บทที่ 270 งานเลี้ยงในจวนมหาเสนาบดี
ในเวลานี้หลินซีเหยียนพูดไม่ออกกับชายสองคนตรงนี้จริง ๆ แต่แล้วหญิงสาวก็ถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงถามหลีเจี้ยนเฉินว่า “ข้าได้ยินมาว่ามีดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ระหว่างรัฐหลีกับรัฐจงอยู่ ซึ่งผู้คนที่นั่นล้วนเลี้ยงแมลงวิปลาส ใช่หรือไม่?”
“ท่านหมอหลินเองก็รู้เรื่องรัฐหลีของเราไม่น้อยเลยทีเดียว” หลีเจี้ยนเฉินกล่าวอย่างยินดี และเขาก็ไม่ลืมที่จะตอบคำถามของหลินซีเหยียน “มีสถานที่เช่นนั้นอยู่ระหว่างรัฐหลีกับรัฐจงจริง ๆ แต่ผู้คนที่นั่นยากที่จะเป็นมิตรด้วย ข้าแนะนำให้ท่านหมอหลินเลิกคิดถึงที่นั่นจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะ?” ในพจนานุกรมของหลินซีเหยียนแล้ว ไม่มีคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ อยู่ นางจึงอยากจะไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นขึ้นมา “ผู้คนที่นั่นเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“อย่างหนึ่งเลยคือ แมลงพิษพวกนั้นร้ายกาจมากและมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง และอีกอย่างก็คือพวกเขาน่ะมีความเชื่อเป็นของตัวเองและยากที่จะอยู่ร่วมกับคนนอก”
เมื่อคิดว่าที่นั่นคือเป้าหมายของหมอหลินแล้ว หลีเจี้ยนเฉินจึงแนะนำเรื่องของดินแดงศักดิ์สิทธิ์ของผู้เลี้ยงวิปลาสอย่างตั้งอกตั้งใจ และคิดว่าท่านหมอหลินคงจะล้มเลิกไปเองเมื่อได้ยินความจริงข้อนี้เข้า ทว่าสายตาของนางกลับลุกโชนไปด้วยไฟเสียอย่างนั้น
หลีเจี้ยนเฉินจึงเอ่ยปากเตือนทันที “ท่านหมอหลินอย่าได้คิดไป…”
ทว่าหลินซีเหยียนก็ขัดขึ้นเสียก่อน “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ไปที่นั่นหรอก”
ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่สีหน้าของท่านหมอหลินยามนี้มันก็ฟ้องชัดเจนว่าอยากไป หลีเจี้ยนเฉินจึงได้แต่ถอนหายใจ “หากวันใดที่ท่านหมอหลินต้องการไปที่นั่น ได้โปรดบอกข้า เพราะถ้าข้าไปที่นั่นก็คงจะพอมีคนเกรงกลัวข้าอยู่บ้าง”
หลินซีเหยียนผงกหัวและจำคำพูดนี้เอาไว้
ส่วนเจียงหวายเย่ที่กำลังทนเห็นทั้งสองคนคุยกันอย่างมีความสุขอยู่ไม่ได้นั้น ก็พูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ ข้าได้ยินมาว่าน้องหกของเจ้ากำลังจะได้เป็นองค์หญิงแล้ว เจ้าไม่อิจฉาบ้างหรือ?”
หลินซีเหยียนถลึงตาใส่คนพูดทันที “ก็แค่ตำแหน่งองค์หญิง เรื่องพวกนี้น่ะ ไม่เคยอยู่ในสายตาข้าอยู่แล้ว นอกจากนี้ข้ายังสามารถขวนขวายหาสิ่งที่ข้าอยากได้มาได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ทำไมจะต้องไปพึ่งพาอาศัยคนอื่นด้วย”
คำพูดอย่างตรงไปตรงมาและน่านับถือนี้ช่างน่าตกใจยิ่งนัก แต่ในไม่ช้าเจียงหวายเย่ก็ยิ้มออกมาด้วยความชื่นชม ด้วยสตรีในแผ่นดินนี้มักให้สามีของตนเองคอยช่วยเหลือทุก ๆ อย่างตลอด คนเช่นหลินซีเหยียนนั้นหาได้ยากยิ่ง
แม้แต่หลีเจี้ยนเฉินก็มองนางอย่างชื่นชม “เหล่าสตรีควรจะเป็นดังเช่นท่านหมอหลิน ทั้งมีความมั่นใจในตัวเองและรักอิสระ”
เจียงหวายเย่พลันส่งสายตาเตือนไปยังหลีเจี้ยนเฉินทันที ซึ่งฝ่ายหลังเองก็มองเขม็งมาไม่ลดละเช่นกัน ชั่วขณะนั้นเองหลินซีเหยียนก็เหมือนกับมองเห็นสายฟ้าสองเส้นประสานกันระหว่างทั้งสองคนนี้
หญิงสาวพลันหัวเราะคิกออกมา “พวกท่านนี่สนิทกันดีจริง ๆ นะ”
เมื่อได้ยินคำพูด สองบุรุษก็เปลี่ยนมาเป็นสะบัดหน้าใส่กันอย่างเย็นช้าพร้อมทำเสียง ‘ฮึ’ ประกอบ ไม่มีใครมองหน้าใครอีก
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินซีเหยียนก็เลิกให้ความสนใจชายหนุ่มทั้งสองคน แล้วทำตามจุดประสงค์แรกที่คิดจะมาที่ยังโรงหมอแห่งนี้ นั่นก็คือเพื่อมาสำรวจดูสัตว์พิษที่นางเก็บเอาไว้
เมื่อนางเปิดฝาออกมาก็พบว่าเหลือสัตว์พิษเพียงแค่ห้าตัวจากแต่เดิมที่เคยมีอยู่มาก
แมงป่อง 2 ตัว งูพิษ 1 ตัว ตะขาบ 1 ตัว และคางคกอีก 1 ตัว
เมื่อมองดูเจ้าพวกตัวเล็กตัวน้อยแล้วนางก็ยิ้มออกมา
บางทีพรุ่งนี้นางอาจจะได้ราชันย์แมลงวิปลาสแล้วก็เป็นได้
ในขณะที่หลินซีเหยียนยังอยู่ที่โรงหมอหุยชุนนั้น ทางฝั่งจวนมหาเสนาบดีก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อฮูหยินอวี้ที่ควรจะถูกขังอยู่ในศาลบรรพชน ถูกปล่อยจากการถูกกักบริเวณเพราะบารมีของลูกตน
ทันทีที่นางได้ออกมาจากศาลบรรพชน ฮูหยินอวี้ก็เตรียมจดหมายเชิญไว้มากมายและส่งไปยังตระกูลชั้นสูงต่าง ๆ ว่าจะจัดงานเลี้ยงที่จวนมหาเสนาบดีเพื่ออวดโฉมหลินรั่วจิ่ง
นางต้องการให้ผู้คนทั้งหลายรับรู้ว่าลูกสาวของตนนั้นดีเลิศมากเพียงใด ถึงได้รับพระราชทานตำแหน่งองค์หญิงมา
หลินรั่วจิ่งเมื่อได้ทราบเรื่องนี้เข้าก็หน้าเสียยิ่งกว่าเดิม นางขว้างปาข้าวของในห้องจนทั้งห้องเละไม่มีชิ้นดี จากนั้นจึงฝากคำพูดไปถึงมารดาผ่านชิวฉุ่ย “กลับไปบอกท่านแม่ของข้าด้วยว่า วันนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยดี แล้วบอกนางด้วย ว่าอย่าทำอะไรที่ไม่จำเป็น”
และเมื่อชิวฉุ่ยนำเรื่องนี้ไปฮูหยินอวี้ ใบหน้าที่เคยยินดีของนางก็แสดงความกังวลขึ้นมาแทน “เกิดอะไรขึ้น ลูกหกป่วยได้ยังไง? พวกข้ารับใช้ที่คอยดูแลมัวทำอะไรกันอยู่? ในเวลานี้เช่นนี้รั่วจิ่งเป็นเหมือนกับไข่ทองที่พวกเจ้าต้องเฝ้าทะนุถนอมเลยนะ!”
เมื่อตำหนิไปได้พักหนึ่ง ฮูหยินอวี้ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงออกคำสั่งกับสาวใช้ “เจ้าไปเอาเห็ดหลินจือในห้องเก็บของมา ข้าจะเอามันไปให้จิ่งเอ๋อ”
ชิวฉุ่ยเกิดท่าทียึกยักลังเลขึ้นมา
ฮูหยินอวี้ที่เห็นเช่นนั้นก็ตบนางเข้าเต็มแรง “เจ้าหูหนวกรึยังไง? ไม่ได้ยินที่ข้าสั่งหรือ?”
“แต่ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ เห็นหลินจือที่ว่าเป็นสินทรัพย์ของฮูหยินเยว่ ที่ควรจะเป็นของคุณหนูสามนะเจ้าคะ” ชิวฉุ่ยเอามือกุมหน้าที่โดนตบของตนไว้ จากนั้นก็ไปคุกเข่าที่พื้นด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง ซ่อนสีหน้าเคียดแค้นเกลียดชังของนางไว้
หลังจากที่ถูกเตือนเช่นนั้นแล้ว ฮูหยินอวี้ก็นึกถึงหลินซีเหยียนขึ้นมา จากนั้นจึงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางถามสาวใช้ “ทำไมป่านนี้แล้วคนพวกนั้นถึงยังไม่ลงมือกับนังนั่นอีก!” ว่าจบก็ถีบไปที่ชิวฉุ่ยเต็มแรง
ชิวฉุ่ยที่ล้มลงกระแทกพื้นทั้ง ๆ ที่ยังคุกเข่าอยู่พยายามเก็บงำสีหน้าตัวเองไว้
“พรุ่งนี้เจ้าไปหาคนพวกนั้นและให้พวกมันรีบ ๆ ลงมือหน่อยเข้าใจหรือไม่!”
สาวใช้รีบลุกขึ้นมาแล้วทำทีผงกหัวอย่างเชื่อฟัง ซึ่งในใจตัดสินใจไปแล้วว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากคุณหนูสาม
จากนั้นฮูหยินอวี้ก็ไปที่เรือนของหลินรั่วจิ่งมือเปล่า แต่เมื่อนางได้เข้าไปในห้องลูกหกแล้ว ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นยังอยู่ดีและมองแล้วก็ไม่ได้มีอาการป่วยอะไร สีหน้าฮูหยินอวี้จึงมืดครึ้มขึ้นเล็กน้อย
เมื่อรู้แล้วว่าลูกสาวโกหกตน นางจึงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ทำไมรั่วจิ่งถึงต้องโกหกแม่ด้วย เจ้าทำให้แม่ต้องกังวลไปเสียเปล่านะ”
“ท่านแม่!” เมื่อหลินรั่วจิ่งได้ยินเสียงของฮูหยินอวี้ นางก็เงยหน้าที่กำลังเศร้าเสียใจขึ้นมา จากนั้นก็อ้อนวอนฝ่ายมารดาด้วยตาแดง ๆ “ลูกไม่อยากเป็นองค์หญิงเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าลูกโง่ เป็นองค์หญิงมันไม่ดีตรงไหน? นั่นน่ะเป็นสิ่งที่คุณหนูทุกคนในแผ่นดินนี้ใฝ่ฝันเลยนะ” ฮูหยินอวี้กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
หลินรั่วจิ่งจ้องฝ่ายมารดาอย่างแน่วแน่ “แล้วจากนี้ต่อไป ชะตาชีวิตของลูกจะต้องถูกตัดสินโดยฮ่องเต้อย่างเดียวเท่านั้น แล้วมันจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไรเจ้าคะ?”
ฮูหยินอวี้จับไหล่ลูกของตนพยายามพูดกล่อม “เมื่อเป็นองค์หญิง ผู้คนที่จะมาหาเจ้าก็จะมีแต่คนที่ไม่ธรรมดา แม่เชื่อว่ารั่วจิ่งน่ะ ยังสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ก็ทำให้หลินรั่วจิ่งตื่นขึ้นราวกับบรรลุธรรมทันที ก่อนหน้านี้มุมมองของนางนั้นแคบไปจริง ๆ เป็นองค์หญิงแล้วอย่างไรหรือ? เพราะถึงอย่างไร นางก็ไม่ใช่คนที่จะยอมจำนนอะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าความมั่นใจของลูกสาวตนได้กลับมาแล้ว ฮูหยินอวี้จึงยิ้มออกมา “ตอนนี้เจ้ามีอารมณ์จะไปงานเลี้ยงแล้วหรือยังลูกแม่?”
“แน่นอนเจ้าค่ะ ลูกจะเข้าร่วมงานเลี้ยง ลูกจะแสดงให้เห็นว่าลูกน่ะดีเลิศสมกับตำแหน่งองค์หญิงมากแค่ไหน!”
“นี่สิ ถึงจะสมเป็นลูกสาวของแม่”
…
เมื่อหลินซีเหยียนพาเทียนเอ๋อกลับมาที่จวนมหาเสนาบดีในตอนบ่าย ก็พบกับผู้คนมากมายภายในจวน ดูคึกคักยิ่งนัก
และแน่นอนว่าการมาของสองแม่ลูกยอมไม่คลาดไปจากสายตาของหวังหรุ่ยซิน เมื่อเห็นเทียนเอ๋อ ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมา และรีบพูดขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจผู้คน
“นี่ รีบมาดูเด็กรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ หลินซีเหยียนนั่นสิ!”