ตอนที่ 351 มอบตัว
ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอีกหนึ่งวัน จากนั้นเหมียวฉีก็ไปมอบตัวโดยมีพ่อแม่ พี่ชาย และลูกสาวไปเป็นเพื่อน
เจ้าหน้าที่ยิ้มถาม “ทุกท่านเข้ามามีเรื่องอยากให้พวกเราช่วยเหรอครับ”
อืม ในเผ่ามีการกระทำผิดน้อยมากจนพวกเขาว่างแทบจะนั่งตบยุง
ดังนั้นต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างวัวหายแพะหาย พวกเขาก็ยินดีช่วยเหลือ!
เหมียวฉีข่มอาการสั่น คุมความหวาดกลัวภายในใจไม่ได้ พูดด้วยความยากลำบาก “ฉันมามอบตัวค่ะ”
เมื่อครู่ตอนอยู่ด้านหน้าเธออยากเลี้ยวกลับเหลือเกิน
เจ้าหน้าที่ทำหน้าขึงขังใส่ครอบครัวนี้ทันที
เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก็ล้อมเข้ามา ถึงขั้นที่ปิดทางออกไว้แล้ว
ครอบครัวเหมียวต่างมองเหมียวฉี สีหน้าเสียใจไม่มีแสร้งทำเลยสักนิด จึงไม่ทันได้สังเกตรายละเอียดเหล่านี้
“ทำความผิดมาเหรอครับ รู้ผลที่ตามมาหรือเปล่า”
“ฉันรู้ค่ะ ความผิดนี้เกี่ยวพันถึงความลับของเผ่า ตอนนี้ฉันพูดไม่ได้ ต้องการพบผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายค่ะ”
เจ้าหน้าที่ไม่กล้าทำเป็นเล่น เพราะไม่มีใครกล้าเอาความลับของเผ่ามาล้อเล่น จึงรีบรายงานไปเบื้องบนทันที
เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ จึงใช้โอกาสนี้สืบประวัติของครอบครัวเหมียว
ไม่นานผู้มีอำนาจสูงสุดของเขตนี้ก็มา หลังจากได้ฟังเจ้าหน้าที่บอกประวัติของคนที่มามอบตัว เขาก็พาเหมียวฉีไปห้องสอบสวนสีเทา
“ท่านคะ นี่เป็นความลับ ท่านต้องรายงานไปที่เบื้องบนอีกค่ะ” คนตระกูลเย่ว์ไม่มีทางยอมให้เรื่องของเจ้าหญิงน้อยเล็ดลอดออกไป
ผู้มีอำนาจคนนี้ไม่ได้คิดว่าเหมียวฉีล้อเล่น เพราะเหมียวฉีมีสติสัมปชัญญะดี
ตราบใดที่เป็นคนปกติก็ไม่มีทางเข้ามาล้อเล่นถึงในห้องสอบสวน แต่เรื่องที่เขานึกถึงคือ ความลับใหญ่ของทางการอาจหลุดออกไปแล้ว
คนตรงหน้าก็เป็นคนในเผ่า ดูไม่เหมือนเป็นสายลับจากประเทศอื่นหรือเปล่า
แต่คนเรามองแค่ภายนอกไม่ได้ อีกทั้งเธอแต่งงานมีลูกที่ประเทศเหยียนหวง ใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปี มีความเป็นไปได้ทุกอย่าง
ไม่ว่าเธอจะกลับมามอบตัวที่เผ่าด้วยสาเหตุอะไร ถ้าความผิดที่เปิดเผยความลับของเผ่าเป็นจริง ประเทศเหยียนหวงก็ปกป้องเธอไม่ได้
เผ่าของพวกเขาไม่กลัวแรงกดดันจากประเทศไหนทั้งนั้น!
ผู้มีอำนาจจ้องเหมียวฉีมาหนึ่งนาทีแล้ว
เหมียวฉียังคงยืนยันที่จะขอเล่าต่อหน้าผู้นำสูงสุดเท่านั้น
“เหมียวฉี ผมเป็นทหารในกองทัพตระกูลเป่ย จงรักภักดีต่อเผ่าทั้งชีวิต ผมขอถามคุณในนามราชาหมาป่าขาว ความผิดของคุณส่งผลต่อความปลอดภัยของเผ่าหรือไม่ คิดให้ดีก่อนตอบ คุณมีครอบครัวอยู่ที่เผ่านะ!”
ถึงแม้ในเผ่าจะยกเลิกการติดร่างแหรับโทษไปเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว แต่การมีคนในครอบครัวพาเข้ามา พวกเขาย่อมรู้ดี ดังนั้นกระทำคนเดียวหรือทั้งครอบครัว ลักษณะความผิดกับผลกระทบย่อมไม่เหมือนกัน
เหมียวฉีส่ายหน้าก่อน ลังเลเล็กน้อยแล้วพยักหน้า
สตรีตระกูลเย่ว์แต่ละคนในประวัติศาสตร์ล้วนสร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงให้เผ่า มีความเป็นไปได้ว่าเจ้าหญิงน้อยจะเป็นหัวหน้าเผ่าคนต่อไป ดังนั้นพูดว่าส่งผลต่อเผ่าก็ไม่เกินจริง
ดวงตาเหยี่ยวของผู้มีอำนาจคนนี้ส่อประกายคมปลาบ จ้องเหมียวฉีเขม็ง
นับตั้งแต่เข้ามา เหมียวฉีก็ตั้งสติคิดได้อย่างลำบาก จากตอนแรกที่อยากหนีจนถึงตอนนี้มีความแน่วแน่แล้ว “ท่านคะ ฉันรู้ถึงผลที่ตามมา ฉันไม่เสียใจและไม่โทษใครค่ะ”
เพราะเธอไม่มีสิทธิ์
เธอคือคนที่ทำผิดมหันต์
“ได้ คุณต้องการพบใครกันล่ะ”
“คุณเย่ว์…ไม่สิ ขอพบคุณชายใหญ่” เธอไม่อยากพบเย่ว์หลั่งอีกแล้ว
เพราะแค่มองเขา เธอก็ทำผิดพลาดทั้งชีวิต
ดวงตาเหยี่ยวของคนตรงหน้าเบิกโพลงขึ้นมาทันที จ้องเหมียวฉีเขม็ง แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“คุณชายใหญ่เย่ว์ หรือคุณชายรองก็เหมือนกัน”
สีหน้าของเหมียวฉีไม่มีอารมณ์อื่นอีกนอกจากความสำนึกผิด แม้แต่ความรู้สึกกลัวก่อนหน้านี้ก็หายไปหมดแล้ว
ผู้มีอำนาจอยู่ในห้องสอบสวนไม่กี่นาทีก็ออกมา กลับห้องทำงานตัวเองแล้วโทรหาเบื้องบนที่สูงกว่าหนึ่งระดับ
แต่ละระดับชั้นติดต่อกันขึ้นไปโดยใช้เวลาไม่นาน
เพราะคนระดับสูงของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายได้รับแจ้งจากตระกูลเย่ว์มาก่อนแล้ว ส่งคนมาจับตาดูเหมียวฉีทุกความเคลื่อนไหวตั้งแต่เธอกลับเข้าเผ่า
เย่ว์จือเหิงทราบข่าวตั้งแต่ครอบครัวเหมียวเดินเข้ามาในเขตของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย อีกทั้งเขากำลังเดินทางมา
เขากับผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมาถึงที่นี่เร็วกว่าผู้มีอำนาจสูงสุดของเมือง ด้วยเหตุนี้ผู้มีอำนาจสูงสุดของเขตพื้นที่นี้จึงรู้สึกงงเล็กน้อยตอนเห็นเย่ว์จือเหิงกับผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
แต่ก็ดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว “คุณชายใหญ่”
เจ้าหน้าที่ทักทายกันอย่างพร้อมหน้า
เย่ว์จือเหิงพยักหน้าให้ทุกคน จากนั้นก็มองครอบครัวเหมียว
เวลานี้คนครอบครัวเหมียวนอกจากความรู้สึกเสียใจแล้วยังมีความกังวล ความกลัว
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้อยู่ใกล้คนตระกูลเย่ว์มากขนาดนี้
เย่ว์จือเหิงไล่มองใบหน้าคนในครอบครัวเหมียว สุดท้ายไปหยุดที่เจียงเย่ว์
ดวงตากลมโตของเด็กสาวปูดโปน เพราะใบหน้าของเธอซูบผอมจนมีสภาพไม่น่ามองแล้ว
ไม่ใช่แค่เพราะเหมียวฉี ยังเพราะเหลยถิงญาติศิษย์พี่ใหญ่ของน้องสาวเขา เขาถึงได้ตั้งใจสังเกตเจียงเย่ว์
ถึงแม้จะไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน แต่ในข้อมูลที่สืบมาก็มีรูปอยู่ไม่น้อย รู้ว่าเมื่อก่อนเธอไม่ผอม แต่สภาพในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างกับไม่ใช่คนเดียวกัน
แต่เขาก็ไม่สงสาร
น้องสาวของเขาหายตัวไปสิบแปดปี แค่ไม่พาลโกรธไปด้วยก็นับว่าใจกว้างมากแล้ว!
เจียงเย่ว์ถูกจ้องจนอึดอัด ไม่ใช่ความรู้สึกเขินอายแบบที่ถูกชายแปลกหน้าจ้องมอง แต่เป็นความประหม่าเหมือนเวลาถูกคนอื่นรู้เรื่องส่วนตัวทั้งหมด
ความรู้สึกนี้มันคล้ายกับการแก้ผ้าตามถนนที่มีคนเดินผ่านไปผ่านมา
เธอไม่รู้ว่าทำไมคุณชายใหญ่เย่ว์ต้องมองเธอแบบนี้ ในใจเธอจึงเต็มไปด้วยคำถาม แต่กลับไม่กล้าถาม ทำได้เพียงเดาว่ามีสาเหตุมาจากแม่ ในใจจึงหวาดกลัวมาก ร่างกายเริ่มสั่นเทา
ครอบครัวเหมียวก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณชายใหญ่ถึงมองเจียงเย่ว์แบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดไปในทางอื่น อย่างไรเสียลูกสาวก็ใกล้ถึงจุดจบแล้ว พวกเขายังจะมีอารมณ์คิดไปในทางชู้สาวได้อย่างไร
แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ข้างเย่ว์จือเหิงก็งุนงงเช่นกัน แต่ไม่มีทางคิดเป็นอื่น เพราะสองคนนี้ไม่มีทางมาบรรจบกันได้
จ้องเจียงเย่ว์อยู่ประมาณสิบวินาทีเย่ว์จือเหิงถึงถามเหมียวเคอ “ไม่ได้แจ้งทางบ้านเหมียวอวี้ให้มาเหรอครับ”
ครอบครัวเหมียวตัวเย็นเฉียบขึ้นมาทันที
คุณชายใหญ่ถามแบบนี้ได้แสดงว่ารู้แล้วเหรอ ก่อนมาพวกเขายังจะกล่อมให้เหมียวฉีกับลูกสาวกลับประเทศเหยียนหวงอีก…
“เรียนคุณชายใหญ่ ก่อนพวกเรามาได้โทรบอกอาเล็กกับอาสะใภ้เล็กแล้วครับ” เหมียวเคอพยายามข่มความสั่นของตัวเอง
ถึงแม้คุณชายใหญ่จะไม่ได้พูดจาข่มขู่ แต่บุคลิกท่าทางน่ากลัวมาก!
“อืม” เย่ว์จือเหิงเข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่เหมียวอวี้ ไม่มาก็ไม่แปลก
ไว้เดี๋ยวถ้าเขาว่างจะไปดูสักหน่อย เห็นแก่ที่เหมียวอวี้ปกป้องน้องสาวสุดที่รักของเขาด้วยชีวิต
ถึงแม้ว่าน้องสาวของเขาจะซวยไปด้วยเพราะเธอ แต่อย่างไรเสียเธอก็ทำในสิ่งที่ใช่ว่าพ่อแม่แท้ๆ จะทำได้ ความดีลบล้างความผิดไปแล้ว
ตอนนี้คนที่สมควรแค้นก็มีแค่เหมียวฉี อีกทั้งยังไม่มีทางบรรเทาลงเลยสักนิดเพราะเวลาที่ผ่านไปนาน!
เย่ว์จือเหิงหันไปทางห้องทำงานของผู้มีอำนาจสูงสุดในเขตนี้ “พาพวกเราไป”
“ครับ ทางนี้ครับคุณชายใหญ่”
ผู้มีอำนาจสูงสุดของเขตนี้พาเย่ว์จือเหิงกับผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยบังคับใช้กฎหมายและผู้มีอำนาจในเมืองนี้ไปที่ห้องสอบสวน
ผู้มีอำนาจของเมืองบอกให้คนไปปิดกล้องและเครื่องดักฟังทั้งหมด
เรื่องบางอย่างแม้แต่คนระดับเขาก็รู้ไม่ได้ เขาจึงเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างรู้กาลเทศะ
พอผู้มีอำนาจของเมืองยืนเฝ้าหน้าห้อง คนอื่นๆ ก็ออกไปจากตรงนั้นทันที ไม่กล้ามองมาทางนี้แม้แต่น้อย
พวกเขาจึงมองครอบครัวเหมียวแทน!
เย่ว์จือเหิงกับผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายนั่งลงตรงหน้าเหมียวฉี
เหมียวฉีผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเย่ว์จือเหิง
“คะ…คุณชายใหญ่เย่ว์”
“ตอนแรกคุณคิดจะเรียกชื่อพ่อผมใช่ไหม”
เหมียวฉีอึ้ง
“พ่อผมเคยย้ายไปเรียนที่เดียวกับคุณ คุณเคยเจอพ่อผมใช่ไหม”
พอได้ยินแบบนั้นเหมียวฉีก็นึกถึงตอนเจอเย่ว์หลั่งครั้งแรก เป็นตอนที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเป่ยผู้งดงามมาหาเขา เขายิ้มกว้างด้วยความดีใจดูสดใสกว่าแสงแดดอันเจิดจ้า…
เธอตกหลุมเสน่ห์ของเขาไปเต็มๆ
ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอวี้รู้จักคุณหนูใหญ่ตระกูลเป่ย แม้แต่เขาเป็นใครเธอก็ไม่มีทางรู้
ต่อมาเธอก็แอบสืบความเคลื่อนไหวของเขาในโรงเรียนอย่างเงียบๆ…
หัวใจเต็มไปด้วยความลุ่มหลง เดี๋ยวก็เศร้าเดี๋ยวก็อิจฉาริษยา…
ต่อมาเย่ว์หลั่งก็ย้ายโรงเรียน เธออยากเจอเขาเป็นเรื่องที่ลำบากมาก หัวใจเคว้งคว้างในทันที
พอคุณหนูใหญ่ตระกูลเป่ยเรียนจบ คู่รักคู่นี้ก็แต่งงานกัน เธอจมดิ่ง
จนกระทั่งได้เจออีกครั้งในอีกไม่กี่ปีต่อมา
สองสามีภรรยากับเหมียวอวี้พาเด็กๆ ไปเที่ยวข้างนอก เธออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวกับที่พวกเขาพิงหลังพอดี ได้ยินเขากับภรรยาคุยกันว่าอยากได้ลูกสาว…
เหมียวฉีไม่มีทางลืมดวงตาที่เปล่งประกายขึ้นทุกวันคู่นั้น คำพูดมีแต่คำหวานและความสุข…
เย่ว์จือเหิงไม่มีทางขัดจังหวะความคิดของเหมียวฉี เพราะรู้ว่านั่นคือเหตุชนวนคดีคนหาย
เหมียวฉีเหมือนกำลังมองเย่ว์จือเหิง แต่สายตากลับเหม่อลอย
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาเหมียวฉีถึงละสายตากลับมาสนใจเย่ว์จือเหิงอีกครั้ง “ใช่ค่ะ ช่วงนั้นฉันเจอคุณเย่ว์บ่อย ฉันอิจฉา…คุณนายเย่ว์ หลังจากเจ้าหญิงน้อยเกิดก็เลย…”
ตอนนี้ปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่อีกฝ่ายสงสัยอยู่ก่อน ถึงแม้จะไม่มีหลักฐาน แต่ถ้าคนตระกูลเย่ว์อยากเอาชีวิตใคร จะมีหรือไม่มีหลักฐานก็เหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ทำแบบนั้น…
เธอถึงได้มีชีวิตรอดอยู่มาได้นานขนาดนี้
ไม่มีหลักฐาน ไม่ใช่เพราะคนตระกูลเย่ว์โง่ และไม่ใช่เพราะเธอฉลาด แต่เป็นเพราะ…
“เหมียวฉี ตำหนักพระจันทร์มีคนอารักขา ตอนเย็นก็มีคนเข้าเวร คุณทำให้เหมียวอวี้อุ้มน้องสาวของผมออกไปได้ยังไงโดยที่ไม่โดนตรวจจับ”
พาเจ้าหญิงน้อยออกไปกลางดึก ข้างกายก็ไม่มีบอดี้การ์ด ไม่ว่าคนเฝ้าอารักขาคนไหนเห็นก็ต้องสงสัยและไปรายงานเบื้องบนแน่นอน
“…ฉันปลอมเสียงได้ เลียนแบบเสียงที่เคยได้ยินได้หมดทุกเสียง เรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากพ่อแม่ แม้แต่พี่ชายสองคนก็ไม่รู้…ตอนนั้นฉันใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรหาเหมียวอวี้โดยใช้เสียงคุณนายเย่ว์…”
“แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น เหมียวอวี้ก็ไม่มีทางหลบทุกคนพาน้องสาวของผมออกไปได้ คืนนั้นไฟก็ไม่ได้ดับ” ต่อให้คลำทางท่ามกลางความมืด โอกาสที่จะออกไปได้ก็น้อยมาก
ต่อให้เหมียวอวี้ไม่สงสัยว่าแม่ของเขาโทรมาเองหรือเปล่า แต่แม่ของเขาไม่มีทางให้เหมียวอวี้พาเด็กออกไปโดยเลี่ยงผู้คน
ถ้าอย่างนั้นเธอออกไปโดยใช้เส้นทางเข้าออกปกติ แต่หลบคนเฝ้ายามได้ยังไง
“…หนึ่งวันก่อนหน้านั้นฉันนัดเจอเหมียวอวี้ เอายาลับใส่บนเสื้อผ้าของเธอ…ต่อให้โดนน้ำก็ไม่ส่งผลต่อตัวยา ก็แค่เวลาในการออกฤทธิ์จะต่างไป…”
เย่ว์จือเหิงหายใจลำบาก หัวใจบีบรัด
“ยาลับอะไร มีสรรพคุณอะไร ส่งผลร้ายต่อร่างกายเหรอ”
เหมียวอวี้เป็นคนที่ดูแลน้องสาวของเขา เสื้อผ้าของเธอมียาติดอยู่ แบบนั้นจะส่งผลต่อเด็กทารก…
“เมื่อไม่กี่พันปีก่อน ญาติสายรองของหมอพ่อมดตระกูลปามีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งเข้าตระกูลเหมียว บรรพบุรุษท่านนั้นคลั่งไคล้พวกยาประหลาดสารพัดชนิด อีกทั้งยังพรสวรรค์สูงมาก…ในช่วงบั้นปลายชีวิตเธอคิดค้นยาวิเศษที่ใครโดนเข้าก็จะมองอะไรไม่เห็น…เพียงแค่ลมพัด คนที่อยู่ในระยะก็จะถูกยา…ยาที่บรรพบุรุษท่านนี้คิดค้นออกมาได้มีฤทธิ์สั้นมาก อีกทั้งมีผลแค่ในรัศมีหนึ่งเมตร…”
เย่ว์จือเหิงกับผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยบังคับใช้กฎหมายมองหน้ากัน ต่างเห็นความตระหนกตกใจในดวงตาของอีกฝ่าย
ยาแบบนี้หากตกไปอยู่ในมือคนไม่ดีจะต้องเป็นภัยต่อสังคมและพลเมืองแน่นอน
“เล่าต่อสิ”
“…ตระกูลเหมียวไม่ค่อยมีคนที่มีพรสวรรค์ เรียกได้ว่าเกือบสิบรุ่นถึงจะเจอคนมีพรสวรรค์สูงสักคน เพราะแบบนี้บรรพบุรุษที่มีพรสวรรค์จึงวิจัยยาลับนี้ให้ออกฤทธิ์ได้นานขึ้นต่อ บรรพบุรุษแต่ละรุ่นพัฒนามันขึ้นมาเรื่อยๆ…”
เย่ว์จือเหิงไม่พูดอะไร
เหมียวฉีพูดต่อ “พอมาถึงฉันก็ถึงขั้นที่สามารถควบคุมระยะเวลาออกฤทธิ์ได้ตามปริมาณยาที่ใช้…”
“หลังจากเหมียวอวี้พาน้องสาวผมออกจากตำหนักพระจันทร์ไปแล้ว เดินไปทางไหน”
“ในโทรศัพท์ฉันให้เหมียวอวี้พาเจ้าหญิงน้อยไปทางบ้านตระกูลเป่ย…เรื่องทั้งหมดก็ประมาณนี้…ส่วนที่เหลือ ทำไมเหมียวอวี้ไม่อุ้มเจ้าหญิงน้อยกลับมาอันนี้ฉันไม่รู้…”
เย่ว์จือเหิงขมวดคิ้ว
เห็นทีถ้าเหมียวอวี้ไม่ได้สติกลับมา เรื่องนี้ก็คงเป็นปริศนาไปตลอด
“ยาลับกับสูตรยายังมีใครรู้อีกไหม”
“พ่อฉันรู้แค่ว่าเป็นยาลับ แต่ไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร พอนานวันเข้าก็ไม่เก็บมันมาใส่ใจ ฉันค่อนข้างสนใจพวกสิ่งประหลาดก็เลยแอบขโมยมันไปศึกษานานแล้ว…จวบจนทุกวันนี้คนในครอบครัวฉันก็ไม่รู้สูตรยา…”
“เหมียวฉี รู้หรือเปล่าว่าถ้ายาชนิดนี้ถูกเผยแพร่ออกไปจะมีผลลัพธ์ยังไง”
“ฉันรู้ นับตั้งแต่นั้นมาฉันถึงไม่เคยทำยาลับชนิดนี้อีก ส่วนยาที่ใช้ไม่หมดก่อนหน้านั้นก็ทำลายทิ้งหมดแล้ว”
เธอไม่ใช่คนโหดเหี้ยมอำมหิต ก็แค่ทำเรื่องที่ผิดไปเพราะความอิจฉาริษยา
ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดเอาชีวิตของเหมียวอวี้กับเจ้าหญิงน้อย แค่อยากให้คุณนายเย่ว์…ที่ทำให้เธออิจฉาร้อนใจดูบ้าง ไม่ไว้ใจเหมียวอวี้อีก…
เดิมทีเธอรู้สึกผิดต่อเหมียวอวี้ แต่หลังจากที่เหมียวอวี้ไปอยู่ตำหนักพระจันทร์เธอก็เริ่มอิจฉาเหมียวอวี้ที่ได้เจอเย่ว์หลั่งทุกวัน เธอจึงเกลียดคุณนายเย่ว์ แล้ว…
ถ้าคนที่ดูแลเจ้าหญิงน้อยไม่ใช่เหมียวอวี้ แผนที่คิดขึ้นอย่างกะทันหันก็จะใช้การไม่ได้ เพราะเธอเข้าไม่ถึงคนที่ดูแลเจ้าหญิงน้อย
ยิ่งไปกว่านั้นเธอเกลียดคุณนายเย่ว์ผู้เป็นดั่งไข่มุกของเผ่าก็จริง แต่เจ้าหญิงน้อยเป็นลูกสาวของเย่ว์หลั่ง เธอจะทำเขาเสียใจลงได้ยังไง…
ต่อมาถึงแม้ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของเผ่าจะเป็นความลับ แต่เธอทำเรื่องไม่ดีไว้ จึงคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของตระกูลเย่ว์แทบทุกเสี้ยววินาที…
เธอกลัวมากจึงออกไปเรียนต่างประเทศ…
“คุณชายใหญ่ ฉันเขียนสูตรยาออกมาให้ตระกูลปาได้ค่ะ ฉันวิจัยมันมาตลอดในช่วงหลายปีนี้ เผื่อเอามันไปสร้างประโยชน์อะไรได้บ้าง…ผลลัพธ์ของมันก็น่าจะดีกว่าหน่อย…”
เย่ว์จือเหิงทำเสียงหึ “แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นความผิดของคุณก็ไม่อาจให้อภัย”
“ฉันรู้ ฉันขอรับผิดชอบต่อเรื่องที่ฉันทำไว้ทั้งหมด ฉันขอโทษค่ะ”
“ผมได้ยินว่าหมอเทวดาปาถิงเคยรับคุณเป็นลูกศิษย์ด้วยเหรอ” เย่ว์จือเหิงเปลี่ยนเรื่องคุย
เหมียวฉีถามด้วยความงุนงง “รับฉันเป็นศิษย์เหรอ ไม่ใช่เหมียวอวี้เหรอ”
“คนตระกูลปาบอกผมมาเอง”
เหมียวฉีมือเท้าเย็นเฉียบ
เธอคิดมาตลอดว่าคือเหมียวอวี้
ทั้งๆ ที่เธอรู้จักกับหมอเทวดาปาถิงก่อน อีกทั้งเป็นคนแนะนำให้เหมียวอวี้รู้จักหมอเทวดา…เธออิจฉาและรังแกเหมียวอวี้ อีกทั้งไม่ยอมลดราวาศอก เพราะแค่อยากไขความลับยาที่สืบทอดกันมาในตระกูล เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเก่งกว่าเหมียวอวี้
ปรากฏว่า…