ตอนที่ 363 มุมมองที่กว้างไกลของเธอ
วันอาทิตย์ หลังจากกินอาหารเช้าที่บ้านครอบครัวเหมียวเสร็จ ลู่จือฉินกับย่าลู่ก็เก็บข้าวของ เหมียวรุ่ยไปส่งพวกเธอที่ตำหนักพระจันทร์
กินอาหารกลางวันเสร็จลู่จือฉินก็นัดเจียงเย่ว์เพื่อขอยืมหนังสือ
พอเห็นเด็กสาวที่ผอมจนไม่เหลือเค้าเดิม ลู่จือฉินก็สงสารจับใจ
เจียงเย่ว์ผิดอะไรกัน ก็แค่โชคร้ายมีพ่อแม่แบบนี้
“หมอลู่ใช่ไหมคะ?”
“ฉันคือลู่จือฉิน สวัสดีจ้ะเจียงเย่ว์ รบกวนเธอให้เอาหนังสือออกมาหน่อยนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเอาตำราแพทย์โบราณออกมาทั้งหมด หมอลู่จะเอากลับไปอ่านหมดหรือเลือกหยิบไปก็ได้ทั้งนั้นค่ะ” เจียงเย่ว์เอาหนังสือสองถุงที่หิ้วมาวางไว้บนโต๊ะ
“เธออ่านจบหรือยัง”
เจียงเย่ว์พยักหน้า “เคยอ่านหมดแล้วค่ะ แต่มีหลายจุดที่ไม่เข้าใจ”
หนังสือพวกนี้เป็นหนังสือที่แม่เธอเอาไปประเทศเหยียนหวงด้วย ตอนนี้ขนกลับมาแล้ว
เธออ่านตั้งแต่เด็ก แต่เธอรู้ว่าพ่อแม่ไม่ชอบเธอ ดังนั้นพอไม่เข้าใจตรงไหนก็ไม่เคยถาม พึ่งตัวเองค่อยๆ ตกผลึก
ตอนนี้โตแล้ว พอกลับมาอ่านอีกครั้งก็เริ่มเข้าใจบ้าง แต่ก็ยังมีอีกหลายจุดที่ไม่เข้าใจ
“ตอนนี้ยังพอมีเวลา ถามฉันได้นะ”
เจียงเย่ว์อึ้งไปเล็กน้อยแล้วพูด “ดูเหมือนแม่หนูจะไม่มีเพื่อน แทบไม่เคยออกไปไหนเลยนอกจากทำงาน ทำไมหมอลู่ถึง…”
“อันที่จริงฉันกับแม่ของเธอก็ไม่ได้สนิทกันหรอก เคยเจอในที่แบบนั้นสองครั้งเพราะมีเรื่องอยากขอคำชี้แนะ ฉันถึงได้รับปากว่าจะชี้แนะเธอให้ด้วย”
เจียงเย่ว์ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามมาก เพราะเธอก็ไม่ได้รู้จักแม่ตัวเองมากนัก
ถ้าไม่เกิดเรื่อง พ่อกับแม่ก็เหมือนคนแปลกหน้าที่รู้จักกันดีสำหรับเธอ
“หมอลู่เป็นคนประเทศเหยียนหวงเหรอคะ”
ลู่จือฉินพยักหน้า “พรุ่งนี้ฉันจะกลับแล้ว ไว้ฉันอ่านจบเมื่อไร ถ้าไม่ได้มาเองก็จะฝากคนอื่นมาคืนนะ รับรองว่าตอนยืมมีสภาพแบบไหนกลับมาก็จะมีสภาพเดิม”
“ค่ะ เอามาคืนเมื่อไรก็ได้ค่ะ”
“จ้ะ เธอไม่กลับไปเรียนที่มหา’ลัยเย่ว์ตูแล้วเหรอ”
“หนูอยากอยู่ที่นี่กับแม่ค่ะ”
“ต่อให้เธออยู่ที่นี่ อย่างมากก็ไปเยี่ยมได้แค่เดือนละครั้ง แล้วเวลาที่เหลือล่ะ เรียนที่นี่เหรอ”
“หนูยังไม่ได้คิดเลยค่ะ”
เธอรู้แค่ว่าไปไหนไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าแม่จะถูกตัดสินประหารเมื่อไร…
“เจียงเย่ว์ เธอเคยเข้าร่วมแข่งขันทักษะทางการแพทย์ระดับโลก แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนมีพรสวรรค์ แม่ของเธอบอกให้เธอกลับไปเรียนก่อน วันหน้าค่อยกลับมาเยี่ยมบ้างหรือเดือนละครั้งก็ได้ ก็แค่อาจจะลำบากหน่อย แต่ไม่มีทางกระทบการเรียน”
เจียงเย่ว์ส่ายหน้า “หนูอยากอยู่ใกล้แม่หน่อยค่ะ”
ลู่จือฉินไม่คิดจะเกลี้ยกล่อมอีก
เหมียวอวี้มีเวลาเหลือแค่ประมาณสามเดือน พอถึงตอนนั้นต้องแล้วแต่คนตระกูลเย่ว์
เธอไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย และก็ไม่อยากก้าวก่ายด้วย
เสี่ยวเยาเยาเป็นลูกศิษย์ที่เธอมองเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ ถึงแม้หลายปีมานี้ชีวิตจะไม่ได้ลำบาก แต่กลับมีหลายคนอยู่อย่างทุกข์ใจแทนเธอ
แต่คนตระกูลเย่ว์แคร์เสี่ยวเยาเยา ซึ่งเสี่ยวเยาเยา…ค่อนข้างใจอ่อน
ถ้าพิษของเหมียวอวี้ถูกถอนออกไปได้ ต่อให้สติปัญญาไม่กลับมา ชีวิตยังอยู่ก็ยังมีความหวัง โอกาสที่เหมียวฉีจะรอดก็มีขึ้นมาก
ลู่จือฉินครุ่นคิดแล้วพูดกับเด็กสาวฝั่งตรงข้ามที่ผอมจนลมพัดคงล้มได้ “ไม่อย่างนั้นเธอก็เรียนที่นี่ไปก่อน ถึงแม้วิทยาลัยการแพทย์ตระกูลปาจะโด่งดังสู้มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูไม่ได้ แต่ก็เป็นสถานศึกษาที่ใช้ได้”
เจียงเย่ว์นิ่งเงียบครุ่นคิด
“เธอเรียนหมอ รู้ว่าพวกยาที่ขายดีตามท้องตลาดมีหลายตัวที่มาจากเผ่าหมาป่าพระจันทร์ ที่วิทยาลัยการแพทย์ของตระกูลปาไม่ติดอันดับโลกเป็นเพราะเผ่านี้ถ่อมตัว ไม่ใช่เพราะคุณภาพการศึกษาไม่ดีถึงได้ไม่โด่งดัง”
เจียงเย่ว์เริ่มสนใจ แต่ก็แอบไม่มั่นใจ “หนูจะไหวเหรอคะ”
ต่อให้คนอื่นไม่ดูถูกที่เป็นลูกของนักโทษ แต่ก็ไม่มีทางไว้หน้าเท่าไร
เธอไม่ได้แคร์ว่าพวกเพื่อนนักเรียนจะมองยังไง เพียงแต่แม่ของเธอทำผิดต่อครอบครัวของผู้ปกครองสูงสุด…เธอยังจะไปเรียนตามปกติเหมือนลูกนักโทษทั่วไปได้อีกเหรอ ยิ่งไปกว่านั้นเธอมีสายเลือดของเผ่าแค่ครึ่งเดียว
เผ่าหมาป่าพระจันทร์ไม่เหมือนประเทศอื่น ที่นี่ใช้ระบบสืบทอดหัวหน้าเผ่า อำนาจของหัวหน้าเผ่ามีมากเสียจนเธอไม่อาจจินตนาการได้
ถ้าไม่ติดว่าห้ามดูถูกเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารของเผ่านี้ เธอคงคิดว่าที่นี่ก็คือดินแดนที่มีกษัตริย์ปกครองแบบสมัยโบราณ
แต่พอเธอมาถึงเผ่าหมาป่าพระจันทร์ก็ได้รู้ว่าเผ่าที่เป็นเอกเทศแห่งนี้นอกจากเทคโนโลยีที่มีความแตกต่างกับประเทศที่ปกครองโดยกษัตริย์แล้ว ความต่างที่มากที่สุดคือความเจริญก้าวหน้าทางความคิดของพลเมือง…
ตระกูลของหัวหน้าเผ่าไม่มีทางอยากเอาชีวิตใครก็ได้ตามใจชอบแบบราชวงศ์ในสมัยโบราณ แต่ทำทุกอย่างตามกฎหมาย…
มิฉะนั้นไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ หากตระกูลหัวหน้าเผ่าอยากได้ชีวิตชาวบ้านสักคนก็ง่ายเหมือนเหยียบมด
ลู่จือฉินยิ้ม มองเจียงเย่ว์ที่เริ่มเปลี่ยนความคิด “แน่นอนจ้ะ ถ้าเธออยากไป ฉันจะคุยกับคนตระกูลปาให้ ทางวิทยาลัยก็จะช่วยเธอปกปิดตัวตน อีกทั้งจะไปเรียนในฐานะนักเรียนต่างชาติ”
“แต่พรุ่งนี้หมอลู่จะกลับเหยียนหวงแล้ว…”
“ไม่เป็นไร ลูกศิษย์ของฉันยังอยู่ที่นี่ เธอลองไปคิดดูนะ ถ้าอยากไปเรียน โทรหาฉันได้ตลอด”
“ขอบคุณค่ะหมอลู่ หนูจะไปคิดให้ดีก่อน”
“อืม ลองหาพวกคำถามที่ไม่เข้าใจมาถามฉันได้นะ”
“ได้ค่ะ”
เจียงเย่ว์หยิบตำราแพทย์โบราณเล่มที่อยู่บนสุดในถุงออกมา สูตรลับอาหารรักษาร้อยโรค
เล่มนี้เป็นเล่มที่เธอมีคำถามน้อยที่สุด
เธอเปิดไปยังหน้าที่พลิกอ่านบ่อยแล้ววางตรงหน้าลู่จือฉิน ชี้ตรงอักษรที่ชื่อคล้ายผัก “อาจารย์ลู่คะ เห็นๆ อยู่ว่านี่ไม่ใช่ยา ไม่ได้มีสรรพคุณในการรักษา แต่ทำไมมันรักษาโรคนี้ได้ล่ะคะ”
“มันไม่ได้รักษาโรค แต่เป็นตัวชี้นำ ถ้าไม่มีมัน สมุนไพรที่อยู่ข้างหน้านี้ก็จะออกฤทธิ์ไม่ได้”
“แต่หนูรู้จักสมุนไพรชนิดนี้ และก็รู้ว่าควรผสมยายังไง แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันต้องมีตัวชี้นำถึงจะออกฤทธิ์ได้ หรือว่าหนูจำผิดคะ” เจียงเย่ว์มีสีหน้าไม่เข้าใจ
“เธอไม่ได้จำผิดหรอก เดิมทีมันก็ไม่ต้องมีตัวชี้นำหรอก แต่สมุนไพรที่สำคัญที่สุดของสูตรอาหารรักษาโรคนี้ไม่ใช่สมุนไพรชนิดนี้ แต่เป็น…ตัวนี้” ลู่จือฉินชี้สมุนไพรที่อยู่ด้านหลังชื่อสมุนไพรที่เจียงเย่ว์ชี้เมื่อครู่
“นี่ต่างหากสมุนไพรที่สำคัญที่สุดของสูตรอาหารนี้ เธออาจมองว่ามันเหมือนเป็นตัวช่วยเสริมสมุนไพรตัวข้างหน้านี้มากกว่า แต่ในความเป็นจริงมันเชื่อมโยงสมุนไพรกับส่วนประกอบอาหารเข้าด้วยกัน…แต่อย่างไรก็ดี มีมันอยู่ ถ้าสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคนี้ไม่มีตัวชี้นำก็ออกฤทธิ์ในการรักษาไม่ได้หรอก…”
เจียงเย่ว์เข้าใจกระจ่าง ดวงตาเปล่งประกายเหมือนมีไฟ
ลู่จือฉินเห็นเธอเข้าใจแล้วจึงพลิกเปิดหน้าอื่น กวาดตาอ่านสูตรอาหารพวกนี้คร่าวๆ แล้วปิดตำราอ่านชื่อตรงหน้าปก จากนั้นก็ถามด้วยความแปลกใจ “เธอชอบพวกอาหารรักษาโรคเหรอ ต่อไปจะทุ่มเทไปทางบำรุงร่างกายเหรอ”
“หมอลู่คะ ตอนนี้ทั่วทั้งโลกมีคนนับล้านตายเพราะกินยาที่ไม่ถูกต้องทุกปี อีกทั้งจำนวนคนที่ตายเพราะยารักษาโรคก็ยังมากกว่าจำนวนคนที่ตายเพราะโรคติดต่อมากถึงสิบเท่า แถมยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี…แสดงให้เห็นว่าการใช้ยาในวงกว้างนำมาซึ่งอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ขนาดไหน…หนูคิดว่า…”
ลู่จือฉินพยักหน้าเงียบๆ ระหว่างฟัง
เด็กสาวคนนี้พอพูดถึงเรื่องการแพทย์ก็ราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคน ชวนให้รู้สึกเอ็นดู
“…อาจารย์ลู่คะ สมัยนี้คนเราตระหนักถึงการดูแลสุขภาพขึ้นมาก พวกเราเลยหาวิธีขจัดโรคต่ออายุจากธรรมชาติ มันจะกลายเป็นกระแสใหม่ของการพัฒนายาในยุคปัจจุบัน…อาหารรักษาโรคก็ด้วย…”
เจียงเย่ว์พูดออกมาไม่หยุด ทั่วทั้งร่างกายเหมือนมีแสงเปล่งประกาย
ลู่จือฉินรู้สึกตะลึงในความคิดที่กว้างไกลของเจียงเย่ว์
ใช่ ตอนนี้วงการยาของแต่ละประเทศต่างมุ่งความสนใจไปยังอาหารรักษาโรคที่ไม่มีผลข้างเคียงหรือผลข้างเคียงน้อยมากแล้ว
เจียงเย่ว์มองจุดนี้ออกก็แสดงว่าเธอไม่เหมือนนักศึกษาแพทย์ทั่วไป