บทที่ 191 ประกาศจับทั่วทั้งทะเลต้องห้าม!
ท้องฟ้าสดใสปลอดโปร่ง
มหาสมุทรระลอกคลื่นม้วนหมื่นลี้
ท้องฟ้าสีฟ้า ทะเลสีดำ ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเที่ยงตรงเช่นนี้ ภาพทิวทัศน์ไม่ว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็มอบความความรู้สึกเจิดจ้าพร่างพราวให้
โดยเฉพาะจากที่คลื่นทะเลซัดเป็นระลอก ปลากระโทงกระโดดล้อคลื่น ในขณะเดียวกับที่เกิดเป็นฟองคลื่นสาดกระเซ็น น้ำทะเลท่ามกลางแสงอาทิตย์ก็สาดประกายแสงเจ็ดสี
ความงดงามของสายรุ้ง ความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ ทำให้ความลึกลับของมหาสมุทรสีดำเย็นเยียบถูกชะล้างไปบ้างเล็กน้อย ความอบอุ่นในเสี้ยวขณะนี้มีมากกว่า
พื้นที่ทะเลเขตนี้ห่างกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตลิบลับ อยู่ใกล้กับพื้นที่เผ่าสิงซากสมุทรมากกว่า เนื่องจากสงคราม ปกติแล้วเรือสินค้าที่สัญจรไปมาจึงมีไม่มาก อีกทั้งเนื่องจากความเข้มข้นของไอพลังประหลาด จำนวนของอสูรทะเลขนาดใหญ่ใต้ทะเลจึงมีมากอย่างชัดเจน
ตอนนี้ใต้มหาสมุทรก็มีอสูรสมุทรบรรพกาลตัวหนึ่งกำลังว่ายไปข้างหน้าอย่างเร็วรี่ ใบหน้าที่เหี้ยมโหดและฟันที่แหลมคมของมัน อีกทั้งกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากทั่วทั้งตัว ทำให้อสูรทะเลส่วนมากตามทางเมื่อได้พบเห็นก็หนีกระเจิดกระเจิง
ดังนั้นอสูรสมุทรบรรพกาลตัวนี้จึงไม่มีอะไรขวางทั้งนั้น ความเร็วใต้มหาสมุทรแห่งนี้ยิ่งน่าตื่นตะลึง แต่หากมีผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณตรวจสอบอย่างละเอียด จ้องเพ่งอสูรสมุทรบรรพกาลตัวนี้ เช่นนั้นก็จะพบว่าอสูรสมุทรบรรพกาลตัวนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต!
มันก่อตัวจากวิชาเวท ในนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
เด็กหนุ่มคนนี้ที่เหนือศีรษะมีฉัตรสีดำอยู่ บนนั้นมีเปลวไฟไหลวนเป็นระลอกๆ ในขณะเดียวกับที่ห้อมล้อมเขาเอาไว้ก็อำพรางกลิ่นอายของเขาด้วย
เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น สะบักสะบอมไปทั้งตัว ทั่วร่างมีหลายที่เป็นรอยบุ๋มลงไป ลมหายใจไม่สม่ำเสมอ ในขณะที่มีอาการบาดเจ็บสาหัส ในร่างของเขาก็มีเส้นสีดำรางๆ เส้นหนึ่ง
เส้นนี้ไม่ใช่วัตถุจริง แต่เป็นสิ่งที่คล้ายเป็นสิ่งมายา ทว่ามันกลับฝังลึกในเลือดเนื้อของเด็กหนุ่ม ขัดขวางการฟื้นฟูของเขา อีกทั้งทุกที่ที่มันพาดเคลื่อนผ่าน เลือดเนื้อของเขาก็แห้งเหี่ยว กระทั่งว่าทำให้ร่างกายเกิดความรู้สึกเหมือนจะแตกหัก
เด็กหนุ่มก็คือสวี่ชิงที่หนีมาจากเผ่าสิงซากสมุทรนั่นเอง
การส่งข้ามเมื่อก่อนหน้านี้ เนื่องจากที่ตั้งของเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดอยู่ใกล้กับเขตทะเล ดังนั้นการส่งข้ามของเขาจึงนับว่าราบรื่นดี แม้จะไม่ได้ส่งข้ามไปที่ทะเลเลย แต่ก็มาปรากฏตัวอยู่บนแนวชายฝั่งทะเล
อาศัยการปลอมตัวของตัวเอง เขาฝืนสะกดการปะทุของอาการบาดเจ็บ พลางดำไปในทะเลด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด หนีจากไปไกล ระหว่างทางก็เจอกับผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงซากสมุทร แต่ภายใต้ความระมัดระวังรอบคอบของสวี่ชิง สุดท้ายแล้วก็แค่มีอันตรายแต่ไร้เคราะห์
แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดที่นี่คือจากการรายงานของเด็กระดับแก่นลมปราณ ความสนใจกว่าครึ่งของเผ่าสิงซากสมุทรทางนั้นล้วนอยู่ที่นายกองที่เป็นตัวต้นเหตุ สำหรับทางสวี่ชิงทางนี้แม้จะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดแต่ก็เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกัน
และตอนนี้จากการแตกทลายของจมูกเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดก็ผ่านมาสิบวันแล้ว
ในสิบวันนี้สวี่ชิงอาศัยความเร็วของอสูรสมุทรบรรพกาลดำดิ่งลึกลงไปในทะเลต้องห้าม แต่สิ่งที่ทำให้ใจของเขาเคร่งเครียดคืออาการบาดเจ็บของตนในสิบวันนี้ฟื้นตัวได้ช้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตัวการที่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูของเขาก็คือเส้นสีดำมายาในร่างเส้นนั้น
เส้นนี้มาจากผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณสามหัวหกกรเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้น แม้สวี่ชิงจะหนีได้สำเร็จ แต่หลังจากที่หนีมาในร่างก็มีเส้นสีดำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น
เส้นนี้แข็งแกร่งมาก ต่อให้สวี่ชิงใช้ไฟชีวิตเผาก็ไม่สามารถฆ่าทำลายมันได้ ภายใต้การสะกดจากตะเกียงแห่งชีวิตมันตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่เห็นได้ชัดว่าพลังบำเพ็ญของสวี่ชิงไม่สามารถสำแดงพลังที่แท้จริงของตะเกียงแห่งชีวิตได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่ไม่ให้มันเคลื่อนไหวได้อีก แต่ก็ยังคงไม่สามารถทำลายมันได้
ดังนั้นสวี่ชิงจึงเรียกร่มดำออกมา ในขณะเดียวกับที่ขัดขวางกลิ่นอายของเขาไม่ให้แผ่กระจายออกไป ในสิบวันนี้ก็สำแดงวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ ทำการหลอมเส้นสีดำเส้นนี้
ระดับของวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณสูงมาก ดังนั้นต่อให้พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงไม่อาจสำแดงได้เต็มกำลัง แต่เมื่อรวมกับพลังของตะเกียงแห่งชีวิต ก็นับว่าค่อยๆ หลอมฝึกฝนได้ สุดท้ายก็ส่งให้เจ้าเงากัดกิน รวมพลังจากทั้งสามฝ่ายในที่สุดมันเกิดสัญญาณที่จะสลายไป
จวบจนอสูรทะเลบรรพกาลที่เขาอยู่ตัวนี้ดำน้ำไปอีกเจ็ดแปดวัน ผ่านเวลาไปครึ่งเดือน ในที่สุดสวี่ชิงก็จัดการเส้นสีดำนั่นได้โดยสมบูรณ์
ในเสี้ยวพริบตาที่เขากำจัดมันได้หมดสิ้น เขาก็กระอักเลือดสีดำออกมา
เลือดนี้เห็นได้ชัดว่ามีพิษร้ายแรง เห็นว่ามันจะปนเปื้อนอสูรทะเลบรรพกาลอีกทั้งจะลอยเอ่อไปในน้ำทะเลข้างนอก สวี่ชิงหรี่ตารีบหยิบเอาขวดใบเล็กใบหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เก็บเลือดที่กระอักออกมาลงไป
เขาสามารถสัมผัสได้ว่าในเลือดที่ตัวเองกระอักออกมาแฝงไว้ด้วยพิษที่ตัวเองไม่เคยเจอมาก่อน บางทีพูดให้ถูกคือนี่ไม่ใช่พิษ เขาสัมผัสได้ว่าในเลือดนี้มีหนอนสีดำที่ตาเนื้อไม่อาจมองเห็นได้นับไม่ถ้วน
เส้นสีดำในร่างกายของตนก่อนหน้านี้คือเกิดจากหนอนสีดำจำนวนมหาศาลพวกนี้รวมตัวกัน
‘ศึกษาสักหน่อย เลือดนี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในไพ่ตายของข้าได้’ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หลังจากเก็บมันอย่างระมัดระวังแล้ว ก็เริ่มทำการรักษาสุดกำลัง
ไม่มีการขัดขวางจากเส้นสีดำแล้ว การฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของสวี่ชิงปกติขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และในการฟื้นฟูนี้ เขานึกย้อนถึงผลเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ โดยเฉพาะสัมผัสได้ถึงการเผาไหม้ของช่องเวทหกสิบห้าช่องในร่าง สวี่ชิงก็พอใจเป็นยิ่งนัก
“คุ้มแล้ว!” สวี่ชิงพึมพำ โดยเฉพาะในถุงเก็บของของเขายังมีของอีกสิ่งหนึ่ง ของชิ้นนั้นมีขนาดถึงสิบกว่าจั้ง รูปร่างไม่เป็นระเบียบ มองเผินๆ แล้วยากจะมองออกว่านั่นคืออะไร
มีเพียงผู้ที่เคยเห็นรูปร่างสมบูรณ์จริงๆ ของมันมาก่อนถึงจะรู้ว่า ของสิ่งนี้…ก็คือจมูกของเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดของเผ่าสิงซากสมุทรนั่นเอง!
เพียงแต่หลังจากที่ออกมาจากพื้นที่เผ่าสิงซากสมุทรแล้ว วัสดุของจมูกนี้ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นของธรรมดา ในขณะเดียวกับที่มันกลายเป็นสีเทาก็ไม่มีความรู้สึกอัศจรรย์อะไรอีก
แต่สวี่ชิงจะโยนทิ้งก็เสียดาย เขารู้สึกว่าเจ้าของสิ่งนี้บางทีอาจจะมีประโยชน์อย่างอื่น จะอย่างไร…นี่ก็เป็นจมูกจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์เผ่าสิงซากสมุทรเชียวนะ
สวี่ชิงไม่รู้ว่าเรื่องที่ตัวเองทำเรื่องนี้สุดท้ายแล้วจะเกิดเป็นลมพายุอะไร แม้ในใจจะคาดเดาอะไรบางอย่าง แค่ความจริงแล้วเขาก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้จะหนักหนาสาหัสสุดโต่งอะไร
อย่างมากเขากับนายกองก็แค่กลืนวารีศักดิ์สิทธิ์จำนวนหนึ่งก็เท่านั้น อย่างมาก…นายกองก็แทะนิ้วเท้าของเทวรูปหนึ่งคำ ทำให้เกิดการไม่เสถียรภายในเทวรูป ทำให้จมูกเทวรูประเบิดก็เท่านั้นเอง
นี่ก็ไม่มีอะไร สวี่ชิงได้ยินนายกองพูดถึงความอัศจรรย์ของเทวรูป รู้ว่าพลังฟื้นสภาพของมันยอดเยี่ยมมาก ตอนนี้ไม่แน่ว่าคืนสภาพเหมือนเดิมแล้ว
ส่วนนายกอง…
“ไม่ตายหรอก” สวี่ชิงก็ไม่รู้ว่าทำไม มักจะคิดว่านายกองคนนี้ไม่มีทางตายง่ายๆ แบบนั้น ดังนั้นจึงไม่คิดมากอะไร ยังคงนั่งขัดสมาธิในอสูรทะเลบรรพพกาล ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บไปด้วย ควบคุมอสูรทะเลบรรพกาลให้มุ่งหน้าไปที่เกาะเงือกไปด้วย
เขาวางแผนว่าจะกลับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
แต่ที่นี่ไกลจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมากเหลือเกิน หากจะกลับไปเกรงว่าถ้าไม่ใช้เวลาสักช่วงหนึ่งก็ยากจะไปถึง ดังนั้นอาศัยค่ายกลส่งข้ามที่เกาะเงือกจึงเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด
อีกทั้งในฐานะที่เป็นผู้ร่วมสงคราม การส่งข้ามไม่ต้องจ่ายเงิน ดังนั้นวิธีนี้จึงกลายเป็นตัวเลือกแรกของสวี่ชิง
และในตอนนี้ ตอนที่สวี่ชิงรักษาอาการบาดเจ็บและเดินทางไปพร้อมๆ กันอยู่ทางนี้ ทั้งเผ่าสิงซากสมุทรก็เกิดคลื่นลมปั่นป่วน อย่างแรกคือเรื่องจมูกเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดแม้ทางนั้นจะปิดกั้น ทำให้คนนอกไม่สามารถเห็นได้ แต่ก็มีข่าวลือค่อยๆ ลือกันออกมา
อีกทั้งเรื่องนี้สำหรับเผ่าสิงซากสมุทรแล้วเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมาก แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่หลุดออกไปก็ลือต่ออย่างบ้าคลั่ง สมาชิกในเผ่าสิงซากสมุทรจำนวนมากมายต่างรู้เรื่องนี้ ความโกรธแค้นของทุกตนพุ่งถึงขีดจำกัดสูงสุดในพริบตา
โดยเฉพาะสมาชิกในเผ่าสิงซากสมุทรที่แปรสภาพมาจากเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดนับตั้งแต่อดีตมา คลื่นอารมณ์ของพวกเขายิ่งรุนแรง ระหว่างพวกเขากับเทวรูปบรรพชนที่เจ็ดเหมือนบุตรกับมารดา มีความสัมพพันธ์ที่ซับซ้อนและแปลกประหลาด
ดังนั้นการหายไปของจมูกเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดสำหรับพวกเขาแล้วจึงเป็นความอัปยศที่ร้ายแรงที่สุด อีกทั้งสิ่งที่ทำให้ความอัปยศพุ่งไปถึงขีดสูงสุดก็คือ หลังจากที่เผ่าสิงซากสมุทรตรวจสอบแล้วก็ยืนยันว่า คนที่สมควรถูกฆ่าให้ตายเป็นพันๆ ครั้งสองคนนั้นเป็นลูกศิษย์ระดับสร้างฐานของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
ระดับสร้างฐานมนุษย์ธรรมดามองว่าแข็งแกร่ง แต่สำหรับเผ่าพันธุ์หนึ่งแล้ว ไม่นับเป็นอะไรเลย ผู้บำเพ็ญระดับต่ำเช่นนี้มาทำเรื่องร้ายกาจรุนแรงในถิ่นฐานของตัวเอง จะไม่ให้ทั้งเผ่าสิงซากสมุทรเดือดดาลได้อย่างไร
ไม่ใช่แค่สมาชิกในเผ่าทั่วไปที่โกรธพุ่งพล่านเท่านั้น แม้แต่ชนชั้นสูงและราชาในเผ่าสิงซากสมุทรก็ต่างโทสะเดือดดาลกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะบุคคลเก่าแก่พวกนั้นก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ดังนั้นเรื่องนี้ หลังจากที่เล่าลือไปในเผ่าสิงซากสมุทรราวพายุแล้ว ก็ส่งผลกระทบมายังสนามรบของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอย่างเลี่ยงไม่ได้
เผ่าสิงซากสมุทรจำนวนมากคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที แม้จะมีความฮึกเหิมห้าวหาญในชั่วครู่ แต่เพราะความฮึกเหิมห้าวหาญที่เหมือนกับการระบายอารมณ์ทำให้ค่ายกลของพวกเขาเปลี่ยนรูป เกิดระลอกคลื่นอารมณ์ไม่เสถียรมากมาย
และในสงคราม แม้ก็มีขุนพลที่เชี่ยวชาญใช้ความโกรธของผู้ใต้บังคับบัญชา แค่เรื่องแบบนี้ก็เป็นดาบสองคม ไม่ระวังเพียงแค่เล็กน้อยก็จะแตกสลายเอง
ส่วนสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ผู้ที่เจ้าเล่ห์เพทุบายกลุ่มนั้นไหนเลยจะปล่อยโอกาสนี้ไป ดังนั้นจึงโหมกำลังเพิ่มขึ้นทันที ทำให้ขนาดของสงครามในช่วงครึ่งเดือนกว่าสั้นๆ นี้ยกระดับอยู่เรื่อยๆ
และผู้นำระดับสูงของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทีแรกก็รู้สึกแปลกประหลาดใจนัก แต่ว่าไม่นานพวกเขาก็รู้ถึงเหตุผล รู้ว่ามีลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตสองคนทำเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ในเผ่าสิงซากสมุทร
พวกเขาหลังจากที่ได้ฟังล้วนตื่นตะลึงกันทั้งนั้น เจ้ายอดเขาทั้งหลายมองไปทางนายท่านเจ็ดทันที เรื่องแบบนี้ในความคิดของพวกเขาเหมือนจะมีเพียงลูกศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดเท่านั้นที่ทำได้
โดยเฉพาะ…ในช่วงเวลาหกสิบปีนี้ เรื่องประเภทนี้ นายท่านเจ็ดก็เคยทำมาก่อน เพียงแต่ไม่ได้น่าตกใจเท่าวันนี้ก็เท่านั้น
ส่วนนายท่านเจ็ดก็อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนไปแปลกๆ คล้ายว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ก็ทำให้ขวัญกำลังใจของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเพิ่มขึ้นมหาศาล ทางบรรพจารย์ทางนั้นก็ยิ่งเบิกบานเสียยิ่งกว่าอะไร บัญชาลงมาด้วยตัวเองว่าจะตบรางวัลคุณงามความชอบให้กับลูกศิษย์ทั้งสองคนนั้น
ส่วนชื่อของลูกศิษย์ที่ทำเรื่องใหญ่ขนาดนั้นสองคน ไม่ต้องรอให้ทางฝ่ายสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไปตรวจสอบ เผ่าสิงซากสมุทรก็ช่วยพวกเขาตรวจสอบออกมาแล้ว
จากการที่ขุดตื้นลึกหนาบางออกมา ไม่นานนักเผ่าสิงซากสมุทรก็ปรับเปลี่ยนอันดับรายชื่อต้องสังหารในสงครามของพวกเขา!
อันดับรายชื่อนี้ก่อนหน้านี้ก็มีมาโดยตลอด ผู้ที่อยู่อันดับหนึ่งบนนั้นคือเสี่ยเลี่ยนจื่อ รางวัลมากมายมหาศาลนัก อันดับที่สองคือนายท่านเจ็ด ที่เหลือหลังจากนั้นก็เป็นเจ้ายอดเขาต่างๆ และรองเจ้ายอดเขา
นอกจากสิบกว่าท่านนี้ถึงจะเป็นผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ
แต่ตอนนี้อันดับรายชื่อเปลี่ยนใหม่แล้ว
อันดับรายชื่อต้องสังหาร
คนที่หนึ่ง เฉินเอ้อร์หนิว คนคนนี้เป็นลูกศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ด ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมปราบพิฆาต เป็นตัวการหลักคดีล่วงเกินบรรพชนของเผ่าสิงซากสมุทรเรา ดังนั้นสมาชิกในเผ่าทุกตนที่เห็นคนคนนี้ จะต้องสับมันให้เป็นหมื่นๆ ชิ้นโดยไม่ต้องสนค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น กลืนกินเลือดเนื้อของมัน! ผู้ที่สังหารคนคนนี้ได้ ตบรางวัลเป็นมรดกมหามรรคาของเผ่า และได้รับอันดับราชา อีกทั้งสิทธิ์ในการเลือกของสิบอย่างในคลังสมบัติ นอกจากนั้นยังมอบหินวิญญาณให้อีกหนึ่งร้อยล้านก้อน!
คนที่สอง สวี่ชิง คนคนนี้เป็นลูกศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ด ดำรงตำแหน่งรองเจ้ากรมปราบพิฆาต เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดคดีล่วงเกินบรรพชนของเรา ดังนั้นสมาชิกในเผ่าทุกตนที่เห็นคนคนนี้จะต้องสังหารให้จงได้ ผู้ที่สังหารคนผู้นี้ ตบรางวัลเป็นอันดับราชาอีกทั้งสิทธิ์ในการเลือกของสิบอย่างในคลังสมบัติ นอกจากนั้นยังมอบหินวิญญาณให้อีกเจ็ดสิบล้านก้อน!
คนที่สาม เสี่ยเลี่ยนจื่อ บรรพจารย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต