ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 145 หนึ่งยันต์สองชีพ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 145 หนึ่งยันต์สองชีพ

เสียงของชายหนุ่มยอดเขาอันดับหนึ่งบางทีอาจจะเพราะในใจฮึกเหิมเกินไป กระทั่งพลังเวทเองก็ยังทะลักมาที่คอหอย จนทำให้คอหอยแผดเสียงแตกเลยทีเดียว

เผยความแผดแหลม ความเวทนา สะท้อนก้องไปทั้งฟ้า

ผู้บำเพ็ญหลายสิบคนทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอยู่ห่างออกไปล้วนได้ยินเสียงแผดที่มาจากชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่ง

สวี่ชิงเองก็หน้าเปลี่ยนสี ถอยกรูดทันควัน

สิ่งที่ทำให้เขาถอยหลังไม่ใช่แค่คำพูดประหลาดของชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่ง แต่ยังมี…สายตาอีกนับสิบสายที่การเอ่ยปากของอีกฝ่ายดึงดูดมา

ผู้บำเพ็ญบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปเหล่านี้ล้วนราวกับเป็นเทพเจ้าในสายตาสวี่ชิง ทั่วทั้งตัวปล่อยกลิ่นอายที่ต่อให้อยู่ห่างถึงเพียงนี้ก็ยังทำให้ในร่างกายเขาถึงกับปั่นป่วนก่อนหน้า กระอักเลือดสดออกมา

และในตอนนี้ พวกเขาก็พากันมองมา…

สวี่ชิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เปิดเกราะคุ้มกันของเรือเวทขึ้นทั้งหมดในเวลานี้ และล้วงเอาของวิเศษอักขระคุ้มกันออกมาอีกไม่น้อย กระทั่งขณะที่โบกมืออสูรคอยาวบรรพกาลก็ยังปรากฏออกมาปกคลุมเขาไว้

พริบตาต่อมา แรงกดดันที่แสนน่ากลัวยากพรรณนาและเหนือที่จะจินตนาการออกหลายสายก็เข้ามาใกล้ หัวสมองสวี่ชิงอื้ออึงไปทันที อสูรคอยาวบรรพกาลพังทลาย ของวิเศษอักขระของเขาก็พังสลายลงเช่นกัน

ยังดีที่เรือเวทของเขาไม่ธรรมดา มีความเป็นเทพอยู่ ดังนั้นเวลานี้แม้เกราะคุ้มกันจะพังทลายไป แต่ตัวเรือยังอยู่ดี 艾琳小說

ขณะที่ร่างของสวี่ชิงสั่นสะเทือน แม้จะกระอักเลือดออกมาสองทีก็ตาม แต่เกราะคุ้มกันของเรือเวทก็ก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง และตอนที่กำลังเพิ่มความเร็วถอยอย่างต่อเนื่องก็ปลดเปลื้องแรงกดดันของสายตาเหล่านี้ลง

ส่วนอัจฉริยะฟ้าประทานยอดเขาลำดับหนึ่งก็กระอักเลือดเวลานี้เช่นกัน สิ่งของรักษาชีพที่คุ้มครองอยู่ภายนอกแตกหักไปถึงสามชิ้น ทั้งตัวกระอักเลือดออกมาเจ็ดแปดครั้ง กระทั่งกระบี่สีเลือดก็ยังแตกกระจาย และยังล้วงเอาโล่ที่ไม่ธรรมดาใบหนึ่งออกมาต้านทาน แต่ก็ยังแตกยับไปด้วยเช่นกัน

การต้านทานเช่นนี้ถึงทำให้เขาเลี่ยงออกจากแรงกดดันทางสายตาบนท้องฟ้ามาได้

สวี่ชิงในใจยังพรั่นพรึง ถอยหลังพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าไปด้วย

บนท้องฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนสี มหาสมุทรลมพายุก่อตัวส่งเสียงครืนครันไปทั่วสารทิศจากการลงมือของทั้งสองฝ่าย

ในร่างเงาเหล่านี้ สวี่ชิงมองเห็นเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ด และมองเห็นตัวตนอีกหกคนที่แม้จะสวมชุดคนละสีแต่พลังระดับเดียวกันอยู่ข้างๆ เขา

สำหรับสถานะของคนเหล่านี้ สวี่ชิงไม่จำเป็นต้องไปคาดเดา ในใจก็มีคำตอบอยู่แล้ว

พวกเขาน่าจะเป็นเจ้ายอดเขาแต่ละแห่งของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

และคนที่ต่อสู้กับเขาอย่างไม่เสียเปรียบกันนั้น ก็คือเผ่าสิงซากสมุทร

สวี่ชิงเคยเห็นเผ่าสิงซากสมุทรมาแล้วในเกาะเงือก ตอนนี้ขณะที่เขากำลังฝืนอาการเสียดแทงดวงตาทั้งสองกวาดตามอง เขามองเห็นว่าเผ่าสิงซากสมุทรเหล่านั้นมีรูปร่างมนุษย์ แต่ละคนสวมชุดเกราะสีดำ ในดวงตาเผยเปลวไฟสีดำ พิษศพบนตัวแผ่กระจาย แรงกดดันโถมผืนฟ้า

นอกจากนี้ รอบๆ ทั้งสองฝ่ายยังมีผู้บำเพ็ญบางส่วน ผู้บำเพ็ญเหล่านี้เทียบกันแล้วแม้จะอ่อนแอกว่ามาก แต่ก็ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ในนี้…สวี่ชิงมองเห็นผู้อาวุโสสาม และมองเห็นผู้บำเพ็ญคล้ายๆ กันของเผ่าสิงซากสมุทรอีกด้วย

พอเห็นว่าถึงขีดสุดแล้ว ดวงตาสวี่ชิงก็เจ็บปวดจนจ้องต่อไม่ไหว ทำได้เพียงหลุบตาลง เขารู้ว่ามองต่อไม่ได้อีก ไม่เช่นนั้นดวงตาทั้งสองของเขาต้องแหลกสลายเป็นแน่ ร่างกายเองก็รับไม่ไหวแล้วเช่นกัน ความห่างชั้นของทั้งสองฝ่ายมีมากเกินไป

ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้ามีเสียงคำรามต่ำเสียงหนึ่งส่งมา ชายชราชุดนักพรตสีแดงคนหนึ่งทางฝ่ายเจ็ดเนตรโลหิตโบกมือฉับพลัน รอบตัวเขามีกระบี่เล่มใหญ่สีทองหลายเล่มก่อตัวขึ้น หลังจากบีบให้สิงซากสมุทรที่เขาต่อสู้ด้วยอยู่ถอยร่นไป เขาจึงรีบโยกตัวพุ่งตรงมาทางสวี่ชิงกับชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่ง

ชายชราคนนี้ใบหน้าแดงก่ำเหมือนชุดของเขา ในร่างกายก็เหมือนมีมนุษย์เพลิงราวกับดวงตะวันร้อนแรงคนหนึ่งอยู่ ดูแล้วน่าสะพรึงอย่างมาก พลังราวกับเป็นสายรุ้ง เปลวไฟอันเข้มข้นปล่อยออกมาจากร่างเขาต่อเนื่อง

พอเห็นเป็นเช่นนี้ ดวงตาชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งก็เผยความตื่นเต้นออกมา แผดเสียงดังขึ้นว่า

“นำเส้นทางใหม่สู่สมุทรกว้างไกล ตะวันอัสดงผ่านอีกวัน!!!”

“เจ้าศิษย์เลวที่ไม่พูดภาษาคนอย่างเจ้า ยังไม่รีบหนีไปอีก อยู่ที่นี่หาเรื่องตายหรือไรกัน!” ชายชรายอดเขาลำดับหนึ่งที่รีบเข้ามาจากบนท้องฟ้า เอ่ยตะคอกเสียงต่ำ หันหน้ากลับฟาดกระบี่ขวางไปทีหนึ่ง ต้านทานกับการปะทะของเผ่าสิงซากสมุทรที่เขาปลีกตัวออกมา

เพียงพริบตา ทั้งสองฝ่ายยิ่งสู้ก็ยิ่งห่าง กำลังจะออกจากพื้นที่นี้อยู่แล้ว

สวี่ชิงพอได้ยินเช่นนี้ ม่านตาก็หดลง เรือเวทด้านล่างเร่งความเร็วขึ้น ขณะที่กำลังบึ่งก็เว้นระยะห่างออกมา

และชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักก็ร้อนรนขึ้นมา เขารู้อยู่เต็มอกว่านี่เป็นเวลาสำคัญ หากอาจารย์ออกห่างล่ะก็ตนเองต้องตายแน่ๆ ก็เลยอดกลั้นจนหน้าแดงก่ำ ดวงตาเส้นเลือดแผ่ซ่าน ตะโกนเสียงดังขึ้นฟ้า

“อาจารย์ช่วยข้าด้วย เจ้าเด็กจากยอดเขาลำดับเจ็ดคนนี้ไล่สังหารข้ามาสิบวันสิบคืนแล้ว ถ้าเขาสังหารข้าไม่ได้ก็จะไม่เลิกรา อาจารย์อย่าเพิ่งไป ช่วยข้าด้วย!!”

สวี่ชิงเองก็ไม่ลังเล เรือเวทใต้ตัวส่งเสียงอื้ออึง ดำลงน้ำฉับพลัน พุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วสู่ทะเลลึก

ชายชรายอดเขาลำดับหนึ่งบนท้องฟ้าตะลึงงัน ทั้งใบหน้าประหลาดใจ เขารู้ดีว่าศิษย์ปิดด่านที่ตนเองรับมาคนนี้เมื่อรู้ว่าจักรพรรดิโบราณแห่งความมืดชอบเอาสัจธรรมลี้ลับซ่อนไว้ในบทกลอนก็ทำตัวประหลาดไป ไม่ค่อยจะพูดภาษามนุษย์ แต่ละคำแต่ละประโยคล้วนกลายเป็นบทกลอนที่ไม่ได้สัมผัสคล้องจองขึ้นมาแทน

เขาจำได้ว่าครั้งที่แล้วที่อีกฝ่ายพูดภาษามนุษย์ คือสามปีก่อนหน้า

สายตาจึงพุ่งราวสายอัสนีไปยังทิศทางที่สวี่ชิงกำลังหลบหนี

แม้จะคั่นด้วยน้ำทะเล แต่สวี่ชิงที่ดำลงน้ำก็ยังจิตวิญญาณครืนครันภายใต้สายตาของอีกฝ่าย ร่างกายสั่นสะเทือนอย่างควบคุมไม่อยู่ ทั้งตัวราวกับสูญเสียงพลังในการเคลื่อนไหวทั้งหมดไปในตอนนี้ เหมือนว่าทั้งตัวถูกพันธนาการเอาไว้ ความเป็นความตายแขวนอยู่บนเส้นเชือก

“เจ้า…” เจ้ายอดเขาลำดับหนึ่งกำลังจะเอ่ยปากพูด

“ก็แค่เด็กน้อยทะเลาะกัน” ตอนนี้เอง เสียงเรียบเสียงหนึ่งดังลอดมาจากบนท้องฟ้า

คนที่พูด ก็คือเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดที่ยืนอยู่บนเรือศึกบรรพกาลต่อสู้เพียงลำพังกับเผ่าสิงซากสมุทรด้วยความสบายใจ

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งหน้าเปลี่ยนสี

เจ้ายอดเขาลำดับหนึ่งกลับสีหน้าปกติ คำพูดที่ไม่ทันได้พูดออกมาเมื่อครู่ ก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนแปลงความนัยไปหรือยัง เอ่ยต่อมาว่า

“พวกเจ้าสองคนก็น่ารำคาญเสียจริง นี่มันเวลาใดแล้ว ยังจะมาสู้กันเองอีก!” พูดพลาง เขาก็โบกมือโยนยันต์สีทองใบหนึ่งออกมา ยันต์นี้เหมือนเป็นของวิเศษอักขระ แต่ความรู้สึกที่ให้กลับเกินเลยไปมากกว่าร้อยเท่า เวลานี้พุ่งตรงไปยังผืนทะเลที่สวี่ชิงดำลงไป

ตอนที่เข้าใกล้ตัวยันต์ก็แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมุดทะเลไล่ตามสวี่ชิงลงไป ทะลวงเกราะคุ้มกันเรือเวท แปะเข้าไปบนตัวเขา อีกครึ่งหนึ่งก็ไม่สนใจความหวาดกลัวของชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่ง ตบเข้าไปบนหน้าของเข้าจังๆ

พริบตาที่ตัวยันต์แปะลงไป สวี่ชิงกับชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งก็ร่างกายสั่นสะเทือน ครู่ต่อมาอักขระสลายหาย ก่อนตัวขึ้นเป็นลวดลายตราประทับสีทองอยู่บนผิวหนังพวกเขา

ตราประทับนี้พอมองอย่างละเอียด ก็เหมือนมีต้นกำเนิดจากแหล่งเดียวกัน

“นี่คือยันต์พันธะชีวิน บาดเจ็บไม่เป็นไร แต่ถ้าตายขึ้นมา อีกคนหนึ่งก็จะวิญญาณหายมลายสูญด้วยเช่นกัน พวกเจ้าอยากจะฆ่ากันก็ตามสะดวก ถ้าไม่อยากฆ่ากันแล้วก็รีบไสหัวกลับสำนักไปเสีย พอกลับไปแล้วการพันธะชีวินจะคลายลงเอง!”

ชายชรายอดเขาลำดับหนึ่งแผดเสียงต่ำ กระพือคลื่นโถมฟ้าพัดเอาสวี่ชิงกับชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งผลักครืนครันห่างออกไป จากนั้นก็โยกตัวพุ่งเข้าไปในกลุ่มผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทร ฟาดกระบี่ขวาง จัดการตัดขาผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนหนึ่งไปครึ่งท่อน

เผ่าสิงซากสมุทรนั้นยังขยับอยู่ แต่พอปราณกระบี่ระเบิด ครึ่งท่อนล่างของเขาก็พังทลายลงในพริบตา

พอเสร็จสิ้นเหล่านี้ เขาก็ถูกเผ่าสิงซากสมุทรระดับเดียวกันเข้าสกัด กลุ่มคนทั้งสองฝ่ายยิ่งต่อสู้บนท้องฟ้าก็ยิ่งห่างไกลออกไป

เหนือผืนทะเล จากคลื่นที่กระเพื่อมขึ้นลง สีหน้าปั้นยากของสวี่ชิงก็ลอยขึ้นมาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นมองตราประทับที่ปรากฏขึ้นบนท่อนแขน

ตราประทับนี้ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นบนท่อนแขน ทว่าทั้งตัวบนล่างก็มี

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักก็เช่นกัน เพียงแต่ที่แตกต่างจากสวี่ชิงคือสีหน้าของเขาไม่ได้ปั้นยากนัก แต่มีท่าทีถอนใจโล่งออกมา กระทั่งร่างยังโงนเงน ล้วงเอากระบี่ใหญ่ที่หักไปแล้วครึ่งหนึ่งออกมานั่ง และเข้ามาข้างๆ เรือของสวี่ชิง

สวี่ชิงมองเขาเย็นชา จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า

“เจ้าชื่ออะไร”

“ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอย่างเสรี สวมหน้ากากเดินสู่สุดขอบฟ้า” ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งมองสวี่ชิง เอ่ยตอบเสียงเรียบ

สวี่ชิงจิตสังหารในใจเริ่มทนไม่ไหว มือขวายกโบกทันควัน ทันใดนั้นกริชที่เกิดขึ้นจากเพลิงดำเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา จากนั้นจึงพุ่งตัวไปทางชายหนุ่ม

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง แต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวอาจารย์ จึงฝืนตัวไม่โยกหนี ยอมให้กริชพุ่งมาบนคอของเขา พอเห็นว่ากำลังจะกรีดปาด สวี่ชิงกลับสัมผัสได้ถึงวิกฤตความเป็นความตายที่รุนแรงวูบหนึ่งขึ้นมา

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงนิ่งงัน ยืนยันว่ายันต์พันธะชีวินนี้ช่างน่าตกตะลึงจริง

ตนเองไปจะไปสังหารอีกฝ่ายขณะที่มียันต์พันธะชีวินไม่ได้จริงๆ ส่วนเรื่องจะเล่นงานเขาให้ม่อยกระรอกหรือทรมานเพื่อทำลายพลังบำเพ็ญของเขาก็ไม่มีความหมาย

ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามากเกินไป ด้วยความโหดเหี้ยมของคนผู้นี้ การจะฆ่าตัวตายก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

คนผู้นี้พลังต่อสู้ไม่ธรรมดา เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่องจะยิ่งยุ่งยาก และหลังจากที่สวี่ชิงชั่งน้ำหนักในใจก็ระงับจิตสังหารลง ชำเลืองมองชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งผาดหนึ่ง เก็บกริชลงแล้วกลับไปยังเรือเวท

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งคนนี้ก็ฟื้นขึ้นมาจากอาการสั่นกลัวก่อนหน้าจากการที่สวี่ชิงออกห่างบ้างแล้ว เมื่อครู่นี้เขาเองก็พรั่นพรึงอย่างที่สุด วิกฤตความเป็นความตายก็รุนแรงขึ้นเช่นเดียวกัน

และบรรพชนสำนักวัชระที่อยู่ด้านในเหล็กแหลมสีดำ เวลานี้ก็สูดลมหายใจอยู่ในเหล็กแหลมสีดำ มองไปทางเจ้ายอดเขาเจ็ดเนตรโลหิตที่ห่างออกไป ในใจก็เต็มไปด้วยความทอดถอนใจ

‘ทำไมข้าคิดจุดนี้ไม่ออกกัน!! ทำแบบนี้ก็ได้นี่นา!!!’

ส่วนสวี่ชิงทางนี้ หลังจากกลับมาถึงเรือก็นั่งลงขัดสมาธิ ควบคุมเงาส่วนหนึ่งมาปกคลุมบนตัว แล้วให้มันปล่อยไอพลังประหลาดออกมา ทดสอบกัดกร่อนร่างกายตนเอง

วิธีการนี้ เป็นวิธีที่เขาสามารถคิดออกเพื่อจะลบยันต์พันธะชีวินออกไป

เพียงไม่นานเขาก็หรี่ตาลง ยันต์พันธะชีวินปรากฏแววหม่นลงมาภายใต้การปกคลุมและกัดกร่อนของเงาเพียงแต่ว่าขั้นตอนดูเชื่องช้าเหลือเกิน

แต่อย่างน้อยก็ยังได้ผล

สวี่ชิงจึงไม่สนใจชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งอีก ตอนนี้เขาค่อยๆ กัดกร่อนไปด้วย พลางล้วงเอาตำราไม้ไผ่ชิ้นหนึ่งออกมา คว้าจับเหล็กแหลมสีดำ เริ่มทำการสลักลงไป

จากการสลัก บรรพชนสำนักวัชระลืมตาโพลง

เขามองเห็นชื่อบนตำราไม้ไผ่

โดยเฉพาะชื่อบรรพชนสำนักวัชระที่เรียงอยู่แถวบนสุด ทำให้เขาใจเต้นขึ้นมา เกี่ยวกับบันทึกหนี้แค้นของสวี่ชิง เขารู้จักเป็นอย่างดี

และสิ่งที่ทำให้เขาสั่นระริกมากที่สุด ก็คือเขาพบว่าชื่อของตนเองแม้จะถูกขีดไปแล้ว แต่ก็ยังแตกต่างกับการขีดของชื่ออื่นอยู่ คนอื่นล้วนถูกขีดออกไปสามครั้ง แต่ของตนเองกลับขีดไปเพียงครั้งเดียว ซ้ำยังเจือจางมากอีกด้วย

“นี่ไม่ใช่หมายความว่ายังคิดจะเล่นงานข้าให้ตายอีกหรือ!” บรรพชนสำนักวัชระตกตะลึง เขารู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องรีบพยายามเปลี่ยนตัวให้มีประโยชน์โดยเร็วที่สุดเสียแล้ว เพื่อให้ขีดบนชื่อของตนเองมีเพิ่มมากขึ้นอีกสักขีด

ขณะเดียวกัน เขาก็มองเห็นสวี่ชิงเวลานี้เขียนชื่อใหม่ลงไป

‘เจ้าโง่’

บรรพชนสำนักวัชระแอบเหลือบมองไปทางชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่ง รู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งเวลานี้ ในใจถอนใจยาวออกมา แอบคิดว่าถ้าหากไม่พบกับอาจารย์ เกรงว่าครั้งนี้ตนเองคงจะมอดม้วยไปแล้ว

นอกเหนือจากนี้เมื่อครู่ตอนที่เห็นผู้อาวุโสเจ็ดเอ่ยปาก ในใจก็อดเกิดการคาดเดาขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นพอสังเกตถึงการกระทำทางสวี่ชิงก็ยิ่งเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นที่ร้อนแรงขึ้นมาอีก

แต่เขาก็รู้เรื่องบทกลอนไม่มากนัก ปกติก็ล้วนแต่งมั่วๆ ขึ้นมาเอง ครั้งนี้เรื่องที่อยากจะถามก็มีมากเหลือเกิน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรจะเรียบเรียงคำพูดอย่างไร

ครู่ต่อมา ก็ยังเค้นมาได้ประโยคหนึ่ง

“ค่ำคืนฝนหลับไม่ลงสดับเสียง ครั้นเทพเซียนบนแผ่นฟ้าคือบิดาเจ้า?”

สวี่ชิงไม่สนใจชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งที่สมองมีปัญหาคนนี้ หลังจากสลักคำว่าเจ้าโง่ลงไปแล้ว ก็เก็บตำราไม้ไผ่เข้าไปในถุงเก็บของ เปิดเกราะคุ้มกันเรือเวท จัดการกั้นอีกฝ่ายไปด้านนอกในพริบตา

จากนั้นจึงเงยหน้าคิดกำลังจะประกบปางมือออกจากที่นี่ แต่ตอนนี้เอง…ที่ขอบฟ้าห่างไกล ก็มีเสียงแหลมคมเสียงหนึ่งแว่วมา

สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทันที และเห็นว่าทิศที่ห่างออกไปของเจ็ดเนตรโลหิตกับเผ่าสิงซากสมุทรทางนั้น มีศพที่เหลืออยู่ครึ่งท่อนของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับหลอมตันเถียน ร่วงลงมาฉับพลันจากท้องฟ้า ตกลงไปในทะเล ขณะที่ก่อเสียงครืนครันขึ้นในมหาสมุทร ศพของเขาก็จมดิ่งลงไป

สวี่ชิงสายตาจ้องเขม็ง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท