ตอนที่ 637 ความกรุ่นโกรธ
ไม่มีดวงวิญญาณแน่นอนว่าไม่มีทางเป็นยมทูตได้ แต่คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผีดิบก็คือไม่มีวิญญาณ อย่างนั้นทำไม…
เฝิงซื่อเคยตรวจสอบและรับทราบสถานการณ์ของโจวเจ๋อมาก่อน เดิมทีเขานึกว่าโจวเจ๋อเป็นความผิดปกติประเภทหนึ่ง อย่างน้อยจากประสบการณ์ในยมโลกและโลกมนุษย์ทั้งในชาตินี้และชาติที่แล้วของเขา เขาไม่เคยเห็นผีดิบที่มีวิญญาณมาก่อน แต่ในตอนนี้ตรงหน้าเขานั้นดันเห็นตั้งสองคน!
มู่เฉิงเอินคนนี้ซ่อนเอาไว้ลึกพอสมควร
ยมทูตอายุงานหกสิบปี ใช่ว่าจะไม่เคยมี กระทั่งสามารถบอกได้ว่าไม่ได้หายากมากนัก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทรักษาชีวิตทำงานไปวันๆ แถมมีวิธีเลี่ยงการตรวจสอบครั้งใหญ่ของยมโลกทุกสิบปี แต่มู่เฉิงเอินที่อยู่ตรงหน้านี้จะต้องต่างออกไปอย่างแน่นอน
คนผู้นี้ก็แค่ไม่อยากเลื่อนตำแหน่ง เหตุผลที่อาศัยตัวตนยมทูตอาจจะเป็นเพียงเพื่อการปกปิดและสะดวกในการทำธุระ เขาเป็นผีดิบ ทั้งยังเลี้ยงผีดิบมากมายขนาดนี้ไว้หน้าบ้าน ฟังจากคำพูดของอันปู้ฉี่ก่อนหน้านี้ ตัวเขาเองยังเก่งเรื่องการสร้างและควบคุมหุ่นเชิดด้วย นี่มันใช่ท่าทางของอันธพาลตกอับที่เอาแต่ใช้ชีวิตไปวันๆ ธรรมดาที่ไหนกันล่ะ
นี่คือไม่เห็นช่องทางการเลื่อนขั้นของยมโลกอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ ไม่ได้อยากพัฒนาขึ้นสักนิด เพียงแค่อยากเฝ้าอาณาเขตของตัวเองล้วนๆ!
โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างช้าๆ เขี้ยวสองซี่กดลงเบาๆ ที่กรามของตัวเอง หันหน้าเล็กน้อย มองไปยังมู่เฉิงเอินที่อยู่ตรงหน้า มู่เฉิงเอินเองก็หันข้างเล็กน้อย และมองโจวเจ๋อในลักษณะเดียวกัน ความแตกต่างคือในสายตาของโจวเจ๋อแฝงไปด้วยความสงสัย แต่มุมปากของมู่เฉิงเอินแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์และยิ้มหยัน ขณะเดียวกันก็เอ่ยว่า “มา เรามาฝึกฝนกันเถอะ!”
มาดวลกันระหว่างผีดิบกับผีดิบสักตั้ง!
โจวเจ๋อยื่นมือชี้ไปที่มู่เฉิงเอิน แต่กลับมองไปทางเฝิงซื่อและพูดว่า “มัวตะลึงอะไรอยู่ จับเขาให้ผมสิ!”
“…” มู่เฉิงเอิน
เฝิงซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่มันออกคำสั่งกับลูกน้องเหมือนเขาเป็นอันปู้ฉี่อย่างไรอย่างนั้น ทว่าแม้เขาจะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง แต่เฝิงซื่อก็ไม่ได้แสดงออกมา อีกอย่าง ที่เขาขึ้นมาในครั้งนี้เดิมทีก็เพื่อจัดการแก้ไขเรื่องนี้อยู่แล้วด้วย
ขณะนั้นเอง เฝิงซื่อก็ไม่ลังเลอีกต่อไป โบกแส้หนังในมือออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้แส้มาอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าครั้งก่อน ลมแกร่งที่ผสมผสานอยู่ในนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
‘ปัง!’
‘ปัง!’
‘ปัง!’
มู่เฉิงเอินใช้ร่างกายของตัวเองต้านเอาไว้อยู่หลายครั้ง แต่ทว่าทุกครั้งต้องล่าถอย ร่างกายซวนเซไม่หยุด เห็นได้ชัดว่า เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีไม่ยั้งของผู้ตรวจสอบผู้ยิ่งใหญ่ เขาประคองตัวต่อไปได้ยาก
โจวเจ๋อยืนอยู่ข้างๆ จ้องด้วยสายตาดุร้ายและไม่ออกจากสภาวะผีดิบ
ผีดิบไม่มีวิญญาณ
โจวเจ๋อยังนึกว่าตัวเองเป็นข้อยกเว้น เพราะในร่างของเขามีอิ๋งโกว อย่างนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับมู่เฉิงเอินกันล่ะ พอเป็นอย่างนี้แล้วที่อีกฝ่ายวางแผนเล่นงานเขาก็ค่อยๆ เข้าเค้า
ก่อนหน้านี้ตัวเขาพาวิญญาณทหารหลายหมื่นนายเดินทางสองวันมาที่ชายแดน น่าจะดึงดูดความสนใจของมู่เฉิงเอินเข้า ลองคิดในมุมกลับกัน หากเขาพบผีดิบที่มีวิญญาณเหมือนกับตัวเอง เดาว่าก็คงจะคิดวางแผนอยู่เหมือนกัน คงจะจับอีกฝ่ายไว้ในมือและซักไซ้ไล่เลียงละมั้ง
สามารถเข้าใจได้ แต่ไม่สามารถให้อภัยได้
ภายใต้การใช้แส้โจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของเฝิงซื่อ ร่างของมู่เฉิงเอินเริ่มร้าว ถ้าหากครั้งนี้มาแก้แค้นละก็ แค่โจวเจ๋อเพียงคนเดียวหรือใครคนอื่นสักคน มู่เฉิงเอินก็คงไม่ถึงกับไม่มีโอกาสแม้แต่จะต่อสู้ดูสักตั้ง แต่เป็นเพราะข้างกายของโจวเจ๋อยังมีสวี่ชิงหล่าง ทนายอัน และไป๋อิงอิงอยู่ด้วย มู่เฉิงเอินถึงได้วางแผนอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้ลงมือตรงๆ เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าหากเขาลงมือละก็ อัตราชนะมีน้อย!
ขณะเดียวกัน เมื่อแผนการล้มเหลว เขาก็รีบตัดสินใจอย่างรวดเร็วทันที ฆ่ายมทูตสาวท้องถิ่นที่เป็นหมากของตัวเองทิ้งโดยตรง หวังว่าจะปิดปากได้จะได้ไม่ซัดทอดมาถึงตัวเอง
คนของตัวเองรู้เรื่องของตัวเองดี เขาไม่สามารถหยุดโจวเจ๋อและคนอื่นๆ จากการแก้แค้นได้จริงๆ!
ใครจะไปรู้ว่าคนพวกนี้ไม่ใช่แค่หาเขาจนพบเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเรียกผู้ตรวจสอบจากยมโลกมาช่วยเสริมกำลังด้วย!
แม้ว่ามู่เฉิงเอินจะเป็นยมทูตมาโดยตลอด ถึงกับจงใจระงับการเลื่อนแต้มผลงานของตัวเองและทำงานอย่างเฉื่อยชา แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้ายเขาก็อยู่ในตำแหน่งนี้มาหกสิบปีแล้ว เป็นเวลามากกว่าโจวเจ๋อหลายสิบเท่า ช่องทางบางอย่างของยมโลกเขาก็รู้ดี
บรรดาผู้ตรวจสอบผู้ยิ่งใหญ่ของยมโลก บรรดาเจ้าหน้าที่อาวุโสของยมโลก สนิทสนมกับผู้คนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร เรียกให้มาก็มาเลยอย่างนั้นหรือ
เฝิงซื่อไม่ได้ใช้กระบวนท่าอื่นๆ เลย แค่ใช้แส้ฟาด ฟาดแนวนอน ฟาดแนวตั้ง ฟาดแนวเฉียง เพราะแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ภายใต้เงื่อนไขที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอต่อการบดขยี้ การเปลี่ยนแปลงและกลยุทธ์ใดๆ ก็ไม่มีความหมาย ร่างกายของมู่เฉิงเอินปรากฏรูขึ้นมากมาย กายหยาบที่ผีดิบภาคภูมิใจนักหนาเมื่ออยู่ภายใต้พลังอำนาจของผู้ตรวจสอบนั้น ไม่น่าเชื่อถือเหมือนในตำนานเล่าขานอีกต่อไป
นี่ทำให้สวี่ชิงหล่างที่อยู่ข้างๆ รับชมพร้อมกับร้องเสียงดังด้วยความสะใจ ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดในใจ ตอนแรกที่ทนายอันยังไม่ได้ถูกถอดออกจากตำแหน่งเป็นถึงลูกพี่ของเฝิงซื่อด้วยซ้ำ ในยุครุ่งเรืองนั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ
เมื่อเห็นไฟร้อนแรงได้ที่แล้ว มู่เฉิงเอินถูกเขาใช้แส้หนังฟาดทั่วร่างกายจนเปรอะเต็มไปด้วยเลือดสีดำ เฝิงซื่อหาจังหวะว่างมาพูดกับสวี่ชิงหล่างว่า “ขอแรงหน่อย!”
เฝิงซื่ออยู่เป็น แม้แต่ทนายอันยังบอกว่าเขาเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ความฉลาดของคนฉลาดอยู่ที่ตัวเขารู้อยู่เสมอว่าตัวเองควรจะทำอะไร เขารู้ดีว่าก่อนหน้านี้โจวเจ๋อต้องการให้คนที่วางแผนคิดทำลายอารมณ์ในวันหยุดของเขาตายทันที แต่ตอนนี้จะต้องอยากจับเป็นอย่างแน่นอน บางเรื่องนั้นแม้แต่เฝิงซื่อเองก็รู้สึกสงสัยคันยุบยิบในใจ ไม่ต้องพูดถึงโจวเจ๋อที่เป็นคู่กรณีคนนี้หรอก ดังนั้นเขาจึงส่งสัญญาณให้ผู้ฝึกเต๋าอย่างสวี่ชิงหล่างก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยปราบมู่เฉิงเอิน!
สวี่ชิงหล่างลงมือทันที ยันต์อยู่ด้านข้าง ดาบเหรียญทองแดงอยู่ในมือ อาจเป็นเพราะพลังขัดข่มกัน ทำให้เมื่อใช้วิชาเต๋าเขาจึงไม่สะดวกที่จะใช้พลังของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ด้วยเหตุนี้ สวี่ชิงหล่างจึงรู้ ‘ระดับความสามารถที่แท้จริง’ ของตัวเองดีขึ้นมาก และพูดตรงๆ ว่า “ตีให้หลอดเลือดลดลงต่ำกว่านี้หน่อย!”
เฝิงซื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มขำและสะบัดแส้หนังฟาดต่อทันที
จากมุมมองของคนนอก มู่เฉิงเอินดูเหมือนจะยืนรับแส้หนังครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ตรงนั้นอย่างคนโง่เขลา แม้แต่จะหลบยังไม่รู้จักหลบ จริงๆ แล้วความรู้สึกในตอนนี้อาจจะมีเพียงตัวมู่เฉิงเอินเท่านั้นที่รู้ดี ไม่ใช่ว่าไม่อยากหลบ แต่การเคลื่อนไหวพลังรอบด้านถูกผู้ตรวจสอบคนนี้ผนึกเอาไว้หมดแล้ว เขาหลบไม่ได้ด้วยซ้ำ ได้แต่ยืนอดทนต่อการโจมตีของอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ตรงนี้ เขาไม่มีแม้กระทั่งความสามารถในการโต้กลับ!
โจวเจ๋อยืนอยู่ด้านข้าง เพียงแค่จ้องมองมู่เฉิงเอินอย่างเย็นชา เขากำลังรอให้มู่เฉิงเอินอดรนทนไม่ไหวจนล้มลง จากนั้นอยากได้ข้อมูลที่เขาต้องการจากปากของมู่เฉิงเอิน
โจวเจ๋อไม่ได้แปลกใจกับวิธีการของเฝิงซื่อสักเท่าไร หากผู้ตรวจสอบที่แท้จริงไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ เขาสามารถหาเต้าหู้สักก้อนมากระแทกให้ตายได้
และสำหรับการท้าดวลของมู่เฉิงเอินเมื่อครู่นี้ เห็นเขาโง่เหรอ ในเมื่อข้างกายของตัวเองมีผู้ตรวจสอบระดับมือทองชั้นยอดเป็นคนลงมือให้ฟรีๆ ต้องสมองกลับแล้วเท่านั้นแหละเขาถึงได้ลงมือเอง!
…
“เวรเอ๊ย เหม็นเป็นบ้า!” ทนายอันปิดจมูกทันทีที่เข้าไปในบ้านดิน มันเป็นกลิ่นที่เหม็นจริงๆ แต่ในห้องโถงกลับไม่มีคนอยู่เลย หรือว่าทั้งหกคนจะอยู่ในห้องนอนกันหมดเลย
เมื่อทนายอันเดินไปทางห้องนอน เห็นอิงอิงใจลอยเล็กน้อย จึงยิ้มและเอ่ยเตือน “ไม่เป็นไรน่า ด้านนอกยังมีเฝิงซื่อเอ๋อร์อยู่ด้วย อีกอย่าง ถ้าเจ้าหมอนั่นเก่งกาจจริงๆ ก็คงไม่ต้องแอบวางแผนลับหลังหรอก ความสามารถจริงๆ ไม่พอน่ะสิ สู้ไม่ไหวถึงได้ขี้ขลาดฆ่าคนปิดปากอยู่เบื้องหลัง อีกอย่างนะ ถ้าคุณกังวลเรื่องอื่นก็ช่างมันเถอะ นี่เจอผีดิบด้วยนี่ เป็นงานถนัดของเถ้าแก่พอดีไม่ใช่หรือไง ลืมไปแล้วหรือไงในปีนั้นคุณถูกเถ้าแก่แทงจนร้องจ๊ากยังไงน่ะ”
เมื่อได้ยินทนายอันพูดคำเหล่านี้ อิงอิงก็โล่งใจ
ทนายอันยื่นมือไปผลักประตูห้องนอน พลันตกตะลึงกับฉากข้างในนั้นในทันที เมื่ออิงอิงเดินมาแล้วมองเข้าไปข้างใน ก็ตะลึงเช่นเดียวกัน
ในห้องนั้นไม่มีเตียง มีแต่แท่นหินหกแท่น มีเทียนไขวางอยู่ข้างๆ แท่นหิน จัดเรียงเป็นรูปแบบค่ายกล คนหกคนแบ่งกันนอนอยู่บนแท่นหิน ทุกคนอายุมากแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติเช่นกัน มู่เฉิงเอินเป็นยมทูตมาหกสิบปี คนไม่ตายจะเป็นยมทูตได้อย่างไร ดังนั้นลูกๆ ของเขาต้องอายุหกสิบปีขึ้นไปแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่องตลกอย่างเช่น ‘ปู่ของฉันถูกทหารญี่ปุ่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมตอนอายุเจ็ดขวบ’
มีผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงหนึ่งคนที่แก่ที่สุดในบรรดาพวกเขา น่าจะเป็นลูกชายและลูกสาวของมู่เฉิงเอิน สี่คนที่อยู่ข้างๆ ดูอ่อนวัยกว่าหน่อยและเป็นวัยกลางคนด้วย น่าจะเป็นหลานของมู่เฉิงเอิน
ในห้องไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ใดๆ นอกจากกลิ่นเหม็นแล้วก็มีแต่ความเงียบสงัด ทั้งหกคนนอนอยู่บนแท่นหิน ตรงหน้าผากถูกควักออกเป็นรูขนาดใหญ่เท่านิ้วโป้ง ด้านบนหน้าผากของทุกคนล้วนมีร่อง และมีเข็มเล่มหนึ่งเล็งไปที่รูบนหน้าผาก บางครั้งบางคราวก็มีหยดเลือดหยดลงมาอย่างช้าๆ และไหลเข้าไปในรูนั้น
“นี่มันแม่งเอ๊ย เหี้ยมพอตัวเลย นี่คือการเลี้ยงศพ!” ทนายอันเอ่ยพลางทอดถอนใจ
นี่มันโหดเหี้ยมจริงๆ คนที่รู้วิธีประเภทนี้โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้วิธีประเภทนี้กับศัตรู เพราะถึงคนจะไม่ตาย เมื่อถูกทำอย่างนี้ก็เท่ากับโดนทรมานทุกวัน มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย!
แถมยังตายไม่ได้อีกต่างหาก!
ทนายอันไม่เชื่อว่ามู่เฉิงเอินไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขาก็ยังเลือกทำอย่างนี้อยู่ดี น่าจะฝืนยื้อชีวิตให้ลูกชาย ลูกสาว และหลานของตัวเอง ให้พวกเขาอยู่เคียงข้างตัวเองต่อไปเพื่อไม่ให้ตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยว
นี่มันเห็นแก่ตัวจริงๆ โหดร้ายกับลูกหลานรุ่นหลังได้ถึงขนาดนี้ แต่จะทำอย่างไรต่อไปล่ะ นี่กลายเป็นครึ่งคนครึ่งศพแล้ว ยังจะทรมานอย่างไรได้อีก แม้ว่าจะฆ่าพวกเขา จริงๆ แล้วก็ถือว่าช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากความทรมาน ไม่แน่ว่าคนตายไปแล้วยังต้องก้มหัวขอบคุณเขาด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะ นี่จะทำภารกิจที่เถ้าแก่ให้ให้สำเร็จได้อย่างไร
“ทนายดูนี่!” อิงอิงชี้ด้านบนวงกบประตูตรงที่ทั้งสองคนอยู่
ทนายอันหันกลับมามองแล้วพบว่ามีรูปวาดแขวนอยู่ตรงนั้น เป็นภาพวาดใส่กรอบขนาดใหญ่กินพื้นที่เกือบหนึ่งในสามของผนัง ในภาพเป็นกองศพทะเลเลือด มีบัลลังก์ที่เกิดจากการสะสมกองกระดูกขึ้นมา ชายผู้อยู่บนบัลลังก์มีสีหน้ามืดครึ้ม เพราะรูปวาดวาดได้มีชีวิตชีวามากทีเดียว ดังนั้นคุณถึงได้รู้สึกถึงความโกรธ ความไม่เต็มใจ และอารมณ์อื่นๆ ของคนผู้นั้น
และข้างบัลลังก์มีชายสวมชุดคลุมยาวนั่งอยู่ ด้านหน้าชายหนุ่มมีโต๊ะเล็กๆ วางอยู่ บนโต๊ะมีน้ำ เหล้า และเครื่องเคียง ชายผู้นั้นถือแก้วด้วยมือข้างเดียว มองบุรุษผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยรอยยิ้มอันอิ่มเอมใจ นัยน์ตาเอาแต่ใจ เป็นความภูมิใจในตัวเองอย่างสุดที่จะพรรณนาได้ ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความดูถูกเหยียดหยามจากบุรุษผู้นั้น
ทนายอันกลืนน้ำลาย ราวกับรู้สึกยากที่จะเข้าใจข้อมูลในภาพวาดนี้เล็กน้อย ส่วนอิงอิงยื่นมือชี้ไปที่คนผู้นั้นบนบัลลังก์กระดูกขาวและเอ่ยเสียงเบา “นี่มัน…ใช่คนผู้นั้นหรือเปล่า เหมือนว่าจะสัมผัสได้ว่า เขา เขาโกรธมาก”
………………………………………………………