนาง พลันนั้นเอง รอยยิ้มแฝงเลศนัยที่มุมปากก็ได้ปรากฏขึ้น
ในที่สุดก็ถึงเวลาจนได้
ในวันนี้นางช่างมีความสุขเหลือเกิน แน่นอนว่านางจะเข้าไปร่วมสนุกในงานด้วย!
หลินซีเหยียนเลิกผ้าห่มออกแล้วยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเรียกให้จิ่งชุนไปเตรียมอาหารเช้ามาให้
จิ่งชุนที่ได้มาต้อนรับพร้อมรับคำสั่งจากคุณหนูของตนก็อดละล้าละลังอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่งไม่ได้ ก่อนที่ในที่สุดนางก็ตัดสินใจเดินเข้าไปกระซิบหลินซีเหยียนใกล้ ๆ อย่างไม่อาจห้ามใจ “คุณหนูเพิ่งตื่นคงจะยังไม่ทราบ ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่ดื้อไม่ยอมแต่งงานและกำลังอาละวาดอยู่เจ้าค่ะ”
หลินซีเหยียนคลี่ยิ้มออกมาชอบอกชอบใจทันที “อย่างนางจะไม่แต่งงานตามคำสั่งของพ่อแม่และคำพูดของคนจับคู่ได้อย่างนั้นหรือ?”
ทางฟากคนที่หลินซีเหยียนกำลังพูดถึงอยู่นั้นเอง ยามนี้ได้ขว้างปิ่นปักผมลูกปัดที่สาวใช้นำมามอบให้ลงกับพื้น รูปโฉมที่เคยงดงามของหลินหัวเยว่ยามนี้ได้บิดเบี้ยวไปด้วยความเดือดดาล
“ข้าจะไม่แต่งงานเด็ดขาด!”
“พูดอะไรเหลวไหล!”
ทันทีที่ผู้เป็นบิดาเข้ามาในห้อง ก็พบลูกปัด เพชรพลอย และเครื่องลายครามแตกกระจายเกลื่อนอยู่เต็มพื้น ห้องของหลินหัวเยว่ราวกับเพิ่งผ่านมรสุมมาอย่างไรอย่างนั้น
มหาเสนาบดีหลินยามนี้ทั้งโกรธทั้งผิดหวังในบุตรีคนโตของตนยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าบิดามาหา หลินหัวเยว่ที่คิดว่านี่คงจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ก็รีบวิ่งเข้าไปคุกเข่าต่อหน้ามหาเสนาบดีหลินทั้งน้ำตา “ท่านพ่อ ข้าไม่อยากแต่งงานกับเขา….”
มหาเสนาบดีหลินเมินเฉยต่อคำอ้อนวอนของหลินหัวเยว่ แล้วหันไปสั่งกับสาวใช้แทน “ขบวนขันหมากจะมาถึงแล้ว ยังไม่รีบแต่งตัวให้คุณหนูพวกเจ้าอีก”
“เจ้าค่ะ!” เหล่าสาวใช้ขานรับเสียงขึงขังแม้ในใจจะหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก แล้วรีบดังตัวพาคุณหนูของพวกนางกลับมา
“ออกไป!” หลินหัวเยว่พยายามดิ้น สลัดตัวให้หลุดออกแขนของสาวใช้ พลันตวัดสายตามองฝ่ายบิดาด้วยแววตาแข็งกร้าว “ท่านพ่อเจ้าคะ ทำไมท่านพ่อถึงได้ใจร้าย ให้ลูกสาวของท่านแต่งกับคนเช่นเฮอเหวินจางด้วย!”
ฝ่ายบิดาเพียงตอบเสียงเรียบ “แม้เฮอเหวินจางจะมีรสนิยมเช่นนั้น แต่เขาก็เป็นคนจากตระกูลขุนนาง อีกไม่นานเขาก็จะได้เลื่อนขั้นแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่ต้องลำบาก”
เมื่อได้ยินคำของบิดา นางก็ทรุดตัวลงทั้งที่ยังอยู่ในวงแขนของเหล่าสาวใช้ทันที ด้วยรู้ชัดแล้วว่าตัวเองเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งที่เอาไว้ให้บิดาได้ใช้เพื่อเอาชนะใจพวกขุนนางด้วยกันเท่านั้น
“ยังไม่รีบไปเตรียมตัวคุณหนูใหญ่อีก!”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวตนไม่อาละวาดแล้ว มหาเสนาบดีหลินก็ไม่ได้สนใจนางอีกและก้าวออกจากห้องไป
ชื่อเสียงของหลินหัวเยว่นั้นแย่มาพักใหญ่แล้ว การที่ตนยังสามารถหาคู่แต่งงานให้นางได้ การเรียกได้ว่าเป็นความเมตตาขั้นสูงสุดของเขาแล้ว
เมื่อมหาเสนาบดีหลินคิดได้เช่นนั้น ความรู้สึกผิดเล็ก ๆ ในใจเขาก็ได้หายไป
คล้อยหลังบิดา หลินหัวเยว่ที่ตระหนักได้แล้วว่าขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์ นางจึงปล่อยให้เหล่าสาวใช้แต่งตัวนางไปอย่างใจสลาย และสุดท้าย นางก็ได้ก้าวเข้าไปนั่งในเกี้ยวแดง
‘หลินซีเหยียน ข้าจะต้องทำให้เจ้าชดใช้ความอับอายนี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า’
หลินหัวเยว่คำรามคำสาบานนั้นอยู่ในใจ
ไม่นานนักขบวนเกี้ยวแต่งงานก็เคลื่อนตัว และเลี้ยวขึ้นมายังที่ที่จวนมหาเสนาบดีตั้งอยู่ ดูจากของในขบวนขันหมากที่แสนจะน้อยนิดแล้ว ก็ทำให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งว่าหลินหัวเยว่นั้นถูกชังมากเพียงใด
หลินซีเหยียนที่ยืนมองดูจากหน้าบ้านยังรู้สึกว่าไม่ค่อยพอใจกับภาพตรงหน้านี้สักเท่าไร ในความคิดของนางนั้น แค่นี้ยังน้อยไป
อากาศยามเช้าค่อนข้างหนาวเย็นอยู่นิดหนึ่ง ด้วยความเป็นห่วงจิ่งชุนจึงกล่าวกับคุณหนูของนาง “คุณหนูเจ้าคะ ข้างนอกอากาศเย็นนัก ข้าว่าเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไปศาลบรรพชนกับข้าหน่อย”
ลูกสาวของฮูหยินอวี้แต่งงานทั้งที หลินซีเหยียนจะไม่เอาข่าวดีเช่นนี้ไปบอกนางได้อย่างไร
เมื่อมาอยู่หน้าศาลบรรพชน หลินซีเหยียดก็เหยียดริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ซึ่งรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความแค้นนี้เสริมให้ใบหน้าของนางดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น จิ่งชุนที่มองเห็นสิ่งนี้พลันตกตะลึงขึ้นมา
เมื่อเห็นจิ่งชุนยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน หลินซีเหยียนจึงเอ่ยปากกึ่งถามกึ่งสัพยอก “เจ้ายืนนิ่งอยู่ทำไม? หรือว่าเจ้ากำลังนึกถึงคุณชายที่ไหนอยู่?”
จิ่งชุนแก้มแดงแปร๊ด ก่อนจะละล่ำละลักตอบ “คุณหนูละก็ชอบแกล้งข้าเสียจริง ข้าก็แค่คิดว่าคุณหนูน่ะช่างงามจริง ๆ เจ้าค่ะ”
หลินซีเหยียนยิ้มอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “อย่าให้ใครเข้ามารบกวนข้าโดยที่ข้าไม่ได้สั่ง” จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูที่เก่าคร่ำของห้องห้องหนึ่งในศาลบรรพชนออก แสงสว่างจากด้านนอกสาดเข้าไปข้างในทันที
ฮูหยินอวี้ที่ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันมาพักหนึ่งก็พูดขึ้นด้วยความยินดี “ในที่สุดคุณท่านก็ยอมมาหาข้าด้วยตัวเองแล้วหรือเจ้าคะ…” แต่เมื่อว่าคนที่เปิดประตูเป็นใคร สีหน้าของหน้าก็มืดมนลงทันที “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องถามเลย แน่นอนว่าข้าก็มาหาฮูหยินอวี้น่ะสิ” หลินซีเหยียนก็ไม่ได้หลีกหนีนางแม้แต่น้อย คนมาใหม่มองหาที่นั่งสะอาด ๆ แล้วค่อย ๆ หย่อนตัวนั่งลง ก่อนจะยิ้มให้หญิงวัยกลางคนซึ่งบัดนี้ได้ตัวแข็งทื่อไปเสียแล้ว
เมื่อได้สติ ฮูหยินอวี้พลันแค่นเสียงเย็นชา “อย่ามาทำเป็นอวดดีให้มากนัก” พูดจบนางก็หันไปคุกเข่าสวดมนต์ต่อ หลินซีเหยียนหาได้สนใจท่าทางเช่นนั้นไม่ แล้วทำทีกล่าวอย่างคนไม่ตั้งใจต่อไปว่า “ข้าล่ะสงสัยเสียจริง ว่าถูกขังที่นี่ทั้งวันเป็นเช่นไรบ้างนะ นี่ลูก ๆ ของท่าน ไม่รู้จักมาดูท่านบ้างเลยหรือ? ช่างอกตัญญูเสียจริง”
“ไม่ต้องมาแสร้งทำเป็นห่วงข้าหรอก” ฮูหยินอวี้พลันกล่าวสวน “ภูเขาสูงแม่น้ำยาว เจ้ากับข้ายังคงห่างชั้นกันนัก”
หลินซีเหยียนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนที่นางจะเปลี่ยนท่านั่งแล้วชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีเสมือนว่ากำลังมองดูตัวตลกอยู่
ฮูหยินอวี้ตวาดทันที “เจ้าหัวเราะอะไรอยู่ไม่ทราบ!”
“ท่านอย่าสำคัญตัวเองผิดนักเลย อย่างแรกนะข้าไม่ได้เป็นห่วงท่านแม้แต่น้อย ข้าแค่มาดูอะไรที่น่าขบขันก็เพียงเท่านั้น แล้วอย่างที่สอง…” เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ดูมืดดำของฮูหยินอวี้แล้ว หลินซีเหยียนก็จงใจทำสีหน้าแบบคนต่ำต้อยคิดการใหญ่ขึ้นมา
“ฮูหยินคงจะยังไม่ทราบ ข้าเพิ่งจะไปดูหลินหัวเยว่ขึ้นเกี้ยวแต่งงานทั้งน้ำตาด้วยตาของข้าเองเลย ข้าล่ะสงสารนางยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่เกิดมาเป็นสาวงาม แต่วันนี้กลับต้องมาแต่งงานกับคนตัดแขนเสื้อ มิหนำซ้ำแม่ของตัวเองก็ไม่สามารถไปยืนส่งได้อีก ข้าล่ะรู้สึกเป็นห่วงนางจริง ๆ ว่าคืนนี้นางจะรู้สึกเช่นไรบ้าง”
“เจ้า!”
ทันทีที่หลินซีเหยียนพูดถึงการแต่งงานของหลินหัวเยว่ ฮูหยินอวี้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา นางจ้องหลินซีเหยียนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทว่าครู่ต่อมานางก็หยัดตัวยืดขึ้นหลังตรงพร้อมเชิดหน้า อย่างไรเสียนางก็เคยรับศึกภายในตระกูลใหญ่เช่นนี้มานานนับศตวรรษแล้ว ดังนั้นแม้ว่านางจะยังแค้นเคืองอยู่ ก็ยังสามารถพูดจาประชดประชันหลินซีเหยียนด้วยมาดฮูหยินใหญ่ได้
“เดินอยู่ริมแม่น้ำเช่นนี้ ระวังรองเท้าของเจ้าเปียกก็แล้วกัน”
“ข้าจะระวังตัวเอาไว้” หลินซีเหยียนรู้ดีว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำให้คนโมโหได้ ปากจึงพูดต่อไปว่า “ข้าจะดูฮูหยินไว้เป็นตัวอย่าง ว่าการทำรองเท้าเปียกเป็นเช่นไร แต่ข้าคงรู้สึกเสียดายแทนฮูหยินหน่อย เพราะท่านคงไม่มีวันได้เห็นข้าตกน้ำน่ะนะ”
ฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลหลินอ้าปากพะงาบด้วยสวนคำพูดออกไปไม่ทัน ทำได้เพียงถลึงตาใส่หญิงสาว
เมื่อมองดูหน้าเขียว ๆ ของฮูหยินอี้จนสาแก่ใจแล้ว หลินซีเหยียนที่ริมฝีปากยิ้มไปถึงกกหูก็ค่อย ๆ กลับมาแสดงสีหน้าเยือกเย็น “ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องนี้ยังไม่จบง่าย ๆ หรอก ยังมีเรื่องสนุก ๆ ตามมาแน่นอน” พูดจบคนก็ผละตัวออกจากห้องไป
“นังโสเภณีไร้ยางอาย!”
ฮูหยินอวี้ตะโกนด่าไล่หลังหลินซีเหยียนอย่างเหลืออด แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่อินังขังขอบใด ๆ ทั้งสิ้น
จนเมื่อประตูปิดลง ฮูหยินอวี้ที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้าก็ทรุดลงไปกองกับพื้นแล้วกระอักเลือดออกมา