ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 194 กลับมาครึ่งเดียว

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 194 กลับมาครึ่งเดียว

จางซานเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ยิ้มขื่นออกมา ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

“แหลกที่เผ่าสิงซากสมุทรหรือ”

“ถูกผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณซัดแหลก” สวี่ชิงตอบตามความจริง

จางซานมองใบหน้าสงบนิ่งของสวี่ชิง เขารู้สึกว่าการวิเคราะห์ของตนก่อนหน้านี้นั้นผิด เจ้าเด็กหนุ่มข้างหน้าคนนี้น่าจะเป็นคนที่บ้าระห่ำเหมือนกับนายกอง

นี่เพิ่งจะเป็นระดับสร้างฐานก็มีความสามารถให้ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณลงมือ ซัดเรือเวทของเขาจนแหลก

เรื่องแบบนี้…ไม่ใช่เรื่องที่ระดับสร้างฐานคนใดจะได้เจอได้ อีกทั้งยังมีชีวิตรอดกลับมาอีกด้วย

“นายกองเล่า”

จางซานถามอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกว่าขนาดสวี่ชิงยังเป็นเช่นนี้ นายกองก็ไม่น่าจะดีไปกว่าสักเท่าไร

ทว่าหากทั้งสองคนนี้ลงมือทำการใหญ่ที่เผ่าสิงซากสมุทร เรือเวทจึงพัง ก็เหมือนว่าจะสมเหตุผลอยู่

“นายกอง…”

สวี่ชิงนึกถึงตอนนั้นที่ตนส่งข้าม บนฟ้ามีกลิ่นอายระดับแก่นลมปราณสามทางปรากฏขึ้น ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“ช่างเถอะ ตอนข้าหลอมเรือเวทให้เจ้า ก็ถือโอกาสต่อโลงให้นายกองโลงหนึ่งด้วยก็แล้วกัน หากครั้งนี้สุดท้ายแล้วไม่ได้ใช้ ครั้งต่อๆ ไปก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้”

จางซานถอนหายใจ

สวี่ชิงพยักหน้า เอ่ยลาจากไป

จวบจนมองสวี่ชิงจากไปจนลับสายตา จางซานส่ายหน้าพลางเดินเข้าไปในห้องทำงานหลอมเรือเวทของตัวเอง ในใจก็ขบคิดไปด้วยว่าในเมื่อจะต่อโลงอยู่แล้ว เช่นนั้นต่อไว้สองโลงเลยท่าจะดี

“เป็นสหายกัน พวกเขาสองคนระห่ำขนาดนั้นกันทั้งคู่ เตรียมไว้ให้คนละโลง ยุติธรรมสมเหตุผล”

ตอนนี้ฟ้าข้างนอกมืดแล้ว สวี่ชิงเดินอยู่บนถนนพลางมองตรอกซอกซอย ฟังเสียงคลื่น ความรู้สึกคุ้นเคยทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายลงมาก

“เช่นนั้นต่อจากนี้ก็หลบกระแสในสำนักก่อน!”

สวี่ชิงพึมพำ เดินไปในกรมปราบพิฆาตที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก

ในฐานะที่เป็นรองเจ้ากรมปราบพิฆาต การมาถึงของสวี่ชิงสร้างความตื่นตัวให้กับสมาชิก โดยเฉพาะกรมปราบพิฆาตที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกคือสำนักงานใหญ่ของหน่วยปราบนิลกาฬ

ส่วนสวี่ชิงในฐานะรองเจ้ากรม ส่วนที่ดูแลรับผิดชอบคือหน่วยปราบนิลกาฬ

ดังนั้นการปรากฏตัวขึ้นของเขาทำให้ลูกศิษย์ทุกคนในกรมปราบพิฆาตต่างเคารพนอบน้อม กระทั่งนอกที่พักของสวี่ชิงยังมีลูกศิษย์ระดับรวมปราณของกรมปราบพิฆาตเป็นองครักษ์ คอยฟังคำสั่งทุกเวลา

เจ้าใบ้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

หลังจากสวี่ชิงเข้าไปในที่พัก เขาก็มาอย่างรวดเร็วนั่งยองอยู่นอกประตู มองทุกคนอย่างดุดัน

เหมือนว่าในความความคิดของเขา ไม่ว่าจะเป็นคนของกรมปราบพิฆาตหรือไม่ ขอแค่เข้ามาใกล้เกินไปก็ล้วนเป็นศัตรูของเขา

ส่วนความเคลื่อนไหวข้างนอก สวี่ชิงสัมผัสได้อย่างชัดเจน และสัมผัสถึงเจ้าใบ้ด้วยเช่นกัน

“ฝึกบำเพ็ญได้เร็วมาก” ในสายตาของสวี่ชิง ทะเลวิญญาณในตัวเจ้าใบ้ที่อยู่นอกที่พักมีขนาดถึงเจ็ดสิบจั้งแล้ว นี่หมายถึงว่าเขาก้าวสู่คัมภีร์แปรสมุทรขั้นที่เจ็ดแล้ว

เวลาสั้นๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว แม้สวี่ชิงจะสังเกตครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีความคิดจะสืบเสาะ ในเมื่อทุกคนต่างมีความลับของตัวเอง เขาไม่สนใจเรื่องของคนอื่น

เวลาก็ไหลผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง ครึ่งเดือนก็ผ่านไป

การกลับมาของสวี่ชิงแม้จะเงียบๆ แต่ก็ค่อยๆ ลือกันออกไป ทว่าตัวเขาอยู่ในกรมปราบพิฆาต อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเหี้ยมโหดเลื่องลือ ดังนั้นแม้จะได้รับนัดหมายขอเยี่ยมเยือนอยู่เรื่อยๆ แต่คนที่กระตือรือร้นมารบกวนมีน้อยมาก

นอกจากหวงเหยียนและติงเสวี่ย

ขณะเดียวกันในเวลาครึ่งเดือนนี้ ในสนามรบก็เกิดเรื่องมากมาย การปะทะกันของฝ่ายสำนักเจ็ดเนตรโลหิตและเผ่าสิงซากสมุทรมาถึงขั้นร้อนแรงที่สุดแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน ทั้งสองฝ่ายทำสงครามขนาดใหญ่ขึ้น

สำนักเจ็ดเนตรโลหิตแบ่งเป็นเจ็ดเส้นทางทำการโจมตีเกาะรองนอกเผ่าสิงซากสมุทร คิดจะฝ่าทะลวงพวกมัน

ฝ่ายเผ่าสิงซากสมุทรก็ต้านทานสุดกำลัง แต่การแบ่งกองกำลังทหารของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจริงเท็จปะปนกัน ในนั้นมีสี่เส้นทางที่แค่แสร้งโจมตีเท่านั้น เป้าหมายของกลศึกไม่ใช่เพื่อโจมตียึดพื้นที่ แต่เพื่อตรึงกำลังเท่านั้น

สามเส้นทางที่เหลือถึงจะเป็นกองกำลังโจมตีที่แท้จริง เป้าหมายเพื่อยึดครองเกาะรอง เป็นสะพานให้กองทัพของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตสามารถโจมตีดินแดนของเผ่าสิงซากสมุทรได้

ศึกนี้สะเทือนฟ้าดินโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก

แม้สวี่ชิงจะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่เอกสารเกี่ยวกับสนามรบของกรมปราบพิฆาตก็บรรยายศึกนี้เอาไว้ได้ชัดเจนมาก อีกทั้งสุดท้ายแล้วฝ่ายสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ยึดครองเกาะรองสองเกาะมาได้จริงๆ

เช่นนี้แล้ว สงครามครั้งนี้สำหรับเผ่าสิงซากสมุทรก็ผลลัพธ์ไม่ดีเอาเสียเลย

กระทั่งว่าระหว่างผู้นำระดับสูงของแต่ละฝ่ายต่างลงมือเองหลายครั้ง สงครามยกระดับเป็นวงกว้าง

รางวัลที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตมอบให้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้ลูกสำนักเจ็ดเนตรโลหิตต่างสังหารจนตาแดงก่ำ

ในขณะเดียวกันรางวัลประกาศจับของนายกองกับสวี่ชิงที่แต่เดิมความร้อนแรงลดลงเล็กน้อยเนื่องจากสงครามครั้งนี้ ทว่าไม่นานนักจากการเพิ่มรางวัลประกาศจับ ก็ทำให้ความร้อนแรงของสวี่ชิงนำหน้านายกองไปทันที

ประกาศเพิ่มรางวัลประกาศจับนี้มาจากเหมี่ยวเฉิน ผู้สืบทอดมรรคาของเผ่าสิงซากสมุทร!

“เพิ่มรางวัลประกาศจับ ใครก็ตามที่สังหารสวี่ชิงได้ ข้าผู้สืบทอดมรรคาผู้นี้ขอสัญญาว่าจะทำตามเรื่องที่ขอให้สำเร็จสิบเรื่อง ขอเพียงอยู่ในขอบเขตที่ทำได้ เรื่องใดก็ได้ทั้งนั้น! สำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสที่ถูกต้องให้ ข้าสัญญาว่าจะทำตามเรื่องที่ขอให้สำเร็จหนึ่งเรื่อง!!”

เหมี่ยวเฉินในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรย่อมมีกำลังรบไม่ธรรมดา ชื่อเสียงยิ่งโด่งดัง กระทั่งว่าในต่างเผ่ายังเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ดังนั้นการเพิ่มรางวัลนำจับจึงวิพากย์วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงทันที

จากนั้น ภายใต้การจับตามองมากมาย ศึกระหว่างสวี่ชิงและเหมี่ยวเฉินครั้งนั้นก็เล่าลือกันออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้เหมี่ยวเฉินไม่ได้ปรารถนา แต่เขาทำอะไรไม่ได้ สำหรับเขาขอเพียงฆ่าสวี่ชิงได้ เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องรอง

ดังนั้นเขาจึงเพิ่มรางวัลประกาศจับก่อน ให้ที่ที่สวี่ชิงอยู่มีสายตาที่เป็นปฏิปักษ์มากขึ้น จากนั้นเขาค่อยปล่อยข่าวออกไปอีกข่าวหนึ่ง

“สวี่ชิง เจ้ากล้ามาสนามรบมาสู้กับข้าผู้สืบทอดมรรคาผู้นี้หรือไม่ ศึกนี้คนอื่นไม่เกี่ยว แค่เจ้ากับข้าเท่านั้น!”

ข่าวสองข่าวนี้สวี่ชิงย่อมเห็นอยู่แล้ว แต่เขาเมินผ่านไป เขารู้สึกว่าผู้สืบทอดมรรคาเหมี่ยวเฉินผู้นี้โง่เง่าอยู่นิดๆ

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตที่ถ้ำยาจก หรือจะเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต ล้วนทำให้สวี่ชิงไม่สนใจการตัดสินประลองเช่นนี้

เขาชอบแอบแฝงตัวไปปาดคอทีเดียวแล้วจากไปมากกว่า แบบนี้เรียบง่ายราบรื่นกว่า

ในขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งเดือนนี้ สำนักก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในนั้น…ก็คือท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกสร้างพิพิธภัณฑ์ขนาดมหึมาขึ้นมาแห่งหนึ่ง

เรื่องนี้แม้ในตอนแรกจะปิดเงียบ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงปิดไม่มิด

อีกทั้งทางจางซานก็ไม่ปกปิดอีกต่อไป กลับช่วยผสมโรง ดังนั้นไม่นานนัก ผู้บำเพ็ญทั้งสำนักก็รู้เรื่อง ในพิพิธภัณฑ์ที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกมีของเพียงชิ้นเดียววางอยู่

นั่นก็คือ…จมูกของเทวรูปบรรพชนที่เจ็ด!

จมูกนี้จัดแสดงให้ชมในวันที่เปิดพิพิธภัณฑ์วันนั้น

ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตล้วนมาเข้าชมได้ คนต่างเผ่าก็มาเข้าชมได้เช่นกัน

เรื่องนี้เพียงประกาศออกมาไม่ใช่แค่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตฮือฮาเท่านั้น ทางเผ่าสิงซากสมุทรก็ได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งเผ่าคลุ้มคลั่งโกรธแค้นทันที ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้พวกเขาอัปยศมากกว่าเรื่องนี้แล้ว

ส่วนบรรพจารย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตย่อมได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน มีความสุขเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งว่าภายใต้ความชื่นใจยังเขียนตัวอักษรพู่กันหนึ่งชุด ให้คนส่งจากสนามรบกลับมาที่สำนัก แขวนสูงเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์

อักษรชุดนี้มีตัวอักษรเพียงสี่ตัวเท่านั้น

“เพลิงลุกบนจมูก”

สวี่ชิงได้รับข้อความสื่อเสียงจากจางซานก็ออกจากกรมปราบพิฆาตมาในพิพิธภัณฑ์ที่สร้างเกือบเสร็จแล้ว เห็นจมูกบรรพชนศพขนาดมหึมาและตัวอักษรสี่ตัวที่แขวนอยู่บนจมูกก็อึ้งตะลึงไป

จางซานอยู่ข้างๆ ก็ใบหน้าเคร่งเครียดไปเช่นกัน

“ตัวอักษรของท่านบรรพจารย์สี่ตัวนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” สวี่ชิงพึมพำมองไปทางจางซาน

“นี่…หรือจะให้พวกเราใช้ไฟเผา จัดวางให้เหมือนถูกไฟเผาอย่างนั้นหรือ” จางซานลังเลเล็กน้อย พึมพำไม่แน่ใจ

สวี่ชิงกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ก็สัมผัสอะไรได้ พลันสะบัดหน้าหันไปมองนอกพิพิธภัณฑ์ตรงพื้นที่กว้างโล่งตรงนั้น

“มีอะไรหรือ” จางซานงงงัน

สวี่ชิงจ้องมองตรงนั้น หรี่ตาลง เสี้ยวขณะต่อมามือขวาก็พลันยกขึ้น กริชเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ก่อนจะฟันไปข้างๆ อย่างโหดเหี้ยม เสียงลากกรีดมาพร้อมด้วยเสียงแปลกประหลาดจากบริเวณที่กริชของสวี่ชิงกรีดลงไป

“เฮอะ!”

สิ่งที่ดังมาตามเสียงคือเสียงพุ่งมาอย่างรวดเร็วของลม มันดังมาจากข้างหลังสวี่ชิง สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ไฟชีวิตในร่างสองดวงปะทุขึ้นทันที ในขณะเดียวกับที่คลื่นความร้อนแผ่ไปทั่วทุกทิศก็หมุนตัวซัดหมัดออกไป

เสียงสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นสวี่ชิงร่างถอยไปข้างหลังสามสี่ก้าว มองไปทางพื้นที่กว้างโล่งที่ห่างออกไปไม่ไกล มิติตรงนั้นบิดเบี้ยวคล้ายว่ามีเงาร่างหนึ่งอยู่ข้างใน มันถอยหลังไปเช่นกัน

“เฉินเอ้อร์หนิว” สวี่ชิงมองทางบริเวณที่บิดเบี้ยวก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าเนิบ

“เรียกนายกอง!” เสียงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงดังออกมาจากในนั้น ทว่าเงาของนายกองกลับไม่ปรากฏออกมา จางซานที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังออกว่าเป็นเสียงของนายกองเช่นกัน มองไปทางพื้นที่ที่บิดเบี้ยวอย่างตื่นเต้นดีใจ

“นายกอง เจ้ากลับมาแล้ว!”

“แน่นอน ครั้งนี้ไม่มีอันตรายอะไร ก็แค่ระดับแก่นลมปราณหลายสิบตนไล่ฆ่าก็เท่านั้น ข้าหนีมาได้ง่ายดายราวปอกกล้วย ข้ากระทั่งว่ายังไปสนามรบเผ่าสิงซากสมุทรมาอีกด้วย กลับมาจากทางนั้น”

ในมิติมีเสียงนายกองดังออกมา จากนั้นกลางอากาศก็มีผลผิงกั่วลอยกลางอากาศ เสียงกร๊อบดังขึ้น ผิงกั่วถูกกัดไปคำหนึ่ง

“ทำไมเจ้าไม่ปรากฏตัว” จางซานสงสัย

ในมิติที่สวี่ชิงและจางซานมองไม่เห็นมีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น คนคนนี้เหลือเพียงขาข้างเดียว แขนข้างเดียว เอวแทบจะถูกฟันขาด ทั่วทั้งร่างมีบาดแผลนับไม่ถ้วน มีหลายทางที่ทะลุร่างกายของเขา

โดยเฉพาะใบหน้าของเขา ราวกับเสียโฉมไปแล้ว จมูกช้ำหน้าบวมไม่เป็นรูปเป็นร่าง ผมไหม้เหมือนถูกไฟเผา เป็นนายกองนั่นเอง

เขาฝืนสะกดความเจ็บปวดแสนสาหัสทั่วทั้งร่างพยายามลืมตาบวมเป่งที่เหลือเพียงขีดเดียว ยกมุมปากเอ่ยอย่างหยิ่งทะนง

“ชินแล้ว ข้ารู้สึกว่าสภาวะอำพรางกายไม่เลวเลย สะดวกทำเรื่องอะไรมากมาย อีกทั้งในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการของพวกเจ้า อยู่ในสภาวะเช่นนี้ยิ่งเป็นการทำให้ฐานะของข้าโดดเด่นขึ้น”

พูดแล้วก็จงใจถือผลผิงกั่ว อ้าปากที่เหมือนไส้กรอกสุดกำลัง กินต่ออย่างสุขุม เอ่ยขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้านอีกว่า

“ระดับหลอมตันเถียนสิบกว่าคนนั่นถูกข้าหลอกจนหัวปั่น ข้ากระทั่งว่ายังมีเวลาไปดูเทวรูปบรรพชนศพที่หนึ่ง ซ้ำยังฉี่ใส่ด้วย น่าเสียดายเทวรูปนั่นใหญ่เกิน เอามาไม่ไหว ไม่เช่นนั้นข้ายังกะว่าจะเอามันกลับมาให้พวกเจ้าฉี่ใส่ด้วยเหมือนกัน

“อีกทั้งเหตุที่ข้าเป็นแบบนี้ก็เพื่อดูแลรองเจ้ากรมสวี่ ข้าเองก็ไม่ได้อะไร ในเผ่าสิงซากสมุทรหลับตายังสามารถเข้าๆ ออกๆ ได้สบาย แต่รองเจ้ากรมสวี่ทำไม่ได้ เพื่อคุ้มกันเขา ข้ากระทั่งว่าเดินวนในวังหลวงของเผ่าสิงซากสมุทรมารอบหนึ่งด้วย

“หากไม่ใช่ว่าข้ารีบกลับมาหาพวกเจ้าแล้วล่ะก็ ข้ายังวางแผนว่าจะไปดูสถานที่รักษาอาการบาดเจ็บของบรรพจารย์เผ่าสิงซากสมุทรเสียหน่อย ดูว่าจะเอาอะไรกลับมาจากที่นั่นได้หรือไม่”

ในขณะเดียวกับที่นายกองเอ่ยอย่างหยิ่งทะนง ใบหน้าก็บวมฉึ่งราวหัวหมู ความเจ็บปวดทั้งร่างทำให้เขาตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ ความสาหัสของบาดแผลดูเหมือนพอๆ กับตอนที่บ้าระห่ำไปชิงเลือดเนื้อจวีอิงตอนนั้น แต่ความจริงในร่างแทบจะแหลกละเอียดหมดแล้ว

เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้สำหรับเขาแล้วมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน แต่ศักดิ์ศรีความเป็นหัวหน้าทำให้เขาแพ้ไม่ได้ ตอนนี้เมื่อพูดจบกก็กวาดตามองสวี่ชิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“รองเจ้ากรมสวี่ ครั้งนี้ข้าเจ้ากรมคนนี้ช่วยเจ้าถึงขนาดนี้ หินวิญญาณห้าหมื่นก้อนที่เจ้าติดข้าไว้อย่าลืมคืนเสียเล่า”

สวี่ชิงมองนายกองพูดอย่างเงียบๆ ก้มหน้ามองเจ้าเงาที่คนนอกมองไม่เห็น มีเพียงเขาที่สัมผัสรับรู้ได้คนเดียว

ตอนนี้เจ้าเงากำลังแสดงรูปร่างมนุษย์ที่มีขาเดียว แขนเดียว กินผิงกั่วด้วยร่างที่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท