ตอนที่ 378 แดงฉานดุดเปลวเพลิง
เช้าตรู่วันที่สามมกราคม
สองย่าหลานครอบครัวลู่กับสองผู้อาวุโสครอบครัวเหมียวมาล้อมที่ห้องแม่ลู่อยู่ก่อนแล้ว รอเธอตื่นก็จะพาไปบ้านครอบครัวหยวน
ตอนที่พวกลู่จือฉิน เหลียงจี ปาอิน ถังถัง และตี้อู่หลันฉือออกกำลังกายเสร็จกลับมา สองผู้อาวุโสครอบครัวเหมียวก็มานั่งคุยที่ห้องรับแขกพร้อมแม่ลู่แล้ว
“คุณลุงคุณป้าตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอคะ” ลู่จือฉินยิ้มถาม
ยายเหมียวยิ้มกว้างให้ทุกคนก่อน จากนั้นก็พูดขึ้น “พวกเรานอนไม่หลับ ก็เลยลุกขึ้นดีกว่า เสี่ยวซูกับย่าทำอาหารเช้าอยู่ในครัวจ้ะ”
ถ้าไม่ติดว่าเช้าเกินไปจะรบกวนคนทางนั้นพักผ่อน พวกเขาคงไปรอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางแล้ว
ร้อนใจเหลือเกิน
ทุกคนเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา จึงยิ้มตอบ
ลู่จือฉินยิ้มบาง “คุณลุงคุณป้าไม่ต้องรีบร้อนนะคะ เอายาถอนพิษมาแล้ว วันนี้ถอนพิษได้เลยค่ะ”
ตาเหมียวกับยายเหมียวยิ้มพลางพยักหน้า ดวงตาของคนชราทั้งสองมีหยาดน้ำตาคลอ
เนื่องจากอารมณ์ดีมาก ต่อให้ไม่ได้นอนทั้งคืนพวกเขาก็ไม่รู้สึกอ่อนล้า
ลู่จือฉินลูบศีรษะแม่ลู่ที่นั่งนิ่งเรียบร้อยแล้วพูดกับผู้อาวุโสทั้งสอง “พวกเราขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ เดี๋ยวกินอาหารเช้าเสร็จค่อยไปด้วยกัน”
“จ้ะ”
พอคนอื่นๆ ขึ้นไปเชฟก็ลงมา
ทักทายสองผู้อาวุโสเสร็จก็เข้าไปทำงานในห้องครัว
เมื่อทุกคนลงมากันหมด กินข้าวเช้าเสร็จก็ไปที่บ้านครอบครัวหยวน
หยวนเหยี่ยกำลังเตรียมฝังเข็มให้ตี้อู๋เปียน
ปู่ทวดถังกำลังถือโทรศัพท์มือถือถ่ายหญ้าร้อยรสที่อยู่บนโต๊ะทุกมุม
มู่เถาเยานั่งวาดหญ้าร้อยรสอยู่ตรงหน้าโต๊ะ
พอเห็นมีคนเข้ามาเธอก็ทักทายแล้ววาดต่อ
ลู่จือฉินอธิบายให้สองย่าหลานครอบครัวลู่กับสองผู้อาวุโสครอบครัวเหมียวที่เก็บความดีใจไว้ไม่อยู่ฟัง “หญ้าร้อยรสที่พวกเรารู้จักก่อนหน้านี้ไม่มีดอก ตอนนี้ออกดอกแล้วค่ะ เสี่ยวเยาเยาก็เลยวาดให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น…”
ทุกคนพยักหน้าเพื่อแสดงออกว่าเข้าใจ
พอมู่เถาเยาวาดเสร็จ แม่ลู่กลับอยากนอนแล้ว
สองย่าหลานครอบครัวลู่กับสองผู้อาวุโสครอบครัวเหมียวไม่รู้จะสุขหรือเศร้าดี ต่างอยากให้ถอนพิษก่อนแล้วค่อยนอน
พวกเขาร้อนใจเหลือเกิน แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว แค่อยากกินแล้วก็นอน
มู่เถาเยายิ้มบาง “หนูจะอุ้มน้าเหมียวไปที่ห้องนอนแขกก่อน นอนสักพักค่อยถอนพิษก็ได้ค่ะ ยาถอนพิษไม่หนีไปไหน”
สองย่าหลานครอบครัวลู่กับสองผู้อาวุโสครอบครัวเหมียวยังจะทำอะไรได้ ก็เจ้าตัวเป็น ‘เด็กทารก’ ที่ไม่ประสีประสา มานั่งอธิบายเหตุผลไม่ได้
ขนาดผู้ใหญ่ยังควบคุมกลไกร่างกายไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทารกเลย
มู่เถาเยาอุ้มแม่ลู่ที่หลับปุ๋ยไปห้องนอนแขก สองผู้อาวุโสครอบครัวเหมียวตามไปดูแล
เมื่อลงมาอีกครั้งก็เห็นลู่หันซูถือหญ้าร้อยรสขึ้นมาดมใหญ่
“มีอะไรเหรอ”
“ศิษย์พี่คะ เหมือนฉันจะ…เคยได้กลิ่นหอมแบบนี้มาก่อน…แต่มันแรงกว่านี้…ถึงจะผ่านมาหลายปี แต่กลิ่นของมันพิเศษมาก ฉันเลยจำได้ดีค่ะ”
ทุกคน “!”
ริมฝีปากของมู่เถาเยามีรอยยิ้มบาง “ตอนพวกเราเพิ่งเก็บมากลิ่นของมันแรงมาก อาจเพราะพอไม่อยู่กับดินกลิ่นมันเลยจางไปเรื่อยๆ ศิษย์น้องเคยได้กลิ่นของมันจากที่ไหนเหรอ”
“ภูเขาหลังบ้านพวกเราค่ะ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นบ้านใหม่เพิ่งสร้างเสร็จ แต่ยังไม่ได้ย้ายเข้าไป ฉันพาแม่ออกไปเดินเที่ยว…แต่เพราะแม่ขึ้นเขาไม่ได้ ฉันเลยไม่ได้ไปดูด้านหลัง วันต่อมาก็ไปเรียนแล้ว…ต่อมาพอไปอีกครั้งก็ไม่มีกลิ่นหอม ฉันก็ลืมเรื่องนี้ไปเลยค่ะ…”
พอได้ยินหลานสาวพูดแบบนี้ย่าลู่ก็ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี
ปาอิน “คุณพระ…”
ลู่จือฉินพูดด้วยความเสียดาย “ก่อนหน้านี้ตอนพวกเราไปก็ขึ้นเขาจากทางด้านหลัง แต่ไม่เห็นพบหญ้าร้อยรส…ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังอยู่หรือเปล่า…”
“รอถอนพิษให้แม่เสร็จพวกเราก็กลับ จริงสิ ยังมีพิษดอกห้อมช้างด้วย” ลู่หันซูมองปาอินด้วยสีหน้าคาดหวัง
“พี่ชายฉันเอาให้เสี่ยวเยาเยาไปแล้วนะ” ปาอินยิ้มตาหวาน
มู่เถาเยาหยิบกล่องไม้บนโต๊ะขึ้นมาเปิดฝาแล้วยื่นให้ลู่หันซู “นี่ก็คือดอกห้อมช้าง”
“สวยจังเลย!”
ลู่หันซูรับมาดูก็อดส่งเสียงตะลึงไม่ได้
ลักษณะภายนอกของดอกห้อมช้างคล้ายดอกเบญจมาศ แต่กลับสวยกว่าดอกเบญจมาศที่สวยที่สุดไม่รู้ตั้งกี่เท่า!
ต่อให้แห้งเหี่ยวสีก็ยังแดงสดเหมือนเปลวเพลิง ไม่ซีดลงเลยสักนิด
มู่เถาเยายิ้มดวงตาโค้งมน “ไว้ครั้งหน้ามีคนมาจากเผ่าจะฝากยาลบรอยแผลเป็นมาด้วย พอถึงตอนนั้นก็ทายาให้น้าเหมียว ประมาณสามเดือนรอยแผลเป็นก็จะหายไปหมด”
“เสี่ยวเยาเยา…” ย่าลู่ขอบตาแดงก่ำ ไม่รู้ควรจะขอบคุณทุกคนอย่างไรดี
พวกเขาไม่มีอะไรเลย และครอบครัวเหล่านี้ก็ไม่ขาดแคลนอะไร
มู่เถาเยาแค่มองสีหน้าย่าลู่ก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“ย่าลู่คะ หันซูเป็นศิษย์น้องของหนู หนูควรช่วยแม่ของศิษย์น้องอยู่แล้วค่ะ หากว่ากันตามเหตุผล หนูเป็นหมอ ช่วยชีวิตคนคือหน้าที่ค่ะ อย่าคิดมากเลยนะคะ”
“แต่ทุกคนช่วยเอาไว้หลายเรื่อง…ไหนจะของล้ำค่าของตระกูลปาอีก…”
ปาอินยิ้มกว้างแล้วตอบ “มีประโยชน์ถึงจะเป็นของล้ำค่าค่ะ ถ้าใช้ไม่ได้มันก็แค่ของไร้ค่าที่วางเก็บไว้ให้ฝุ่นจับ ย่าลู่ไม่ต้องคิดมากเรื่องแค่นี้นะคะ”
ลู่หันซูวางดอกห้อมช้างลง โอบบ่าย่าลู่ ดวงตาที่งดงามโค้งมน “ย่าคะ เลิกคิดเรื่องพวกนี้นะคะ มีหนูอยู่ทั้งคน ต่อไปหนูจะเป็นผู้นำครอบครัว ย่า แม่ คุณตาคุณยายมีหน้าที่ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอค่ะ”
เธอจะจดจำบุญคุณที่ช่วยชีวิตแม่ของเธอไว้ในใจ เมื่อมีโอกาสก็จะตอบแทน
ย่าลู่ยิ้มทั้งน้ำตา ตบหลังมือของหลานสาวเบาๆ “จ้ะ หลานเป็นหัวหน้าครอบครัว ย่าจะเชื่อฟัง”
ทุกคนต่างดีใจแทนครอบครัวลู่และครอบครัวเหมียว
มู่เถาเยากลับพูดเตือน “ย่าลู่คะ ศิษย์น้อง น้าเหมียวถอนพิษเสร็จก็แค่พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สติปัญญา…จะหยุดอยู่แค่ตอนถอนพิษ ซึ่งก็หมายความว่าหลังจากถอนพิษเสร็จน้าเหมียวก็ยังคงเหมือนตอนนี้ที่ต้องมีคนดูแลนะคะ”
ย่าลู่กับลู่หันซูฟังมู่เถาเยาแล้วก็ไม่ได้เสียใจ
“ศิษย์พี่คะ รักษาชีวิตของแม่ไว้ได้ก็ดีมากแล้วค่ะ พวกเราไม่โลภมาก พอฉันเปิดเทอมจะหาคนมาช่วยย่าดูแลแม่ค่ะ”
ย่าลู่ส่ายมือ “ยังไม่ต้องหรอก ย่ายังดูแลได้อีกหลายปี วันหน้าดูแลไม่ไหวแล้วค่อยว่ากัน”
ครอบครัวยังต้องสร้างบ้านอีก ประหยัดได้ก็ประหยัด
ไว้วันหน้าหลานสาวทำงานมีรายได้แล้วค่อยว่ากัน
“ค่ะ งั้นพวกเรายังไม่พูดเรื่องนี้”
มู่เถาเยายิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าดวงดีกว่านี้อีกหน่อย หาดอกสายรุ้งเจอ วันหน้าน้าเหมียวจะกลับมาเป็นฝ่ายดูแลย่าลู่กับคุณตาคุณยายได้ด้วยนะคะ”
ย่าลู่ยิ้ม “เสี่ยวเยาเยา แค่นี้พวกเราก็พอใจมากแล้ว หนูกับอาจารย์ลู่ไม่ต้องทุ่มเทตามหาดอกสายรุ้งหรอกนะ”
ทั้งสองคนทุ่มเทเพื่อครอบครัวลู่มากเหลือเกินจนเบียดบังเรื่องของตัวเองไปเยอะ
ระยะนี้เธอเห็นเสี่ยวเยาเยางานยุ่งไม่ได้หยุด รู้สึกซาบซึ้งใจแต่ก็เกรงใจ
มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “ค่ะ เวลาพวกเราไปเก็บสมุนไพรจะช่วยดูๆ ให้ค่ะ วันหน้าเสี่ยวซูมีเวลาก็ตามพวกเราไปได้”
ตราบใดที่ยังมีชีวิตก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น
ลู่หันซูพยักหน้า แอบสาบานอยู่ในใจ ต้องขยันฝึกวิทยายุทธ์ จะได้ไม่เป็นภาระอาจารย์กับศิษย์พี่