ตอนที่ 380 ไม่ใช่ปู่ของเขา
วันต่อมา พอได้นอนเต็มอิ่มบรรดาสมาชิกกลุ่มเก็บสมุนไพรก็ได้ผ่อนคลายอาการเหนื่อยล้า สดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
สมาชิกกลุ่มฝึกพิเศษทุกคนต่างมาที่บ้านครอบครัวหยวนโดยไม่ได้นัดหมาย
มู่เถาเยาพาพวกเขาไปที่ห้องปรุงยาด้านข้าง หยิบบรรดาสมุนไพรราคาแพงที่พวกเขาเก็บมากันอย่างโสม หลิงจือ เป็นต้น พร้อมทั้งบอกวิธีเก็บให้อยู่ได้นานขึ้น กินอย่างไรถึงจะได้สรรพคุณดีที่สุด จากนั้นก็แจกจ่ายยาบำรุงร่างกายให้ทุกคน
เมื่อเสร็จแล้วก็ให้พวกเขาไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน เตรียมกางโต๊ะยาวที่นั่นเพื่อรับประทานอาหาร
หลังจากมื้ออาหารที่แสนครึกครื้นผ่านไป มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนก็จัดแจงให้คนพาสมาชิกกลุ่มฝึกพิเศษที่ไม่ได้เข้าเขตป่าชั้นในทยอยออกจากหมู่บ้านเถาหยวน
เยี่ยอิ่ง เยี่ยเซียว เฉิงซิ่น และสมาชิกของสำนักสารพัดสารพันรับหน้าที่พากลุ่มเยาวชนอัจฉริยะกลับที่เดิม เพื่อให้ผู้ปกครองของพวกเขามารับกลับไปฉลองตรุษจีน
มู่เถาเยาจงใจให้ซังเฟยอยู่ต่อเพื่อถามเขาว่าหลังตรุษจีนยินดีจะอยู่ที่หมู่บ้านเถาหยวนต่ออีกสักสองเดือนกว่าหรือไม่ เพราะอีกสามเดือนกว่าเขาจะไปรายงานตัวที่กองทัพในเมืองหลวง
เธอเสียดายความสามารถ อยากขอให้อาจารย์รองช่วยสอนเขาเพิ่มเติม
ซังเฟยย่อมยินดีเป็นพิเศษ
ในครึ่งปีนี้ที่อยู่หมู่บ้านเถาหยวน ไม่เพียงแต่วิชาป้องกันตัวของเขาจะพัฒนาขึ้นมาก ยังได้เรียนรู้สิ่งที่นำไปใช้ได้จริงอีกเยอะแยะ
วันมะรืน คนในหมู่บ้านก็ส่งกลุ่มคนที่เข้าเขตป่าชั้นในกลับออกไป
ตามมาด้วยตี้อู่หลันฉือกับพ่อก็บอกลาทุกคน กลับทางเหนือไปฉลองตรุษจีน
วันถัดมาไป๋เฮ่าอวี๋ก็ลากกระเป๋าเดินทาง ยิ้มเหมือนคนบ้า บอกลาทุกคนพร้อมมู่จิ้ง
เขาจะพาแฟนกลับบ้านด้วย!
สุขใจ!
ถัดมาก็เป็นคนตระกูลถัง
ในบรรดาคนนอกที่มาอยู่หมู่บ้านเถาหยวนนานที่สุด นอกจากคนตระกูลตี้แล้ว รองลงมาก็คือคนตระกูลถัง พวกเขาจึงตัดใจไม่ลง
จนกระทั่งหลานชายหลานสะใภ้ หรือก็คือพ่อแม่ของถังถังมารับ ปู่ทวดถังถึงอิดออดยอมให้หลานชายไปเก็บสัมภาระให้
มู่เถาเยายิ้มดวงตาโค้งมน “ปู่ทวดอยากมาเมื่อไรก็มาได้ค่ะ ที่นี่มีห้องให้ปู่ทวดเสมอนะคะ”
หยวนเหยี่ยกับซย่าโหวโซ่วพยักหน้าพร้อมกัน
ปู่ทวดถังดีใจขึ้นมาทันที จึงห้ามหลานชายเก็บกระเป๋าต่อ เดี๋ยวฉลองตรุษจีนเสร็จจะกลับมาใหม่!
พ่อถังถังเกิดความรู้สึกเหมือนปู่ไม่ใช่ปู่ของตัวเองอีกแล้ว
ส่งคนตระกูลถังกลับเสร็จตี้อู๋เปียนกับมู่เถาเยาก็ไปหาพ่อแม่ของมู่ซือจิ่น บอกว่าอยากให้เด็กคนนี้ไปฝึกในกองทัพ
“ลุงรองคะ ซือจิ่นเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดี เขากับเซิ่นอวี๋ จิ่งเหยา เหมาะจะเป็นทหารมาก…” บลาๆๆ
ผู้ใหญ่ของตระกูลถังกับตระกูลซย่าโหวต่างพักอยู่ที่บ้านครอบครัวหยวน ตี้อู๋เปียนจึงขออนุญาตพวกเขาไปก่อนแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่คนเดียว
มู่ซือจิ่นนั่งรอคำตอบของพ่อแม่อย่างใจจดใจจ่อ
เขาอยากไปอยู่กองทัพ ไปเรียนและฝึกพร้อมกับเพื่อนสนิทอย่างจิ่งเหยากับเซิ่นอวี๋
ลุงรองมู่กับป้าสะใภ้รองฟังตี้อู๋เปียนพูดจบรอยยิ้มในดวงตาก็แทบเอ่อล้นออกมา
“เสี่ยวเยาเยา อู๋เปียน ถ้าพวกเธอบอกว่าซือจิ่นเหมาะจะเป็นทหาร งั้นพวกเราก็จะส่งเขาไปเป็นทหาร เพียงแต่เขาเพิ่งเจ็ดขวบ เด็กขนาดนี้ไปเข้ากองทัพได้เหรอ”
“ผมจะให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในกลุ่มเยาวชนเรียนด้วยกันสองปีก่อนแล้วค่อยเข้าฝึกในกองทัพครับ ถึงพวกเขาจะอายุยังน้อย แต่ฝึกวิทยายุทธ์ตั้งแต่เด็ก ร่างกายไม่น่ามีปัญหาครับ เมืองหลวงมีกลุ่มพิเศษ ในนั้นเป็นเยาวชนทั้งนั้น พวกเราจึงมีวิธีการฝึกสำหรับเยาวชนโดยเฉพาะ ไม่ต้องกังวลว่าร่างกายของพวกเขาจะได้รับผลกระทบส่งผลต่อการเจริญเติบโตนะครับ…”
อย่างไรเสียก็เป็นเด็ก อยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโต จะเร่งฝึกเร่งโตไม่ได้
มู่เถาเยายิ้มมุมปาก “ลุงรองป้ารองคะ อีกปีครึ่งหนูจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตูก็จะย้ายไปใช้ชีวิตที่เมืองหลวงสองปีค่ะ”
ตี้อู๋เปียน “ใช่ครับ พอถึงตอนนั้นซาลาเปาน้อยมีเวลาว่างก็จะไปช่วยชี้แนะด้านการต่อสู้ที่กองทัพด้วยครับ”
“ค่ะ หนูจะไปดูเสี่ยวจิ่นบ่อยๆ ค่ะ”
ป้าสะใภ้รองยิ้มด้วยความดีใจ “เสี่ยวเยาเยา เสี่ยวจิ่นตามติดหนูมาแต่เด็ก หนูรู้จักเขาดีที่สุด ลุงกับป้าเชื่อหนูนะ”
สำหรับพวกเขาแล้วความคิดเห็นของตี้อู๋เปียนไม่สำคัญเท่าความคิดเห็นของเสี่ยวเยาเยา
“ขอบคุณครับพ่อ แม่ ขอบคุณย่าเยาเยา ขอบคุณพี่อู๋เปียนครับ” มู่ซือจิ่นดีใจมาก
ตี้อู๋เปียน “…”
อยู่ๆ ก็เด็กกว่าซาลาเปาน้อยสองรุ่น!
นี่มัน…
มู่เถาเยาหลุดขำออกมา
เธอคนเดียวถูกเรียกหมดทุกรุ่น
แต่เดิมทีคำเรียกในหมู่บ้านก็ปะปนมั่วกันไปหมด อย่างเช่นเธอเรียกพ่อแม่ของเสี่ยวจิ่นว่าลุงป้าตั้งแต่เด็ก แต่เสี่ยวจิ่นกลับเรียกเธอว่าย่า ตี้อู๋เปียนเรียกอาจารย์ใหญ่ของเธอว่าปู่ เธอเลยอาวุโสกว่าเขาหนึ่งรุ่น แต่เธอกลับเรียกย่าของตี้อู๋เปียนว่าย่า แบบนั้นก็เท่ากับรุ่นเสมอกัน…
สรุปว่าเรียกปนกันไปหมด
แต่ไม่มีใครคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ อยากเรียกอย่างไรก็เรียก ไม่มีทางมานั่งจับผิดกัน
ตี้อู๋เปียนยิ้มจนปัญญา “ลุงรองป้ารองครับ วันที่หนึ่งมีนาคมผมจะให้คนมารับเด็กๆ ไปเมืองหลวงนะครับ”
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนพยักหน้า
ป้าสะใภ้รองถาม “พวกเราต้องเตรียมสัมภาระอะไรให้เสี่ยวจิ่นบ้างเหรอ”
“เตรียมชุดไว้เปลี่ยนสักสองชุดก็พอครับ ปกติมียูนิฟอร์มให้ใส่ ของใช้อื่นๆ ก็มีให้ครับ”
“ได้จ้ะ เดี๋ยวช่วงนี้พวกเราจะสอนเขาว่าต้องซักผ้ายังไง”
“ครับ”
ถึงแม้จะยังเด็ก มีคนคอยดูแลชีวิตประจำวันให้ แต่เรื่องไหนที่ทำเองได้ก็ควรทำเอง
สองสามีภรรยาพยักหน้า “จ้ะ”
พอพูดเรื่องสำคัญเสร็จ มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนก็กลับบ้านครอบครัวหยวน
ตกบ่ายคนของตระกูลตี้กับตระกูลอวิ๋นก็เตรียมกลับเมืองหลวงกับเจียงตู
“ตี้อู๋เปียน เดี๋ยวอีกสองสามวันฉันจะใช้ผลึกของดอกเถียนซินทำยาให้คุณแล้วฝากไว้ที่อาจารย์ใหญ่ พอคุณกลับมาหลังตรุษจีนก็เริ่มกินได้ วันละเม็ด…” มู่เถาเยากำชับเรื่องต่างๆ
เพราะพ้นวันที่ห้าเธอก็ต้องกลับเผ่าพร้อมคนตระกูลเย่ว์ จนกว่าจะเปิดเทอมถึงบินจากเผ่าไปเมืองเย่ว์ตู
ตี้อู๋เปียนฟังจบก็พยักหน้า “ได้ เข้าใจแล้ว”
มู่เถาเยาหันไปหาสองผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋น ใบหน้ากลมเหมือนซาลาเปาขาวนุ่มมีรอยยิ้มกว้าง “ปู่อวิ๋นย่าอวิ๋นคะ คุณอาของหนูบอกว่าพอหนูเปิดเทอมจะบินไปที่เย่ว์ตูด้วยกันค่ะ พอถึงตอนนั้นจะแวะไปเยี่ยมปู่อวิ๋นย่าอวิ๋นที่เจียงตูด้วยนะคะ”
“ได้เลยจ้ะ!”
สองผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋นดีใจมาก
พวกเขารู้สึกว่างานมงคลคงใกล้เข้ามาแล้ว
ย่าอวิ๋นจับมือย่าเย่ว์ “เข่อเหยา พวกเรากลับไปจะหาฤกษ์มงคล พอเย่ว์เลี่ยงกับเสี่ยวไป๋มาเจียงตูแล้วกลับไปพวกเราก็จะตามไปที่เผ่าด้วย” คุยเรื่องหมั้นหมายกัน
“เอาสิ”
ย่าเย่ว์ย่อมเข้าใจความหมายของย่าอวิ๋น จึงรอคอยการมาของพวกเขาเช่นกัน
ส่งคนตระกูลตี้กลับด้วยความอิ่มเอมใจ ไม่นานภายในใจของเหล่าคนสูงวัยก็รู้สึกโหวงเหวง
มู่เถาเยาจึงเสนอให้คนตระกูลเย่ว์ย้ายมาอยู่ที่นี่ คนเยอะจะได้ครึกครื้นหน่อย
คนตระกูลเย่ว์ย่อมไม่คัดค้าน กลับไปเก็บของพร้อมลู่จือฉินทันที
มู่เถาเยา หยวนเหยี่ย ซย่าโหวโซ่ว อาจารย์แม่รอง ต่างพากันตามไปช่วยเก็บของด้วย
คนของสำนักซย่าโหวส่วนใหญ่อยู่ทางนี้ ปีนี้พวกเขาก็เลยไม่ได้กลับไปฉลองตรุษจีนที่ฝั่งตะวันออก ไม่อย่างนั้นคนจะยิ่งน้อยกว่าเดิม
พอชินกับเวลาคนอยู่เยอะแล้วมาเงียบเหงาลงอีกครั้งก็แอบหดหู่นิดหน่อย
แต่ไม่นานทุกคนก็มีความสุขในบรรยากาศวันตรุษจีนที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
วันตรุษจีนมาตามสัญญา