ตอนที่ 576 กำจัดทิ้งอีกคน!
“ถ้าไม่มาก็ว่าไปอย่าง แต่ทุกครั้งที่มาก็มีแผนอยู่ในใจทุกครั้ง เรื่องราวในวันนี้ก็หาใช่เรื่องเลวร้ายไม่ หากว่าเป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต้าจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะใช้ประโยชน์จากแคว้นซ่งมาสะกดแคว้นเยี่ยนเอาไว้” ผู้อาวุโสลูบเคราพลางเอ่ยวาจา จากนั้นก็ใคร่ครวญแล้วร้องจุ๊ๆ ออกมา “ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเรื่องที่ลงมือสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนเมื่อครั้งก่อนหรือเปล่า หลังเกิดเรื่องครั้งนั้นขึ้นก็ดูเหมือนเขาจะเว้นระยะห่างกับซางเฉาจงให้ภายนอกเห็นเสมอ ใครๆ ก็รู้ว่าเขากับซางเฉาจงเป็นพวกเดียวกัน แต่ด้วยการเว้นระยะห่างของทั้งสองฝ่ายทำให้ราชสำนักแคว้นเยี่ยนไม่อาจพูดอะไรอย่างเต็มที่ได้ ยากที่จะผลักความรับผิดชอบเรื่องการตายของราชทูตแคว้นเยี่ยนไปให้ซางเฉาจงได้”
ซือถูเย่าพยักหน้ารับเงียบๆ ดูเหมือนเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้จริงๆ แต่ตอนนี้มิใช่เวลามาสนใจเรื่องนี้ “แจ้งไปทางเรือนรับรองอวลสุคนธาว่าไม่ต้องขวาง ถ้าพวกเขาอยากสู้กันให้ตายไปข้างก็ปล่อยให้สู้กันไป”
“ขอรับ!” ผู้อาวุโสพยักรับเล็กน้อย เร่งเดินออกไปแจ้งเรื่อง
แต่ทางคณะทูตแคว้นซ่งและคณะทูตแคว้นเยี่ยนก็เพียงทะเลาะกันอย่างดุเดือดเท่านั้น พอมอบโอกาสให้พวกเขาไปจริงๆ กลับล้วนควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
ประกอบกับมีจ้าวเซินที่ย้อนกลับมากลางคันเข้าขัดขวางไว้ จึงไม่เกิดการต่อสู้ขึ้น
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว คณะราชทูตสองแคว้นที่มีประเด็นกันอยู่ล้วนไม่รีบร้อนจากไปอีก ต่างส่งข่าวกลับไปหาทางแคว้นตัวเอง ล้วนรอคำสั่งที่ชัดเจนจากราชสำนักฝั่งตนอยู่
…..
ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ภายในโถงองอาจอันเป็นพื้นที่สำคัญทางการทหาร มีแม่ทัพนายกองเดินเข้าออกเป็นระยะ มรสุมกำลังจะมาเยือน ไพร่พลของมณฑลหนานโจวถูกโยกย้ายอยู่เนืองๆ ทำการจัดวางกำลังในพื้นที่ต่างๆ อยู่
“ท่านอ๋อง มีข่าวจากทางจินโจวพ่ะย่ะค่ะ” หลานรั่วถิงเดินเข้าสู่โถงองอาจพลางตะโกนด้วยความดีใจ
เหมิงซานหมิงและซางเฉาจงที่อยู่หน้าแผนที่เหลียวมองพร้อมกัน ไม่ได้ตอบรับความตื่นเต้นดีใจของหลานรั่วถิงเลย ล้วนแต่มองไปทางด้านหลังหลานรั่วถิงทั้งคู่
หลานรั่วถิงที่ถือจดหมายลับไว้ชะงักค้าง คล้ายจะตระหนักอะไรขึ้นมาได้ ค่อยๆ หันกลับไป มองเห็นหวงเลี่ยเจ้าสำนักเขามหายานกำลังยืนยกมือไพล่หลังอยู่หน้าผนังด้านหนึ่ง มองแผนที่อีกฉบับที่แขวนอยู่บนกำแพง
มรสุมกำลังจะมาเยือน ศึกใหญ่ที่ราชสำนักแคว้นเยี่ยนจะพุ่งเป้ามายังมณฑลหนานโจวจะปะทุขึ้นแน่นอน เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเขามหายานไหนเลยจะเฝ้าอยู่ที่สำนักได้อีก ต่างมาสมทบกับทางจวนผู้ว่าการมณฑลแห่งนี้แล้ว
หลานรั่วถิงย่อมทราบถึงจุดนี้ดี แต่ไม่คิดเลยว่าหวงเลี่ยก็อยู่ในโถงองอาจด้วย มาขลุกอยู่กับทางนี้เงียบๆ ไม่บอกไม่กล่าว ทำให้ตัวเขาที่มองไม่เห็นเผลอทำข่าวรั่วไหลออกไปเสียแล้ว
ห้องโถงที่เงียบสงัดลงในทันใดทำให้หวงเลี่ยค่อยๆ หันกลับมา หันหลังกลับมาอย่างเชื่องช้า ยิ้มน้อยๆ เอ่ยไปว่า “มีข่าวลับอันใดที่ข้าไม่สมควรได้ยินหรือไม่ ต้องการให้ข้าออกไปก่อนหรือเปล่า?”
รถเข็นหมุนกลับมา เหมิงซานหมิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักหวงคิดมากไปแล้ว ไม่เป็นไรเลย”
หลานรั่วถิงตอบสนองตามทันที แสร้งเอ่ยอย่างโล่งใจว่า “ทำเอาข้าตกใจหมด ข้าก็นึกว่าข้างหลังข้ามีอะไรซ่อนอยู่เสียอีก ที่แท้ก็เจ้าสำนักหวงนี่เอง”
เหมิงซานหมิงยิ้มน้อยๆ “ในหนานโจวไม่มีความลับใดที่ไม่อาจให้เจ้าสำนักหวงทราบเรื่องได้ เสี่ยวหลาน เอาให้เจ้าสำนักหวงอ่านก่อน” เขาพยักเพยิดหน้าให้หลานรั่วถิงมอบจดหมายลับให้อีกฝ่าย
เท่าที่เขาเห็นจากท่าทีของหลานรั่วถิง คาดว่าน่าจะมีข่าวดีอันใดแน่ สำหรับสถานการณ์ของหนานโจวในยามนี้ ข่าวดีที่สามารถทำให้หลานรั่วถิงดีใจได้เช่นนี้ คาดว่าคงจะเป็นข่าวดีสำหรับสำนักเขามหายานเช่นกัน
เขาตอบสนองได้เร็วมากเช่นกัน รับมือกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
พอเห็นเหมิงซานหมิงเอ่ยมาเช่นนี้แล้ว ซางเฉาจงจึงพยักหน้าตามนิดๆ
ขณะที่หลานรั่วถิงกำลังจะเดินเข้าไปยื่นจดหมายให้ หวงเลี่ยกลับหัวเราะโบกมือพลางเอ่ยว่า “ข้าก็พูดไปเรื่อยเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใด จะได้อ่านก่อนหรืออ่านทีหลังก็ไม่สำคัญเลย อาจจะเป็นเรื่องเร่งด่วนด้านการทหาร อาจารย์หลานมอบให้ท่านอ๋องและแม่ทัพเหมิงอ่านก่อนเถิด อย่าให้เสียงานเลย ข้าไม่เข้าใจเรื่องการศึก ขอดูอยู่ด้านข้างก็พอแล้ว”
เขาก็แสดงออกถึงความใจกว้างเช่นกัน เลี่ยงไม่ให้สำนักเขามหายานของเขาถูกมองว่าเพิ่งมาถึงก็วางอำนาจข่มคนเขาแล้ว ถึงอย่างไรสำนักเขามหายานก็มิได้มีส่วนร่วมค้ำจุนทางนี้ขึ้นมาเลย ระหว่างทั้งสองฝ่ายยังมีขอบเขตแบ่งแยกกันอยู่เล็กน้อย ประกอบกับมีหนิวโหย่วเต้าเป็นรั้วหนามคั่นกลางอยู่ ยังคงต้องให้เกียรติกันสักหน่อย เลี่ยงไม่ให้ถูกทุกฝ่ายเดียดฉันท์
หลานรั่วถิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เหมิงซานหมิงก็ไม่ดึงเชิงอีก ใช้สองมือตนหมุนล้อเข้ามาหาด้วยตัวเอง ซางเฉาจงก็เดินตามมาเช่นกัน หลานรั่วถิงยื่นจดหมายให้ซางเฉาจงก่อน
อันที่จริงหวงเลี่ยสนใจเนื้อหาในจดหมายลับเป็นอย่างมาก เป็นเนื้อหาเช่นใดกันที่ทำให้หลานรั่วถิงตื่นเต้นถึงขนาดนี้ได้?
ภายในใจบ่นพึมพำ แต่ภายนอกกลับวางท่าสุขุมผ่อนคลาย หันกลับไปมองแผนที่บนผนังห้องอีกครั้ง
ซางเฉาจงที่อ่านจดหมายจบพลันอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ “ถูไหวอวี้ราชทูตแคว้นซ่งถูกลอบสังหารสิ้นชีพในเขตจินโจว ฆาตกรคือคณะราชทูตแคว้นเยี่ยน!”
“….” เปลือกตาหวงเลี่ยกระตุกเล็กน้อย ยากจะวางท่าสุขุมต่อไปได้ เขาหันมาในทันใด รีบเดินไปสมทบกับอีกสามคน
ข่าวนี้ก็ทำให้เหมิงซานหมิงร้อนใจขึ้นมาแล้วเช่นกัน รีบรับจดหมายไป หลังอ่านจบก็ลูบเคราขบคิด
“แม่ทัพเหมิง!” หวงเลี่ยลองยื่นมือขอดู
“โอ้ เจ้าสำนักหวงเชิญอ่านได้เลย” เหมิงซานหมิงได้สติกลับมา รีบยื่นจดหมายส่งให้ด้วยสองมือทันที
หวงเลี่ยสะบัดแขนเสื้อสองข้างด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง ยื่นสองมือออกไปรับเอาจดหมายเช่นกัน เป็นการให้เกียรติต่อเหมิงซานหมิง
หลังจากอ่านจดหมายจบ เขามีเรื่องประหลาดใจอยู่สองข้อ ข้อแรกคือเรื่องลอบสังหาร อีกข้อคือจดหมายฉบับนี้ส่งมาจากหนิวโหย่วเต้า
เขาถามออกไปทันที “หนิวโหย่วเต้าอยู่ที่จินโจวหรือ?”
ทางเขาส่งจดหมายหาหนิวโหย่วเต้าอย่างต่อเนื่อง แต่หนิวโหย่วเต้าไม่สนใจทางเขาเลย ประกอบกับสำนักเขามหายานเพิ่งย้ายมายังมณฑลหนานโจว ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานในโครงสร้างภายในของมณฑลหนานโจวอย่างสมบูรณ์ ไหนเลยจะมีแก่ใจไปสนใจเรื่องราวภายนอก ขณะนี้ยังไม่มีการจัดวางสายข่าวใดๆ ไว้ในมณฑลจินโจว ดังนั้นจึงไม่ทราบเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าอยู่ในมณฑลจินโจว
หลานรั่วถิงกล่าวว่า “มองจากวันที่ในจดหมายและช่วงเวลาที่เกิดเรื่อง มีความเป็นไปได้สูงว่าเต้าเหยี่ยจะอยู่ในจินโจว”
พอเห็นเนื้อความในจดหมายก็ทราบดีว่าปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว ได้แต่พลิกแพลงไปตามสถานการณ์เท่านั้น
เขานึกเสียใจอย่างยิ่ง เสียใจที่ดีใจจนเกินไป เข้ามาโดยไม่สังเกตเลยว่ามีคนทั้งคนอยู่ด้านข้าง ไม่ทราบเช่นกันว่าความเลินเล่อของตนจะทำให้เต้าเหยี่ยเสียงานหรือไม่
ความจริงทางนี้รู้แต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต้าอยู่ที่มณฑลหนานโจว แต่คนของสำนักเขามหายานเอาแต่สอบถามถึงที่อยู่ของหนิวโหย่วเต้าอยู่เรื่อย ทางนี้เห็นว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ได้แจ้งสำนักเขามหายานไว้ คิดว่าน่าจะมีเหตุผลอันใดอยู่ย่อมแสร้งทำเลอะเลือนด้วยเช่นกัน บอกปัดไปว่าไม่ทราบ
กล่าวทำนองว่ายามที่หนิวโหย่วเต้าออกเดินทางมักจะไม่ยอมบอกต่อภายนอกว่าไปที่ไหน ทำตัวดั่งมังกรเห็นหัวไม่โผล่หาง ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ออกจากจวนผู้ว่าการแล้วกลับไปยังจังหวัดชิงซานก็ไม่ทราบเช่นกันว่าอีกฝ่ายไปที่ใดต่อ
ตอนนี้หวงเลี่ยหาได้ใส่ใจเรื่องนี้ไม่ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกับหนิวโหย่วเต้า เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอก ถึงพูดออกไปก็ไม่มีประโยชน์ มณฑลหนานโจวตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เรื่องบางอย่างก็ทำหลับตาข้างหนึ่งจะดีกว่า
เขากวาดตามองคนทั้งสามเล็กน้อย เอ่ยถาม “ราชทูตแคว้นเยี่ยนสังหารราชทูตแคว้นซ่งไปแล้ว มีโอกาสหรือไม่ที่ก่อให้เกิดสงครามระหว่างแคว้นซ่งกับแคว้นเยี่ยนขึ้น เมื่อราชสำนักเผชิญแรงกดดัน เป็นไปได้หรือไม่ที่จะล้มเลิกการเข้าโจมตีหนานโจว?”
ซางเฉาจงกล่าวว่า “ตามหลักแล้วจะเป็นเช่นนั้น แต่เงื่อนไขสำคัญคือท่าทีของทางแคว้นซ่ง”
หวงเลี่ยอ่านเนื้อความในจดหมายอีกครั้ง “ราชทูตแคว้นเยี่ยนสังหารราชทูตแคว้นซ่งในเวลาเช่นนี้ ข้าว่าไม่ปกติเลย” เขาเงยหน้ามองทั้งสามคนอีกครั้ง ถามไปว่า “ดูเหมือนในกาลก่อนหนิวโหย่วเต้าก็สังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนไปกระมัง? เขาอยู่ที่จินโจว การลอบสังหาราชทูตแคว้นซ่งครั้งนี้ก็เป็นฝีมือเขาด้วยกระมัง?”
เหมิงซานหมิงโบกมือพลางหัวเราะฮ่าๆ กล่าวไปว่า “ในจดหมายก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่าเป็นราชทูตแคว้นเยี่ยนที่สังหารราชทูตแคว้นซ่ง ต่อให้เต้าเหยี่ยมีความสามารถขนาดไหน ราชทูตแคว้นเยี่ยนก็คงไม่ถึงขั้นจะไปสังหารราชทูตแคว้นซ่งตามที่เขาสั่งการ เจ้าสำนักหวง เรื่องบางอย่างพวกเราพูดกันเองน่ะได้ แต่อย่าได้เอาไปพูดส่งเดชด้านนอกจะดีกว่า”
หวงเลี่ยพยักหน้ารับ “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว”
หลังจากทั้งสองฝ่ายสนทนาหารือกันอยู่พักหนึ่ง หวงเลี่ยก็ไม่มีอารมณ์จะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น ต้องรีบนำไปหารือกับเหล่าผู้อาวุโสในสำนักก่อน จากนั้นก็ยังต้องส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ดูสักหน่อย
เมื่อออกมาจากโถงองอาจไป ข้อสงสัยที่เขามีต่อหนิวโหย่วเต้ายังคงไม่ลบเลือนไป ปรากฏสีหน้าคลางแคลงอย่างเห็นได้ชัด ยังคงกังวลอยู่
เหตุผลที่สงสัยมิได้มีเพียงเท่าที่เขาเพิ่งเอ่ยออกไปก่อนหน้านี้ ประเด็นสำคัญคือท่าทีของหนิวโหย่วเต้า ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าใจเย็นเกินไป คล้ายจะทราบอยู่แต่แรกแล้วว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
หากผู้ที่บงการอยู่หลังม่านคือเจ้าหนุ่มคนนั้นจริง เรื่องที่ว่าทำได้อย่างไรนั้นยังไม่ต้องไปพูดถึง ลำพังเพียงความใจกล้านี้ ก่อนหน้านี้เคยสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนไปคนหนึ่งแล้ว ตอนนี้มากำจัดราชทูตแคว้นซ่งไปอีกคน เขาคิดๆ ไปแล้วก็ปวดประสาทไปหมด หากเปลี่ยนเป็นสำนักเขามหายานของเขา ต่อให้มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น เขาก็คงไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ง่ายๆ เช่นกัน
เรื่องที่เขากังวลอยู่ในขณะนี้คือ ราชทูตของแคว้นแคว้นหนึ่งไหนเลยจะถูกลอบสังหารได้ง่ายปานนั้น สถานการณ์นี้ต่างไปจากตอนที่หนิวโหย่วเต้าสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน ครั้งนี้เป็นการดักสังหารระหว่างทางเชียวนะ! แคว้นซ่งจะสงสัยหรือไม่ว่าเป็นสำนักเขามหายานของพวกเขาระดมกำลังคนไปจัดการ สำนักเขามหายานย้ายเข้ามาอยู่ในมณฑลหนานโจว แคว้นเยี่ยนจะคุกคามมณฑลหนานโจว สำนักเขามหานยานมีเหตุผลครบถ้วนสมบูรณ์พอจะที่ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากจะไม่ให้อีกฝ่ายนึกสงสัยคงจะเป็นไปได้ยาก
แต่รายละเอียดในเรื่องราวเป็นอย่างไรเขาไม่ทราบแม้แต่น้อย เมื่อไม่ทราบรายละเอียดก็ไม่มีหลักฐานมาแก้ต่างให้ตนได้
เขาตระหนักขึ้นมาได้รางๆ ดูเหมือนสำนักเขามหายานจะถูกหนิวโหย่วเต้าลากลงน้ำไปด้วยแล้ว ซ้ำยังแก้ตัวได้ไม่กระจ่าง ไม่รู้เลยว่าภายภาคหน้าแคว้นซ่งจะมาจัดการสำนักเขามหายานอย่างไรบ้าง!
ช่วงเวลาที่เขาได้รู้จักหนิวโหย่วเต้ายังไม่นานนัก เขายังไม่ชินกับนิสัยของหนิวโหย่วเต้าที่ชอบทำงานเงียบๆ ไม่บอกให้ภายนอกได้รับรู้ หากคุ้นชินแล้วก็อาจจะดีขึ้น
ภายในโถงองอาจ ซางเฉาจง หลานรั่วถิงและเหมิงซานหมิงก็มองหน้ากันอยู่
ซางเฉาจงเอ่ยถามเสียงเบาๆ “เรื่องสังหารราชทูตแคว้นซ่งจะใช่ฝีมือของเต้าเหยี่ยหรือไม่?”
หลานรั่วถิงกล่าวว่า “เกาเซ่าหมิงยังคงมีความสามารถอยู่พอสมควร ช่วงเวลาเช่นนี้ถึงจะได้รับความคับข้องอัปยศใดๆ ก็ล้วนยอมละวางได้ทั้งสิ้น ไม่มีทางทำตัวเลอะเลือนเช่นนี้ เรื่องสังหารราชทูตแคว้นซ่งเพื่อระบายโทสะดูไม่น่าจะเป็นไปได้ เกรงว่าเต้าเหยี่ยคงมีส่วนเกี่ยวข้องเบื้องหลังเรื่องนี้อยู่ไม่มากก็น้อยพ่ะย่ะค่ะ”
เหมิงซานหมิงเอ่ยเตือนประโยคหนึ่ง “เขาเดินทางไปบัญชาการอยู่ในจินโจวก็เพื่อจะหาทางคลี่คลายวิกฤตครั้งนี้ให้ผ่านพ้นไป”
เพียงประโยคเดียวก็ปลุกสติคนที่ใจลอยกลับมาได้ ซางเฉาจงหันกลับไปมองแผนที่เจ็ดแคว้นที่แขวนอยู่บนผนัง เอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ยังต้องกำจัดทิ้งอีกคน!”
….
ณ จังหวัดชิงซาน เซี่ยฮวาและเจิ้งจิ่วเซียวกำลังเดินอยู่ในหุบเขา เงาร่างหนึ่งพลันโฉบเข้ามาสมทบ เป็นเฟ่ยฉางหลิว
“มีเรื่องใดหรือ?” เฟ่ยฉางหลิวที่เพิ่งร่อนแตะพื้นเอ่ยถาม
“ท่านอ่านเอาเองเถอะ” เจิ้งจิ่วเซียวยื่นจดหมายในมือให้เฟ่ยฉางหลิวอ่าน เขาก็เพิ่งได้เห็นจากเซี่ยฮวาเช่นกัน
เฝ้าอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ สามสำนักไม่มีทางเมินเฉยต่อสถานการณ์รอบเขตพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่แน่นอน ย่อมมีการจัดวางสายข่าวไว้ทางมณฑลจินโจวบ้าง ทางเซี่ยฮวาได้รับข่าวเรื่องที่ราชทูตแคว้นซ่งเผชิญการลอบสังหารก่อนเป็นคนแรก
หลังจากเฟ่ยฉางหลิวอ่านจบก็พูดไม่ออก มองไปที่คนทั้งสองลองถามออกไป “จินโจวมีราชทูตตายไปอีกคนแล้ว ในช่วงเวลาเช่นนี้แคว้นเยี่ยนจะก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้หรือ? เรื่องนี้คงจะเป็นฝืมือเจ้าของคฤหาสน์ในหุบเขาผู้นั้นกระมัง?”
อีกสองคนหันมองไปทางคฤหาสน์กระท่อมฟางพร้อมกัน แทบจะเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “พูดยาก”
….
“อิ๋นเอ๋อร์ เจ้าไม่อิ่มบ้างหรือ?”
ข้างศาลาริมน้ำ พอเห็นอิ๋นเอ๋อร์กอดกล่องอาหารนั่งกินอยู่ตรงริมราวกั้น ซางซูชิงที่เดินเข้ามาใกล้ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล นึกห่วงกระเพาะของอิ๋นเอ๋อร์
ไม่ว่าจะยามใดก็เห็นเด็กสาวคนนี้กินอยู่เสมอ กินทั้งวันเช้าจรดค่ำ นอกจากกินก็นอน เหล่าสมณะวัดหนานซานถึงกับต้องจัดเวรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็กสาวคนนี้อยู่ตลอด
อิ๋นเอ๋อร์มองนาง หัวเราะคิกๆ ส่ายหน้าแล้วยื่นขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ที่ตนกัดไปแล้วให้ซางซูชิง “เจ้ากินสิ!”
ซางซูชิงกระอักกระอ่วนขึ้นมา โบกมือบอกปัดไป “ข้าไม่หิว”
ด้วยเหตุนี้อิ๋นเอ๋อร์จึงกินต่อไป กินไปมองซางซูชิงไป ซ้ำยังหัวเราะตอบรับเป็นระยะๆ ด้วย
เป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนัก พวกหยวนกังล้วนสังเกตเห็นกันทั้งสิ้น เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่อิ๋นเอ๋อร์ได้พบซางซูชิงก็มีความเป็นมิตรต่อซางซูชิงมากเป็นพิเศษ จ้องมองใบหน้าอัปลักษณ์ของซางซูชิงอยู่นาน จู่ๆ ก็หัวเราะร่าออกมา หลังจากนั้นพอได้พบซางซูชิงก็จะยิ้มให้เสมอ ถึงขนาดที่เป็นฝ่ายวิ่งไปหาซางซูชิงเพื่อพูดคุยกับซางซูชิงก่อนด้วยซ้ำ
ต่อให้เป็นหยวนกัง ถ้าหากจะควบคุมราชินีปีศาจตนนี้ก็ยังต้องยกเอาหนิวโหย่วเต้าออกมาอ้าง ถึงจะพอฝืนบังคับให้นางยอมเชื่อฟังได้
แต่ที่น่าแปลกคือหลังจากได้รู้จักซางซูชิง ซางซูชิงพูดสิ่งใดอิ๋นเอ๋อร์ล้วนยอมเชื่อฟังทั้งสิ้น
หลังจากที่หยวนกังเฝ้าสังเกตดู เขาก็เริ่มขบคิดถึงบางสิ่งได้รางๆ แล้ว ตั้งข้อสงสัยว่าหรือเป็นเพราะใบหน้าอัปลักษณ์ของซางซูชิงค่อนข้างคล้ายกับผีเสื้ออสูร ถึงได้รับความเป็นมิตรจากราชินีปีศาจตนนี้
…………………………………………………………….