ตอนที่ 643 เจ้าหน้าที่ มาเลยสิ
เมื่อถ่ายรูปเสร็จ โจวเจ๋อส่งสัญญาณให้อิงอิงลงมา อิงอิงก็ลงมาอย่างปลอดภัยท่ามกลางเสียงเชียร์ของผู้ชมและความกังวลของพิธีกรกับเหล่านักแสดงที่อยู่ด้านล่าง
ฮู่ว…
พิธีกรและนักกายกรรมรอบๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากเกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้นกับนักท่องเที่ยวพวกเขาจะลำบากมากจริงๆ กระทั่งอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของจุดชมวิวทั้งหมด
“เธอก็คงเคยฝึกมาเหมือนกันใช่ไหม” นักกายกรรมคนหนึ่งถาม เพียงแต่ว่า เมื่อพวกเขาอยากจะถามหาเด็กสาวคนก่อนหน้าอีกครั้ง โจวเจ๋อก็จับมืออิงอิงพากันหายไปท่ามกลางฝูงชนเสียแล้ว
ครึ่งชั่วโมงก่อนที่การแสดงในห้องโถงใหญ่จะเริ่ม โจวเจ๋อยังจับมือพาอิงอิงเดินเที่ยวเล่นต่อ
การฆ่าเวลาก็เป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง ในช่วงชีวิตหนึ่งนั้น นอกจากช่วงที่คุณยังเด็กแล้ว ช่วงเวลาที่เหลือจะมีเวลาว่างได้ใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลได้อีกสักกี่ครั้งกัน
โจวเจ๋อและอิงอิงเดินเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ จนเดินมาถึงทางเข้าจุดชมวิวในร่มแห่งหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง คิดไม่ถึงว่าจะเป็น ‘บ้านผีสิง’ บ้านผีสิงเป็นรายการคลาสสิกของสวนสนุกและเมืองโบราณ เพียงแต่เมื่อเทียบกับฝูงชนในจุดชมวิวทั้งหมด ที่นี่ค่อนข้างร้างไปหน่อย คนที่เต็มใจจะเข้าไปเล่นที่นี่ก็ยังเป็นส่วนน้อยอยู่ดี
โจวเจ๋อให้อิงอิงไปซื้อตั๋ว จากนั้นเดินเข้าไปพร้อมกับอิงอิง เดาว่าถ้าพูดออกไปคงถูกหัวเราะเยาะ ยมทูตตนหนึ่งพาผีดิบตัวหนึ่งเข้าชมบ้านผีสิง แต่ทว่าถ้ามองจากอีกแง่มุมหนึ่ง เป็นเพราะโจวเจ๋อและอิงอิงเข้ามาในบ้านผีสิงต่างหาก ถึงจะเรียกว่า ‘บ้านผีสิง’ จริงๆ อีกทั้งยังเป็นบ้านผีสิงของจริงสมราคาอีกด้วย
หลังจากเข้าไปได้ไม่นาน โจวเจ๋อเห็นรูปปั้นสองตัววางอยู่ตรงหน้า ซึ่งแต่งกายด้วยชุดข้าราชการ มือซ้ายถือโซ่ตรวน ส่วนมือขวานั้นถือไม้โบย ด้านข้างมีป้ายแขวนอยู่สองป้าย ด้านหนึ่งเป็น ‘ยมทูตยึดถือปฏิบัติตามกฎ’ ด้านหนึ่งเป็น ‘มนุษย์ควรหลีกเลี่ยง’ โจวเจ๋อทำท่าทางเลียนแบบครู่หนึ่ง เขายากที่จะจินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรถ้าตัวเองยืนอยู่ที่นี่พร้อมถือโซ่ตรวนและสวมชุดเครื่องแบบ คาดว่าคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายความเบียวละมั้ง แต่อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์พื้นฐานของยมทูตในสายตาชาวบ้านก็เป็นอย่างนี้
“มาสิ อิงอิงช่วยผมถ่ายรูปคู่กับพวกเขาหน่อย” โจวเจ๋อเดินไปข้างๆ รูปปั้นทั้งสองและโพสท่ากับพวกเขา
อิงอิงเปิดแฟลชกล้องถ่ายรูปและเริ่มถ่ายรูปให้เถ้าแก่ ถ่ายไปหลายรูปรัวๆ โจวเจ๋อก็เปลี่ยนท่าโพสหลายท่าด้วยความสนอกสนใจมากทีเดียว แต่พอเดินเข้าไปข้างในต่อ ข้างในกลับน่าเบื่อจนไม่มีอะไรให้พูดถึง ส่วนมากก็จะเป่าลมใส่คุณ ฉีดน้ำกระเซ็นเล็กน้อย จากนั้นก็ห่อตัวด้วยผ้าฝ้ายกองพะเนินให้เป็นรูปลักษณ์ของ ‘ผี’ ประกอบกับลำโพงที่ส่งเสียงทุ้มต่ำ ‘กึกๆๆ กักๆๆ’ ในที่แห่งนี้ โจวเจ๋อและอิงอิงเฉยมาก จนกระทั่งกำลังจะเดินมาถึงทางออก จู่ๆ หุ่นเชิดตัวใหญ่ก็ตกลงมาจากด้านบน และตามด้วยเสียง ‘เวย…อู่[1]!!!!!!!!!!’ ดังกึกก้องไปทั่วในเวลาเดียวกัน
หุ่นเชิดตัวใหญ่มาก ก่อนหน้านี้น่าจะแขวนเอาไว้ด้านบน รอจนคนเดินผ่านแล้วค่อยร่วงลงมา เมื่อประกอบกับผ้าใบรอบๆ และบรรยากาศที่มืดมิดด้วยแล้ว ให้ความรู้สึกคล้ายกับนายอำเภอในสมัยโบราณเปิดศาล เมื่อโจวเจ๋อเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว หุ่นเชิดก็จะถูกดึงกลับไป ซึ่งน่าจะเป็นการตั้งค่าที่กำหนดไว้แล้ว โจวเจ๋อเอื้อมมือไปจับเขาและดูป้ายด้านข้างหุ่นอย่างละเอียด ตัวอักษรบนนั้นไม่ชัดเจนราวกับว่ามันถูกคนจงใจลบออกไป โจวเจ๋อปล่อยมือ และในที่สุดหุ่นเชิดก็เด้งกลับไปอีกครั้ง
“เถ้าแก่ ตรงนี้มีตัวอักษรด้วยเจ้าค่ะ” อิงอิงดูเหมือนจะรู้ว่าเถ้าแก่กำลังตามหาตัวตนของหุ่นเชิดตัวนี้จึงชี้ไปที่ผ้าใบข้างๆ และพูดขึ้น
สิ่งที่วาดบนผืนผ้าใบคือภาพพื้นหลังของที่ว่าการในสมัยโบราณ มีม้วนคลื่นอยู่ตรงกลาง และแผ่นป้ายด้านบนเขียนไว้ว่า ตำหนักไท่ซาน!
หุ่นคอสเพลย์นี้คือพญายมไท่ซานหวังต่งหรือ
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าโจวเจ๋อไม่เคยนับ พญายมผิงเติ่งหวังลู่ตายแล้ว พญายมซ่งเฉิงหวังอวี๋ถูกพระจันทร์สีเลือดบดขยี้ดินแดนของตนจนร่างธรรมระเบิดแหลกเป็นจุณ นอกจากนี้ยังมีพญายมอีกเจ็ดตำหนักที่มาปราบอิ๋งโกวนอกเขตสะพานไน่เหอ และถูกอิ๋งโกวโจมตีร่างธรรมระเบิดแหลกทีละองค์ แต่ยังเหลืออีกองค์หนึ่ง นั่นก็คือพญายมไท่ซานหวังต่ง
ว่ากันว่าราชาแห่งไท่ซานองค์นี้เป็นเป็นเชื้อสายไท่ซานฝู่จวินส่วนที่เหลือรอดมาได้ หลังจากการหายตัวไปของไท่ซานฝู่จวินรุ่นสุดท้าย เพื่อรักษาจิตใจของผู้คนให้มั่นคงเชื้อสายของไท่ซานฝู่จวินจึงสืบทอดหนึ่งในสิบตำหนักของพญายม
จากจักรพรรดิในตอนแรก กลายเป็นหนึ่งในสิบเจ้าผู้ครองนคร
แต่ว่าครั้งก่อนเนื่องจากการปรากฏตัวของอิ๋งโกว ยมโลกจึงตกอยู่ในความวุ่นวาย มีเพียงเขาพญายมไท่ซานหวังต่งองค์นี้เท่านั้นที่รอดชีวิต
ตรงจุดนี้น่ะ เป็นเพราะโชคช่วยจริงๆ น่ะหรือ
โจวเจ๋อส่ายหน้า เขาไม่อยากอารมณ์เสียเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในตอนนี้ หลังจากเดินออกมาจากบ้านผีสิงกับอิงอิงก็ดูเวลา การแสดงรักนิรันดร์ใกล้จะเริ่มแล้ว
โจวเจ๋อและอิงอิงเข้าแถวเพื่อเข้าสู่สถานที่จัดแสดงพร้อมกัน เพราะว่าอิงอิงซื้อที่นั่งวีไอพี หลังจากเข้าไปแล้วจึงมีพนักงานบริการพาเข้าไปนั่งโดยเฉพาะ และนั่งตรงตำแหน่งที่ดีที่สุดตรงกลาง บนหน้าจอแสงขนาดใหญ่ด้านหน้าฉายบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับรักนิรันดร์ของช่องสถานีโทรทัศน์แห่งชาติวนซ้ำอย่างต่อเนื่อง
มีผู้เข้าชมจำนวนมาก เพราะเมื่อเข้าเมืองโบราณแห่งนี้ ตั๋วเมืองโบราณและตั๋วการแสดงจะถูกผูกไว้ด้วยกัน แต่ในขณะนี้ในแถวนี้ของโจวเจ๋อมีเขาและอิงอิงนั่งอยู่เพียงสองคน ถึงอย่างไรราคาตั๋วก็ต่างกันมาก อันที่จริงการนั่งในที่ธรรมดาก็ดูได้เหมือนกัน
โจวเจ๋อล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา เตรียมเช็กดูข่าวฆ่าเวลา แต่พอคิดๆ แล้วครั้งนี้ตัวเองพาอิงอิงออกมาเที่ยว เขาจะเอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร จริงๆ แล้ว ไม่มีใครเกิดมาก็คบหาเป็นแฟนกับใครเป็นเลย นี่มันเป็นหลักการที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้โง่จนถึงขั้น ‘ลิขิตให้อยู่เพียงลำพัง’ จริงๆ ขึ้นอยู่กับว่าเขาสนใจคุณจริงๆ หรือไม่ต่างหาก
อย่างน้อยในวันนี้ เถ้าแก่โจวก็เปลี่ยนไปมาก ไม่เอาแต่ใจเหมือนแต่ก่อนแล้ว
แต่ทว่าเมื่อโจวเจ๋อมองอิงอิงก็พบว่าอิงอิงดันถือโทรศัพท์มือถืออ่านนิยายอยู่ เอ่อ แถมยังอ่านอย่างสนุกเมามันโดยไม่รู้สึกว่าถูกชายหนุ่มละเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริง หากว่าเป็นแฟนสาวละก็ อิงอิงนั้นสมบูรณ์แบบมากจริงๆ เธอไม่ต้องซื้อเครื่องประทินโฉม เป็นวัยรุ่นตลอดกาล ไม่ป่วยและไม่มีประจำเดือน แต่เมื่อนึกถึงนิยายประเภทนั้นที่อิงอิงอ่าน จู่ๆ โจวเจ๋อก็ขมวดคิ้วยุ่ง ก่อนที่โจวเจ๋อจะทันได้แนะนำการสร้างอุดมการณ์ให้สาวใช้ของเขา ก็มีคนนั่งข้างโจวเจ๋อ โจวเจ๋อสังเกตเห็นแล้วแถมยังชำเลืองมองอยู่หลายครั้งทีเดียว กระทั่งทำให้การสร้างอุดมการณ์ให้สาวใช้ของเขาล่าช้าไป เพราะว่าหญิงสาวคนนี้สวยมาก อายุไม่น้อย น่าจะสามสิบต้นๆ แล้ว แต่กลับมีกลิ่นอายของผู้หญิงเต็มเปี่ยม หุ่นไม่ถึงขั้นผอมเพรียว แต่อวบกำลังดี ถ้ามากไปก็จะเลี่ยน ถ้าน้อยไปก็จะจืดชืด
หญิงสาวนำกระเป๋าของตัวเองวางไว้บนโต๊ะเล็กๆ ด้านหน้า เมื่อเห็นว่าโจวเจ๋อกำลังจ้องมองตัวเองก็พยักหน้าให้โจวเจ๋อตามมารยาท
ในตอนนี้เอง อิงอิงที่กำลังนั่งอ่านนิยายวายอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ฝั่งขวามือของโจวเจ๋อ ได้รับการแจ้งเตือนในทันใดราวกับมีเสาอากาศเสียบอยู่ในศีรษะอย่างไรอย่างนั้น!
อิงอิงหันหน้าไปมองและพิจารณาหญิงสาวคนนั้นที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือเถ้าแก่ของตัวเอง โจวเจ๋อเพิ่งจะมองเธอเสร็จ ก็เห็นสาวใช้ของตัวเองจ้องมองตรงมาที่หญิงสาว หญิงสาวสัมผัสได้ถึงสายตาของอิงอิงจึงชำเลืองมองอิงอิงและยิ้มให้ จากนั้นก็กลับไปนั่งตัวตรง สายตาจับจ้องหน้าจอใหญ่ตรงหน้า
“เถ้าแก่ ท่านชอบนางหรือเจ้าคะ” อิงอิงแนบปากใกล้ติ่งหูของโจวเจ๋อพร้อมกระซิบถาม
“หือ”
“เถ้าแก่ ท่านอยากได้ลูกไม่ใช่หรือเจ้าคะ ข้าคิดว่านางเหมาะมาก! อีกทั้งตอนนี้นมผงยังไม่ปลอดภัย นางน่าจะให้นมลูกเองได้”
“เอ่อ…”
“ยังมีอีกนะเจ้าคะ นางดูเป็นผู้ใหญ่มากด้วยเจ้าค่ะ” ขณะที่พูด อิงอิงก็เบ้ปากอย่างจนใจและพูดอย่างเป็นทุกข์มาก “ทำอย่างไรดี ข้าเพียงแต่เป็นสาวน้อยอย่างนี้ตลอดไปไม่มีวันแก่ ไม่มีวันเปลี่ยนไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีเสน่ห์เหมือนนางได้ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ เถ้าแก่”
ผู้หญิงมีความละเอียดใส่ใจ อิงอิงย่อมรู้ว่าเถ้าแก่ของเธอสนใจหญิงสาวประเภทไหนมากกว่ากัน กระทั่งบางครั้งอิงอิงก็คิดว่าเหตุผลที่เถ้าแก่ของเธอไม่แยแสต่อหมอหลินมาโดยตลอด นอกจากกลัวว่าจะนำความโชคร้ายมาสู่คนรอบข้างเหมือนมู่เฉิงเอิน ก็อาจจะรอให้หมอหลินเป็นผู้ใหญ่กว่านี้อีกหน่อยใช่หรือไม่
“อิงอิง” โจวเจ๋อกดเสียงต่ำ
“เจ้าคะ”
“ต่อไปนี้อย่าพูดเรื่องไร้สาระประเภทนี้ข้างนอกอีก ไม่งั้นอาจจะโดนตบเอาได้นะ”
ไฟเริ่มหรี่ลงอย่างช้าๆ และการแสดงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ การแสดงทั้งหมดกินเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง การร้องและเต้นให้ความรู้สึกธรรมดา แต่การแสดงบนเวทีเกี่ยวกับกองคาราวานนั้นค่อนข้างสะดุดตาทีเดียว เมื่อการแสดงเข้าสู่ช่วงสุดท้าย หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของโจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาคล้ายกับรับสายโทรศัพท์ จากนั้นก็ลุกขึ้นออกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่นาที หญิงสาวก็เดินกลับมานั่งลงตำแหน่งเดิม
ไม่นานนัก การแสดงก็จบลง ทุกคนเริ่มทยอยแยกย้าย โจวเจ๋อจูงมืออิงอิง ไม่ได้หยุดอยู่ที่นี่นานเกินไป เดินตรงไปที่ประตูจุดชมวิวเพื่อเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม ขณะที่กำลังเรียกรถอยู่ อิงอิงยื่นมือไปสะกิดโจวเจ๋อและชี้ไปทางด้านหลัง เมื่อโจวเจ๋อหันหน้าไปมองก็พบว่าหญิงสาวคนนั้นอยู่ด้านหลังพวกเขาทั้งสองคน ดูเหมือนกำลังเรียกรถอยู่เช่นกัน
“เถ้าแก่ ให้ข้าต่อยนางสลบแล้วแบกกลับโรงแรมไหมเจ้าคะ”
โจวเจ๋อเอื้อมมือไปดีดกะลาหัวของอิงอิง “ในสมองนี้วันๆ เอาแต่คิดอะไรน่ะ”
รถมาแล้ว โจวเจ๋อเข้าไปนั่งข้างในรถ ยี่สิบกว่านาทีให้หลังก็ถึงโรงแรม ทั้งสองเพิ่งลงจากรถก็เห็นรถอีกคันแล่นเข้ามาจอดหน้าประตูโรงแรม ผู้โดยสารที่ลงมาบังเอิญเป็นหญิงสาวคนนั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวเองพอดี
“ว้าว เถ้าแก่ ตอนนี้ไม่ต้องเปลืองแรงแบกกลับเลยเจ้าค่ะ”
โจวเจ๋อส่ายหน้าและไม่พูดอะไร เขาสังเกตเห็นแล้วว่ามันดูผิดปกติอยู่บ้าง ตอนที่เข้าลิฟต์ไปเมื่อประตูลิฟต์กำลังจะปิด หญิงสาวคนนั้นก็เดินเข้ามา จากนั้นเมื่อลิฟต์มาถึงชั้นแปดที่ห้องของโจวเจ๋ออยู่นั้น โจวเจ๋อและอิงอิงเดินออกมา หญิงสาวก็เดินออกมาจากลิฟต์ด้วยเช่นกัน
อิงอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หากตอนนี้ยังไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติได้ละก็ แสดงว่าการตอบสนองนั้นช้าเกินไปแล้ว
ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญที่คาดไม่ถึงอยู่มากมาย แต่โจวเจ๋อไม่เชื่อว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นกับเขา จากนั้นเมื่อรออิงอิงหยิบคีย์การ์ดออกมา ตอนที่เปิดประตูแล้วคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนั้นจะหยิบคีย์การ์ดออกมาเปิดประตูห้องตรงข้ามกับห้องของโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อหยุดฝีเท้าและหันหลังกลับมาแทนที่จะเดินเข้าไปในห้อง หญิงสาวก็หันกลับมาและเปิดประตูแง้มเล็กน้อยพลางชี้เข้าไปในห้องของตัวเอง ยิ้มและเอ่ยว่า
“อยากเข้าไปนั่งสักหน่อยไหมคะ คุณผู้จับกุมผู้ยิ่งใหญ่ของฉัน”
…………………………………………………………
[1] เวยอู่ หมายถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ เป็นคำที่ใช้ร้องเปิดศาลตามธรรมเนียมปฏิบัติขิงศาลจีนสมัยโบราณ เพื่อแสดงถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของศาลหรือกล่าวอีกในหนึ่ง เป็นการข่มขวัญให้กับนักโทษหรือคนทั่วไปเกรงกลัวอำนาจศาล ไม่กล้าโกหก ให้มองว่าศาลมีความศักดิ์สิทธิ์