บทที่ 168 บรรพาจารย์ร้อนรนเสียแล้ว
ติงเสวี่ยพอได้ยินก็ล้วงเอาตราหยกออกมาทันที มองไปทางสวี่ชิง
เพียงแค่สวี่ชิงส่งสัญญาณ นางก็จะส่งสื่อเสียงขอความช่วยเหลือ
สวี่ชิงไม่พูดอะไร ตั้งใจฟังอย่างละเอียด จนรออยู่พักหนึ่ง เสียงที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนในอุโมงค์ลับก่อนหน้าก็ดังลอดมาอีกครั้งเป็นรอบที่สอง
“ท่านพ่อ รีบกลับบ้านเถิด…”
เสียงยังคงเต็มไปด้วยความคิดคะนึง อารมณ์นี้รุนแรงมาก ทั้งๆ ที่เสียงราวกับว่าลอดมาจากอุโมงค์ลับกลับให้ความรู้สึกเหมือนร้องเรียกอยู่ข้างหู ทำให้คนรู้สึกเหมือนมีภาพลอยขึ้นมาตรงหน้าได้เลย
สวี่ชิงดวงตาเผยแววครุ่นคิด เขาสัมผัสถึงคลื่นอันตรายใดในอุโมงค์ลับไม่ได้ และในการสัมผัสก็ตรวจสอบความเย็นเยียบของสิ่งประหลาดไม่ได้เลย แต่ก็ยังจุดไฟชีวิตขึ้นฉับพลัน เปิดสภาวะแสงนภาขึ้น
ในช่วงเวลาเกือบเดือน ตอนนี้ก็เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงเปิดสภาวะแสงนภาต่อหน้าติงเสวี่ย อันตรายก่อนหน้าที่พบทั้งหมด สำหรับเขาแล้วสภาวะปกติยังจัดการไหว
เวลานี้ติงเสวี่ยกับเจ้าจงเหิงล้วนสูดปากจากการระเบิดอย่างรุนแรงของพลัง ถอยหลังออกมาด้วยสัญชาตญาณ ดวงตาทั้งคู่เจ็บปวดขึ้นมาจนไม่กล้ามองตรงๆ
ติงเสวี่ยยังดี แม้จะลืมตาไม่ขึ้นแต่ในใจก็ยินดีมากกว่าความตกตะลึง แต่เจ้าจงเหิงทางนั้นกลับหน้าเปลี่ยนสี แผนการที่สร้างขึ้นในใจก็แทบจะพังทลายลงอีกครั้งในตอนนี้
‘ใครบอกว่าคนที่ยืนอยู่ในแสงจึงจะเป็นวีรบุรุษ ใจจริงของข้า แตกต่างจากผู้อื่น!’ เจ้าจงเหิงหายใจหอบถี่ ในใจคำรามเสียงต่ำให้กำลังใจตนเอง
สวี่ชิงไม่รู้ว่าในใจติงเสวี่ยกับเจ้าจงเหิงคิดอะไร และเขาก็ไม่ได้สนใจ เวลานี้เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยจากการเปิดสภาวะแสงนภา ร่างกายพุ่งตรงไปข้างหน้าฉับพลัน เหยียบเข้าไปในอุโมงค์ลับ
เมื่อเข้าไป ความเร็วสวี่ชิงน่าตกตะลึง หวีดหวิวเข้าไปยังส่วนลึกของอุโมงค์ลับ ทุกจุดที่แล่นผ่านกระพือเสียงระเบิดตึงตังขึ้น เสียงสะท้อนก้องเป็นทอดๆ ขึ้นในอุโมงค์ลับแคบๆ
ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ว่าพิษศพในไอพลังประหลาดนี้กำลังสลายลงไปอย่างรวดเร็วจริงๆ เหมือนระเหยไปหลังจากตาย
สวี่ชิงเหมือนครุ่นคิด ในพริบตาก็มาถึงปลายสุดของอุโมงค์ลับ สายตากวาดมองรอบๆ อย่างรวดเร็วราวสายอัสนี
ที่นี่เหมือนเป็นที่ซ่อนตัวง่ายๆ แห่งหนึ่ง
ในมุมมีร่างของเผ่าสิงซากสมุทรอยู่ร่างหนึ่ง ภายนอกเหมือนชายชราเผ่ามนุษย์พิงมุมกำแพงตายไปแล้วตอนนี้
ตัวศพมีรอยแผลที่น่าสยดสยองหลายแห่ง โดยเฉพาะตำแหน่งตันเถียนก็ยิ่งดูเหวอะหวะ อาการบาดเจ็บจุดนั้นถือเป็นจุดที่อันตรายถึงชีวิตที่สุด แทบจะทะลุออกไป ศพนี้คือตำแหน่งที่เป็นต้นกำเนิดของไอพลังประหลาดและพิษศพนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ตายไปแล้ว แต่คลื่นที่เหลืออยู่บนตัวยังคงแข็งแกร่งมาก สายตาสวี่ชิงกวาดมอง พิจารณาได้ว่าคนผู้นี้ตอนยังมีชีวิตอย่างน้อยคงจะเป็นหนึ่งไฟชีวิต
เห็นได้ชัดว่าเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้บาดเจ็บหนักระดับพลังชีวิตแทบสูญสิ้นในเกาะเงือก ยืนหยัดเข้ามาหลบอยู่ในนี้ ไม่เหลือแรงจะหลบหนีอีก ยิ่งไปกว่านั้นก็ยากที่จะฟื้นฟูกลับ สุดท้ายจึงตายลงเงียบๆ ในที่แห่งนี้
เวลาตายน่าจะยังไม่นานนัก ดังนั้นตอนที่เปิดอุโมงค์ลับก่อนหน้านี้จึงมีคลื่นพลังประหลาดแผ่ออกมา
และสีหน้าของเขาก็แตกต่างจากเผ่าสิงซากสมุทรที่สวี่ชิงเคยเห็นมาทั้งหมด แม้จะเริ่มเน่าเปื่อย แต่ยังคงมีความสับสนในสมัยยังมีชีวิตอยู่รางๆ
โดยเฉพาะในมือเขายังกำขวดทองสัมฤทธิ์ใบหนึ่งไว้แน่น
ราวกับสิ่งนี้คือสิ่งล้ำค่าที่สุดก่อนที่เขาจะตาย
ขวดใบเล็กนี้เก่าแก่มาก ถูกเปิดออกไปแล้ว ด้านในมีเสียงที่สวี่ชิงได้ยินเมื่อครู่นี้ดังออกมา
“ท่านพ่อ รีบกลับบ้านเถิด…”
เสียงอ่อนแออย่างมาก มีอารมณ์ความคิดถึงคะนึงอันเข้มข้นอยู่
และผู้อาวุโสเผ่าสิงซากสมุทรนั้น เหมือนจะเปิดขวดนี้ออกก่อนตาย ฟังเสียงนี้ซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ค่อยๆ ตายไป
คล้ายว่า นี่คือเสียงญาติของเขา
สวี่ชิงกวาดตาจากขวดไปมองรอบๆ พอยืนยันว่าที่นี่ไม่มีอันตรายแล้ว ด้านหลังของเขาก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา
คนที่เข้ามาคือเจ้าจงเหิงกับติงเสวี่ย ก่อนหน้านี้หลังจากที่สวี่ชิงเข้าไปในอุโมงค์ลับ พวกเขารออยู่ครู่หนึ่งและเห็นว่าในนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย ติงเสวี่ยจึงร้อนรนรีบวิ่งเข้ามา เจ้าจงเหิงก็ทำได้เพียงตามเข้ามา
เวลานี้เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงไม่เป็นอะไร ติงเสวี่ยจึงผ่อนลมหายใจลงแล้วสังเกตไปรอบๆ หลังจากมองที่นี่ทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้ว นางก็มองไปยังขวดในมือของเผ่าสิงซากสมุทร อุทานออกมาเสียงหนึ่ง
“ขวดจับเสียง!”
ติงเสวี่ยที่มีเบื้องหลังน่าตกตะลึง ด้านความรู้ก็เหนือกว่าผู้บำเพ็ญปกติอย่างเห็นได้ชัด เพียงผาดเดียวก็มองที่มาของขวดเล็กทองสัมฤทธิ์นั่นออก ดังนั้นหลังจากที่รู้สึกถึงสายตาสวี่ชิงที่มองมา นางรีบร้อนเอ่ยขึ้น
“ขวดจับเสียงเป็นของโบราณ พบเห็นได้น้อย มูลค่าของมันสำหรับบางคนคือประเมินค่าไม่ได้ แต่สำหรับคนที่หมู่มากกลับไร้ซึ่งมูลค่า เพราะประโยชน์ของมันมีเพียงสิ่งเดียวนั่นคือการจับเสียง หลังจากปิดไปแล้วสามารถเปิดเพื่อฟังเสียงที่จับเข้ามาได้ตลอดเวลา
“เสียงของมันเสมือนจริงมาก กระทั่งพูดได้ว่าเป็นเสียงเดิมเลยทีเดียว นี่คือจุดที่มหัศจรรย์และล้ำค่าของมัน แต่ก็อยู่ไม่ได้นานนัก พอเปิดไปนานๆ เสียงก็จะค่อยๆ สลายไป จำเป็นต้องจับมาใหม่”
พูดถึงจุดนี้ ติงเสวี่ยก็มองไปยังเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้น จากนั้นก็มองไปยังขวดจับเสียงที่เหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าที่กำแน่นอยู่ในมือเขา และเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา
“เผ่าสิงซากสมุทรล้วนเป็นพวกเผ่าต่างๆ ที่พอตายไปก็ถูกใช้วิธีพิเศษบางอย่างฟื้นคืนชีพขึ้นมา และพอกลายเป็นเผ่าสิงซากสมุทร ก็จะเหลือความทรงจำก่อนตายอยู่เศษเสี้ยวเท่านั้น
“แต่ความทรงจำนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะนิสัยที่โหดเหี้ยมของเผ่าสิงซากสมุทร ตอนที่ฟื้นคืนชีพก็เท่ากับตัดขาดจากช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ไปแล้ว น้อยมากที่จะรักษาสิ่งที่รักและล้ำค่าในสมัยที่ยังมีชีวิต
“ถ้าหากขวดใบนี้เป็นของเขา เช่นนั้นเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย เขาถึงกับรักษาสิ่งของสมัยยังมีชีวิตไว้ ขวดใบนี้ก็น่าจะเป็นของรักของเขา เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเขา
“ส่วนเสียงในขวด บางทีอาจจะเป็นลูกชายของเขาสมัยมีชีวิต แต่ไม่ว่าตอนเขามีชีวิตจะเป็นอย่างไร เขาก็กลายเป็นเผ่าสิงซากสมุทรไปแล้ว”
น้ำเสียงติงเสวี่ยมีความไม่แน่ใจ เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่แน่ใจว่าความจริงจะเป็นอย่างที่นางพิจารณาไว้หรือไม่ พูดจบก็มองไปทางสวี่ชิง
“ไม่สำคัญอีกแล้ว” สวี่ชิงส่ายศีรษะ มือขวายกมือขึ้นคว้า และขวดทองสัมฤทธิ์เล็กในมือนั่นก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือเขาฉับพลัน
เวลานี้เสียงในขวดก็อ่อนลงไปมาก หลังจากส่งเสียงเรียกครั้งสุดท้าย ก็สลายหายไปจนหมด
ติงเสวี่ยมองเจ้าจงเหิงผาดหนึ่ง สายตานี้ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงจะมองออกถึงความนัยได้ยาก แต่เจ้าจงเหิงเข้าใจทันที ตรงเข้าไปพลิกตัวค้นบนตัวเผ่าสิงซากสมุทรนี้โดยไม่ลังเล
เพียงไม่นานก็เจอถุงเก็บของใบหนึ่ง จากนั้นทั้งสามคนก็ออกมาจากอุโมงค์ลับ
สวี่ชิงเก็บขวดเก็บเสียงใบนั้นเอาไว้
ติงเสวี่ยนำเอาเรื่องที่พบในนี้แจ้งไปยังสำนัก และถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจ ส่วนสิ่งของในถุงเก็บของก็มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของสัพเพเหระ ไม่มีอาวุธเวทไม่มียันต์หยก เห็นได้ชัดว่าถูกใช้ไปจนหมดแล้ว
หินวิญญาณเองก็มีไม่กี่ร้อยก้อน ตั๋ววิญญาณสี่ห้าใบ ไม่รู้ว่าจนตั้งแต่แรกหรือซ่อนอยู่ที่อื่นอีก
สวี่ชิงชำเลืองมอง เขาหยิบขวดเก็บเสียง ส่วนอย่างอื่นก็ไม่ได้แตะต้องเลย
ขวดใบนี้สวี่ชิงไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีประโยชน์อะไรหรือไม่ แต่สิ่งของนี้เดิมทีก็มหัศจรรย์อย่างมาก สวี่ชิงรู้สึกว่ายังมีค่าอยู่บ้าง
เจ้าจงเหิงกับติงเสวี่ยเป็นคนที่บ้านร่ำรวย ไม่สนใจสิ่งของในถุงเก็บของ แต่ก็ยังจัดการแบ่งสรรปันส่วน ถึงอย่างไรจะมากจะน้อยก็ยังเป็นผลประโยชน์
เรื่องนี้จบลงจากการที่ติงเสวี่ยรายงานเรื่องในห้องลับขึ้นไปเช่นนี้แล้ว ถัดจากนี้จะมีศิษย์คนอื่นในสำนักมาจัดการเรื่องหลังจากนี้เอง
และเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ติงเสวี่ยยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเพราะการปรากฏตัวของเจ้าจงเหิง ภารกิจหนึ่งเดือนก็สิ้นสุดลง ติงเสวี่ยรู้สึกเสียดายอย่างมากกับการบอกลาของสวี่ชิง ไล่ตามมาเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“ศิษย์พี่สวี่ แนวหน้าอันตรายมากเจ้าต้องระมัดระวังตัวด้วย รักษาเอาตัวรอดถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ข้าพลังบำเพ็ญอ่อนแอ ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วย แต่ข้าจะไปขอร้องท่านน้าให้นางช่วยดูแลเจ้ามากหน่อย ถ้าเจ้าเจอกับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ก็ตรงไปหานางได้เลย
“แล้วก็ศิษย์พี่สวี่ ขอบคุณมากที่ช่วงเวลานี้ได้เจ้ามาช่วยเหลือ ข้าจะพยายามศึกษาพืชสมุนไพรให้มากขึ้นแน่นอน แล้วจะทำให้ตนเองเข้าไปในพันธมิตรเจ็ดสำนักให้ไวที่สุด พอถึงตอนนั้น ข้าก็ช่วยเหลือศิษย์พี่ด้านหญ้าสมุนไพรได้แล้ว”
ติงเสวี่ยสีหน้าตั้งใจ จากนั้นก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ส่วนวิถีพืชสมุนไพรของยอดเขาลำดับสองเจ็ดเนตรโลหิต อันที่จริงก็ยังแย่อยู่บ้าง หลังจากนี้ข้าจะต้องเก่งกาจกว่าศิษย์ยอดเขาลำดับสองแน่นอน
“ขอบคุณมาก เจ้าเองก็ดูแลตัวเองด้วย สู้ๆ” สวี่ชิงได้ยินก็รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย เขาฟังถึงความจริงใจในคำพูดของติงเสวี่ยออก ในใจรู้สึกว่าถึงแม้หนึ่งเดือนมานี้ติงเสวี่ยจะดูเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง แต่รวมๆ แล้วก็เป็นคนที่ไม่เลวเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังขยันเรียนมาก จุดหลังนี้ สวี่ชิงยอมรับอย่างมาก
ส่วนที่นางบอกว่าวิถีสมุนไพรยอดเขาลำดับสองยังแย่อยู่ แต่สวี่ชิงเองก็ยังรู้จักยอดเขาลำดับสองไม่มากนัก จึงไม่อาจวิจารณ์ได้ จึงประสานหมัดไปทางติงเสวี่ย หันหลังจากไป
ติงเสวี่ยมองแผ่นหลังสวี่ชิงหายวับไปจากสายตาอย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นจึงหันหน้าไปค้อนใส่เจ้าจงเหิง ร้องหึเย็นชา เลือกออกจากเกาะเงือกไป
นางเข้าใจดีว่าแนวหน้าอันตราย พลังบำเพ็ญของตนเองไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ต่อ
และเจ้าจงเหิงเองก็มองแผ่นหลังสะโอดสะองของติงเสวี่ย สายตาเด็ดเดี่ยวอย่างมาก เขารู้สึกว่าการพิจารณาของตนเองนั้นถูกต้อง
“เรื่องพลังบำเพ็ญนั้นไม่สำคัญ ความจริงใจและความซื่อตรงของข้าสามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง! พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงแข็งแกร่งกว่าข้าก็จริง แต่เขาบอกจะไปก็ไป แต่ข้านั้นไม่เหมือนกัน ข้าจะอยู่ข้างศิษย์พี่หญิงตลอดไป”
คิดถึงจุดนี้ เจ้าจงเหิงก็สูดลมหายใจลึกรีบเดินตามไป กลับไปกับติงเสวี่ยที่กำลังรำคาญด้วยกัน
ส่วนสวี่ชิง เขาไม่ได้ออกไปนอกเกาะเงือก
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจคุ้มครองติงเสวี่ย ผลประโยชน์ของเขาไม่ใช่แค่ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนสามใบเท่านั้น แต่ยังได้รับปณิธานพุทธองค์ที่รองเจ้ายอดเขามอบมาให้โดยเฉพาะอีกด้วย
ด้วยปณิธานพุทธองค์นี้ เขาไม่จำเป็นต้องยื่นขอก็สามารถหยุดการไปร่วมรบที่แนวหน้าได้ด้วยตนเอง ต่อให้อยู่ในภารกิจก็ยังเป็นเช่นนี้
และด้วยเหตุนี้ก็เท่ากับเขามีสิทธิ์ในการกลับไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิตได้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันหน้าที่การร่วมรบของเขาก็ยังอยู่ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากแนวหน้ามาเป็นแนวหลังเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลงานของเขารวมถึงรางวัลหลังจบสงครามก็ยังไม่ลดลงอีกด้วย
สิ่งนี้ทำให้เขามีความอิสระอย่างมาก
ปณิธานพุทธองค์นี้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสหลอมตันเถียนเองก็ยังได้รับมายากมาก มีเพียงระดับสูงอย่างเจ้ายอดเขาเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัตินี้ ดังนั้นมูลค่าของมันจึงมหาศาล
สวี่ชิงเข้าใจดีว่านี่เป็นสิ่งที่รองเจ้ายอดเขามอบให้ตนเองเพราะติงเสวี่ย
“นี่ถือเป็นบุญคุณ หลังจากนี้ข้าต้องตอบแทนติงเสวี่ย” สวี่ชิงจดจำเรื่องนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็ล้วงป้ายฐานะออกมา ตรวจสอบภารกิจด้านใน
เขาไม่คิดจะออกไปทันที ถึงแม้ภารกิจคุ้มครองติงเสวี่ยจะเสียเวลาไปถึงหนึ่งเดือน การจัดอันดับในสงครามของเขาก็ร่วงลงมาอันดับเจ็ดสิบกว่า แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าการจะเพิ่มขึ้นไปก็ไม่ยากเย็นนัก
เขาอยากจะเข้าไปห้าสิบอันดับแรก ได้รับสิทธิ์ในการใช้งานภาพสะท้อนของวิเศษเวทหนึ่งครั้ง
ดังนั้นในช่วงเวลาถัดจากนี้ สวี่ชิงจึงจมอยู่ในกับการรับภารกิจ ทุกวันวุ่นอยู่กับภารกิจแล้วภารกิจเล่า สังหารเผ่าสิงซากสมุทร หลอมวิญญาณเผ่าสิงซากสมุทร บางครั้งก็กวาดไปยังเงาบ้าง
อันดับของเขาก็ค่อยๆ ขึ้นมาที่ห้าสิบกว่า และตอนที่ห่างจากภาพสะท้อนของวิเศษเวทไม่ไกล วันนี้เอง…สวี่ชิงที่เพิ่งจะส่งภารกิจ และกำลังจะรับภารกิจถัดไป จู่ๆ สีหน้าของเขาก็กระตุก ก้มหน้าลงมองใต้เท้าของตนเอง
จากนั้นดวงตาก็เผยแววประหลาด ร่างกายไหววูบหายไปจากที่เดิม หลังจากมาถึงมุมที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง สวี่ชิงก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ 艾琳小說
“เจ้าจะพูดอะไร” เมื่อครู่นี้ เจ้าเงาส่งคลื่นอารมณ์ส่วนหนึ่งมาทางเขา
“ยกระดับ…เงียบ…ปลอดภัย…ทะลวงขั้น…” เจ้าเงาพยายามแสดงออก
สวี่ชิงหดม่านตาลง
การช่วยเหลือของเจ้าเงามีผลกับในสงครามเผ่าสิงซากสมุทรครั้งนี้มากจริงๆ ปัจจุบันหลังจากกลืนกินเผ่าสิงซากสมุทรไปมากมาย ในที่สุดมันก็จะทะลวงขั้นแล้ว สิ่งนี้ทำให้ในใจสวี่ชิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
หลังจากที่เขาจุดไฟแห่งชีวิตขึ้นที่นี่ เจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระก็ไล่ตามเขาไม่ทันอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าสำหรับเจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระ ในใจสวี่ชิงยังคงมีความระแวดระวังอยู่ โดยเฉพาะอย่างหน้า
และเวลานี้จากการที่เจ้าเงาส่งข้อมูลว่าจะทะลวงขั้นออกมา เหล็กแหลมสีดำข้างกาย ก็สั่นเครือเล็กน้อย บรรพจารย์สำนักวัชระด้านในก็ส่งความคิดออกมาอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน ข้าน้อยกำลังจะรายงานกับท่าน ว่าข้าน้อยทางนี้…ก็สามารถทะลวงขั้นได้แล้ว ต้องการสิ่งแวดล้อมที่เงียบและปลอดภัยเช่นเดียวกัน เพราะว่า…วิชาวิญญาณศัสตราที่ข้าฝึกบำเพ็ญ ทะลวงขั้นแตกต่างจากวิชาอื่นๆ จะก่อเกิดอัสนีแห่งฟ้าชะล้างวิญญาณ!!
“และเมื่อข้าน้อยทะลวงขั้นก็จะระเบิดผลลัพธ์และพลังต่อสู้แบบสภาวะแสงนภาออกมา ทรงพลังไร้เทียมทาน!”
บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยขึ้นเด็ดขาด ในใจมีความร้อนรน
อันที่จริงเขายังห่างจากการทะลวงขั้นอีกเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขารอไม่ได้แล้ว เขารู้สึกว่าถ้าเจ้าเงาทะลวงขั้น แล้วเขายังรักษาสภาพปัจจุบันอยู่ การจะรักษาตำแหน่งล้วนเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญก็คือเป็นไปได้มากว่าจะถูกมองว่าไม่มีค่า
ถ้าถูกมองว่าไม่มีค่าล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็รู้สึกว่าตนเองมีความเป็นไปได้ที่จะถูกโยนทิ้งเป็นเป้ากระสุนปืนใหญ่แทนแน่ๆ…
ดังนั้น เขาเตรียมที่จะสู้สุดใจแล้ว
สวี่ชิงเหลือบมองเหล็กแหลมสีดำผาดหนึ่ง จากนั้นมองไปยังเจ้าเงาก็ตัดสินใจ