ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 638 สนุกจนตัวระเบิด!

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 638 สนุกจนตัวระเบิด!

โจวเจ๋อไม่ค่อยเข้าใจมาโดยตลอด มีสถานะทางการที่ยมโลกหรือไม่มันแตกต่างกันอย่างไรกันแน่ แต่อย่างน้อยในแง่ของท่าทางการแสดงออก โจวเจ๋อสามารถมองออกได้อย่างชัดเจน ความแกร่งกล้าสามารถและท่าทางที่เฝิงซื่อแสดงออกมานั้นเหนือกว่าทนายอันมากทีเดียว

แต่ทว่าโจวเจ๋อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตัวเขาได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จับกุมแล้ว ทนายอันแค่บอกว่ารอเวลาผ่านไปสักพักแล้วดูว่ายมโลกจะจัดรางวัลอะไรให้เขา กระทั่งอาจจะเป็นรางวัลที่ไท่ซานฝู่จวินทิ้งไว้ ถึงอย่างไรสิ่งที่ตัวเขามีก็คือ ‘หนังสือรับรองต้นฉบับ’ ของไท่ซานฝู่จวิน

นี่มันคล้ายกับตอนที่รัฐบาลแห่งชาติเริ่มออกบัตรประจำตัวประชาชนในตอนแรก แล้วหมายเลขประจำตัวของฉางข่ายเซินเป็นเลข 000001 อย่างไรอย่างนั้น

ทนายอันยังไม่รู้ว่าตัวเขาเองในใจเถ้าแก่นั้นถูกความโดดเด่นของเฝิงซื่อครอบทับอย่างสมบูรณ์แล้ว ทว่าเฝิงซื่อนั้นแข็งแกร่งจริงๆ ร่างกายสตรีโบกสะบัดแส้พลิ้วไหว และยังคงเต็มไปด้วยความสง่างาม

‘เพียะ!’ มู่เฉิงเอินถูกฟาดหัวเข่าอย่างจังจนคุกเข่าลงมา

‘เพียะ!’ มือทั้งสองข้างของมู่เฉิงเอินถูกแส้หนังรวบเอาไว้

เฝิงซื่อกดฝ่ามือลง มือทั้งสองข้างของมู่เฉิงเอินถูกรวบประสานไว้ด้านหลัง เพียงแต่ว่า ขณะที่สวี่ชิงหล่างเดินไปข้างหน้าเตรียมจะแปะยันต์ผนึกมู่เฉิงเอิน ทันใดนั้นมู่เฉิงเอินพลันอ้าปาก กลุ่มควันดำพุ่งออกมาจากปากอย่างรวดเร็วทันที!

เฝิงซื่อจ้องเขม็ง แต่กลับหยุดยั้งเอาไว้ไม่ทันการณ์ ยิ่งการเก็บแส้หนังของเขาด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นหากปล่อยมือและเท้าของมู่เฉิงเอินแล้วละก็ สวี่ชิงหล่างที่อยู่ใกล้เอามากๆ ในตอนนี้จะยิ่งอันตรายมากขึ้น ไอหมอกสีดำพ่นลงบนใบหน้าของสวี่ชิงหล่างโดยตรง นี่เป็นการตั้งใจฆ่า จะตายแล้วก็ต้องตายไปด้วยกัน!

แต่ทว่า หลังจากไอหมอกสีดำผ่านพ้นไป สวี่ชิงหล่างกลับก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย

ยันต์สามแผ่น แผ่นหนึ่งแปะหน้าผากของมู่เฉิงเอิน แผ่นหนึ่งแปะหน้าอก แผ่นหนึ่งแปะแผ่นหลัง ขณะเดียวกันดาบเหรียญทองแดงในมือก็แทงเข้าด้านหน้าของมู่เฉิงเอิน และหมุนคว้างอย่างแรงทันที!

เหรียญทองแดงบนดาบเหรียญทองแดงแผ่กระจายออกไปทันควัน ปกคลุมร่างของมู่เฉิงเอินเอาไว้ แม้ว่าร่างกายยังคงสั่นไหวไม่หยุด แต่ตอนนี้มู่เฉิงเอินขยับตัวไม่ได้แล้ว

โจวเจ๋อรีบสาวเท้าไปข้างหน้า ถามไถ่สวี่ชิงหล่างที่ถอยหลังกลับหลังจากผนึกเสร็จ

“เป็นยังไงบ้าง” โจวเจ๋อถาม

สวี่ชิงหล่างส่ายหน้า ไม่พูดอะไร โจวเจ๋อเอื้อมมือไปจับหน้าสวี่ชิงหล่าง และบังคับศีรษะของเขาให้หันมา กลับพบว่าทั้งใบหน้าของสวี่ชิงหล่างเต็มไปด้วยเกล็ดงู ดูเหมือนหมอกดำสังหารก่อนหน้านี้จะถูกเกล็ดงูจัดการไปเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เกล็ดงูบนใบหน้าเน่าเปื่อยและหลุดร่วง สวี่ชิงหล่างส่ายหน้า เกล็ดงูจางหายไป จุดด่างดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่งดงามแต่เดิม คล้ายผิวไหม้แดดรุนแรง

“เอ่อ…” โจวเจ๋อไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่จัดการอยู่หมัด แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น

โชคดีที่สวี่ชิงหล่างไม่ได้ถามอย่างโง่เขลาว่า ‘ผมน่าเกลียดแล้วใช่ไหมล่ะ’ และไม่ได้จริงจังกับมันอย่างสิ้นเชิง เตรียมค่ายกลรูปแบบใหม่เงียบๆ ต่อไป เตรียมปราบมู่เฉิงเอินอย่างสมบูรณ์ ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสหายใจและต่อต้าน

สิ่งนี้กลับทำให้โจวเจ๋อรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาอยู่ข้างสนามมาโดยตลอด ไม่ได้ลงมือ หากเขาลงมือละก็ สวี่ชิงหล่างอาจจะไม่เสียโฉม จึงรีบพูดทันที “เหล่าสวี่เอ๋ย กลับไปซื้อผลิตภัณฑ์เสริมความงามและสกินแคร์ที่ดีกว่านี้หน่อย ดูแลมันให้ดีก็ยังกลับไปเหมือนเดิมได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ฉันจะพานายไปคลินิกศัลยกรรม ทำหน้าเสียใหม่ สบายใจได้ คิดบัญชีส่วนกลาง”

สวี่ชิงหล่างกลอกตาใส่โจวเจ๋ออย่างเฉยเมย และพูดอย่างใจเย็น “งูลอกคราบได้”

โจวเจ๋อสำลักไปชั่วครู่ ประโยคนี้หมายความว่า เขาไม่ต้องการเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใดๆ และไม่ต้องการทำศัลยกรรมอะไรด้วย ก็แค่ผิวเข้มขึ้นนิดหน่อย ผ่านการลอกคราบไม่กี่ครั้งช่วงหนึ่งก็กลับไปเหมือนเดิมแล้ว มิน่าล่ะตัวเหล่าสวี่เองถึงได้ไม่จริงจังอะไรกับเรื่องนี้เลย

“ก็ได้ ไม่เป็นอะไรก็แล้วไป”

โจวเจ๋อหันกลับมา แล้วเดินไปตรงหน้ามู่เฉิงเอิน ตอนนี้มู่เฉิงเอินทำได้แค่จ้องโจวเจ๋ออย่างดุดัน โดยที่ไม่แม้แต่จะอ้าปากได้ โจวเจ๋อนั่งยองๆ ลงตรงหน้ามู่เฉิงเอินพลางพินิจพิเคราะห์เขา ผีดิบเป็นสายพันธุ์ที่หายากมากในโลกนี้ แถมผีดิบที่มีวิญญาณก็หายากท่ามกลางความหายากอีกที หายากกว่าแพนด้ายักษ์หลายเท่าตัวนัก

ทั้งสองได้พบเจอกัน แต่กลับไม่มีความรู้สึกอยากหลั่งน้ำตาเหมือนได้เจอคนบ้านเดียวกัน ตอนแรกมู่เฉิงเอินเป็นคนวางแผนคิดร้ายต่อเขา แต่ตอนนี้เขากลับเป็นคนที่บังคับปราบปรามมู่เฉิงเอินจนอยู่หมัด

“เปิดยันต์ออกได้ใบหนึ่ง” สวี่ชิงหล่างตั้งค่ายกลสยบความเคลื่อนไหวไว้ข้างกายอีกวง แล้วเอ่ยเตือนโจวเจ๋อ

โจวเจ๋อพยักหน้าก่อนจะยื่นมือไปเปิดยันต์บนหน้าผากของมู่เฉิงเอิน มู่เฉิงเอินรีบอ้าปากทันที แต่เวลานี้ร่างกายกลับสั่นสะท้าน เขาที่อยากจะพ่นหมอกดำออกมาอีกครั้งจำต้องกลืนกลับลงไป

“บอกมาซิ ทำไมถึงวางแผนคิดร้ายต่อผม” โจวเจ๋อถาม

เมื่อก่อนตอนที่ดูหนังสายลับ เป็นเรื่องปกติที่จะได้เห็นฉากสอบสวนและทรมาน แต่เถ้าแก่โจวทำอย่างนั้นไม่เป็น ขณะเดียวกันการลงโทษที่เอาไว้ใช้กับมนุษย์ ใช้กับผีดิบได้ผลไม่ค่อยดีนัก

“เหอะๆ” มู่เฉิงเอินแสยะยิ้มมุมปากและเริ่มหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะสารภาพ เขาเป็นผีดิบ ความพิเศษของเขา แม้กระทั่งการค้นหาวิญญาณก็ถูกลิขิตมาให้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบากสุดๆ เช่นกัน ถึงอย่างไรก็ต้องตาย ทำไมก่อนตายยังต้องไขข้อข้องใจให้คนอื่นด้วยล่ะ

นี่ทำให้โจวเจ๋อปวดหัวเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีอื่น อย่างเช่นครอบครัวของมู่เฉิงเอิน เถ้าแก่โจวไม่ใช่พุทธศาสนิกชน หากครอบครัวมู่เฉิงเอินสามารถบังคับให้เขายอมจำนนได้ละก็ โจวเจ๋อจะทำอย่างนั้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“อะไรนะ เป็นครึ่งศพกันหมดแล้วเหรอ”

เวลานี้โจวเจ๋อยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนในบ้านดินด้วยสีหน้าเหยเก เฉกเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่ทนายอันสับสนลังเลว่าจะทำงานให้สำเร็จตามคำสั่งของเถ้าแก่อย่างไรดี โจวเจ๋อรับมือไม่ทันเล็กน้อย ครอบครัวของมู่เฉิงเอินล้วนถูกเขากลั่นให้กลายเป็นครึ่งศพ เห็นได้ชัดเจนว่าเขาอยากให้พวกเขากลายเป็นผีดิบ

ถ้าอย่างนั้นตัวเขาจะขู่ยังไงดี

หากฆ่าพวกเขาทิ้งถือเป็นจุดจบบริบูรณ์ ซึ่งเป็นการปลดปล่อยอย่างหนึ่งสำหรับมู่เฉิงเอินและครอบครัวของเขา

หากเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นผีดิบ ก็จะเป็นไปตามความปรารถนาของมู่เฉิงเอิน

“เถ้าแก่ ตรงนี้ยังมีภาพวาดอีกหนึ่งภาพ” อิงอิงเตือนโจวเจ๋อให้มองไปข้างบน โจวเจ๋อหันกลับมามองขึ้นไป ภาพวาดนั้นเข้าสู่สายตา

ปฏิกิริยาแรก โจวเจ๋อจำได้ทันทีว่าชายผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกเป็นอิ๋งโกวอย่างไม่ต้องสงสัย นี่มันแทบจะเป็นฉากปรากฏตัวตามมาตรฐานของผู้ชายคนนั้นไปแล้ว

สุนัขเฝ้าบ้านแต่ละยุคสมัยต้องรู้แน่นอน รวมถึงตอนนั้นโจวเจ๋อก็เคยเห็นผลงานที่คล้ายกันในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งด้วย แต่ทว่าเจ้าโง่ในภาพโกรธมาก และผู้ชายที่นั่งดื่มสุราอยู่ใต้บัลลังก์กระดูกด้วยความอิ่มเอมใจคนนั้นเป็นใครอีกล่ะเนี่ย

โดยสัญชาตญาณ โจวเจ๋อรู้สึกว่านี่อาจเป็นประวัติศาสตร์ดำมืดส่วนหนึ่งของเจ้าโง่ พอมองดูเครื่องแต่งกายของชายที่ดื่มสุราในภาพชัดๆ อีกหน่อย น่าจะไม่ใช่สมัยโบราณนัก โจวเจ๋อไม่เข้าใจรายละเอียดจริงๆ มากนัก แต่อาจจะเป็นเรื่องเมื่อหลายร้อยปีก่อนละมั้ง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อหลายร้อยปีก่อนเจ้าโง่เคยถูกวางแผนคิดร้ายมาก่อนอย่างนั้นเหรอ ไม่อย่างนั้นทำไมในภาพวาดเขาถึงได้โกรธขนาดนี้ แล้วถูกใครวางแผนคิดร้ายใส่ล่ะ

เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ผ่านการกลับชาติมาเกิดนับครั้งไม่ถ้วน เจ้าโง่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณมนุษย์และค่อยๆ ฟื้นฟูพละกำลัง ขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงไม่ให้ศัตรูของตัวเองรับรู้

จู่ๆ โจวเจ๋อก็มีความคิดที่กล้าหาญเกิดขึ้นในใจของขา สำหรับฉากในภาพนั้นเป็นของจริงหรือไม่ โจวเจ๋อคิดว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่มันจะเป็นความจริง คนที่เคยได้เห็น ‘องค์จริง’ ของอิ๋งโกวจะเบื่อหน่ายจนถึงขนาดที่วาดภาพเมื่อหลายร้อยปีก่อนเพื่อคุยโวโอ้อวดหรือไง แม้ว่าอิ๋งโกวจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย แต่จากการรู้จักและเข้าใจในตัวเจ้าโง่ของโจวเจ๋อ เจ้าโง่ยอมตายมากกว่าเปิดเผยประวัติศาสตร์อันดำมืดของตัวเองด้วยซ้ำ เจ้าหมอนี่น่ะเป็นแบบฉบับของพวกที่รักหน้าตาโดยแท้

แต่ทว่าตอนนี้มันน่าสนใจแล้วละ

อย่างแรก มีภาพวาดโบราณนี้แขวนอยู่ในบ้านของมู่เฉิงเอิน และมู่เฉิงเอินก็เป็นผีดิบที่มีวิญญาณเหมือนกับเขาเช่นกัน เหอะๆ

มู่เฉิงเอินไม่น่าจะใช่คนในภาพวาด หนึ่งคือยุคสมัยไม่ตรงกัน สองคือตัวตนที่สามารถวางแผนคิดร้ายต่ออิ๋งโกว และดื่มสุรายั่วยุต่อหน้าอิ๋งโกว จะถูกผู้ตรวจสอบของยมโลกใช้แส้ฟาดจนหมอบลงกับพื้นโดยตรงอย่างนั้นเหรอ แต่ว่าอย่างน้อยก็สามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่ง มู่เฉิงเอินนี่จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับอิ๋งโกวและแม้แต่ตัวเขาเองอย่างแน่นอน และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่หลังจากค้นพบเขาจึงวางแผนคิดร้ายต่อเขาทันที

“ทำยังไงกับมันดี ข้าเคยทำการทรมานมาก่อนก็จริง แต่ไม่เคยทรมานผีดิบมาก่อนนะ” เวลานี้ทนายอันกำลังถกเถียงกับเฝิงซื่อ เห็นได้ชัดว่าทุกคนล้วนอยากล้วงข้อมูลออกจากปากของมู่เฉิงเอิน และก่อนหน้านี้เฝิงซื่อก็บอกตรงๆ ว่านี่เป็นความเชี่ยวชาญของทนายอันเมื่อในอดีต เขาสร้างภาพลวงตาเป็น จิตใจและมือของเขาต่างก็โหดเหี้ยม เมื่อก่อนมีวิญญาณในยมโลกมากมายผ่านการง้าง ‘ปาก’ ด้วยมือของเขาทั้งนั้น

“ให้ตายเถอะ ยังไงก็ต้องรอให้เถ้าแก่มาก่อน ถ้าเขาหมดหนทางคนอื่นก็จนปัญญาเหมือนกัน วิญญาณของผีดิบนี่แตกต่างจากวิญญาณของคนทั่วไป อยากจะแยกออกจากกายหยาบมันยากลำบากมาก สำหรับการทรมานร่างกาย ข้ายังต้องเตรียมสว่านเพชรอีกใช่ไหมล่ะ เถ้าแก่ล่ะ เถ้าแก่ยังไม่ออกมาอีกเหรอ เขามีประสบการณ์ เขาเองก็เป็นผีดิบด้วย แถมยังทำอะไรผีดิบอยู่ทุกวี่ทุกวัน…โอ๊ะ เถ้าแก่คุณออกมาแล้ว เมื่อกี้เฝิงซื่อเอ๋อร์ยังบอกว่าคิดถึงคุณอยู่เลย”

โจวเจ๋อไม่สนใจทนายอัน แต่เดินไปนั่งยองๆ ด้านหน้ามู่เฉิงเอิน

“เห็นครอบครัวของข้าแล้วใช่หรือไม่” มู่เฉิงเอินปริปาก ส่วนโจวเจ๋อพยักหน้า

“รับปากข้าเรื่องหนึ่งแล้วข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้” โจวเจ๋อส่ายหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ร่างกายของมู่เฉิงเอินสั่นสะท้าน พลันหายใจหอบถี่เร็วขึ้นมาก เมื่อเห็นเขาเป็นอย่างนี้โจวเจ๋อก็ยิ้ม

“รู้ความลับน้อยลงหน่อยเรื่องหนึ่งก็ไม่ตายนี่ ผมก็ใช้ชีวิตเหมือนอย่างที่ผ่านมา สำหรับครอบครัวของคุณ ถ้าผมดูไม่ผิดละก็ คุณน่าจะไม่อยากให้พวกเขากลายผีดิบธรรมดาที่จืดชืดไร้จิตวิญญาณและความคิด อยากให้พวกเขามีความคิดเป็นของตัวเอง ทั้งอยากให้มีอายุขัยแบบผีดิบ และมีสติปัญญาแบบผีดิบชั้นสูง แต่อายุของพวกเขายังเด็กเกินไป คุณทำไม่ได้ จึงทำได้เพียงฝืนใช้ชีวิตและรอคอยอย่างนี้ต่อไป”

ร่างของมู่เฉิงเอินสั่นสะท้านไม่หยุด

“ก็ได้ ผมรู้แล้วละ เดี๋ยวผมจะทำกลอุบายสักอย่างให้พวกเขากลายเป็นศพเดินได้ แล้วปล่อยพวกเขาลงเขาไปเล่นสนุก ฆ่าคน ดูดเลือด ถูกคุณทำให้นอนมาตั้งไม่รู้กี่ปี ก็ควรจะออกมาเคลื่อนไหวขยับกล้ามเนื้อและกระดูก จากนั้นผมก็จะให้คนยกคุณขึ้นมา ให้คุณเห็นกับตาตัวเองว่าลูกๆ หลานๆ ของคุณเล่นสนุกกันอย่างไร สนุกจนเทพบนสรวงสวรรค์ลงโทษด้วยสายฟ้าฟาด แล้วให้คุณแหกตาดูอีกครั้งว่าพวกเขาสนุกจนตัวระเบิด!”

……………………………………………………

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท