บทที่ 1166 ไปต่างประเทศ
บทที่ 1166 ไปต่างประเทศ
แม้จ้าวหงเหมยและกู้เฉิงเซวียนจะคบกันโดยมีจุดประสงค์เพื่อแต่งงาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เสแสร้งเลย
หลังจากสนทนากันง่าย ๆ ก็บรรลุข้อตกลงว่าจะเริ่มเดตแรกอย่างมีความสุข
จ้าวหงเหมยเป็นผู้หญิงสดใส มีชีวิตชีวาทำให้คนชื่นชอบมาก
ส่วนกู้เฉิงเซวียนฐานะทางบ้านดี นิสัยดีพอสมควร มีไหวพริบในการคุย จึงเข้าขากันได้ดียิ่ง
ช่วงนี้คนมากินข้าวไม่เยอะเท่าไร แต่การเตรียมงานได้เริ่มขึ้นแล้ว
เหลียงซิ่วถามลูกว่าจะกลับก่อนหรือรอกลับด้วยกัน
ซูเสี่ยวเถียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หนูรอกลับพร้อมแม่ดีกว่าค่ะ! กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ”
เหลียงซิ่วพยักหน้า ก่อนบอกให้ลูกขึ้นไปข้างบน ส่วนตัวเองเข้าครัวต่อ
หลายปีมานี้หออีหมิงยังคงนำเสนออาหารใหม่ ๆ อยู่เสมอ ด้วยความที่อร่อย ราคาไม่แพง เลยรั้งลูกค้าขาประจำได้ตลอด
แม้จะไม่ดีที่สุดในเมืองหลวง แต่ถือว่าดีมาก
ซึ่งเรื่องนี้เราจะไม่แยกออกจากปรัชญาด้านทำธุรกิจของที่บ้านหรอกนะ
ตระกูลซูตั้งแต่คุณย่าซูจนไปถึงเหลียงซิ่วเชื่อว่า ธุรกิจอาหารจะต้องมั่นใจในวัตถุดิบที่สดใหม่และถูกสุขลักษณะเสมอ
ฝั่งซูเสี่ยวเถียนเห็นว่าช่วยงานอะไรไม่ได้จึงกลับขึ้นห้องไป
เธอเลยกลับมาคัดลอกหนังสือต่อ
แม้จะเขียนไวแต่เวลาและพลังล้วนมีขอบเขต ไม่สามารถเขียนเกินหมื่นคำได้ในหนึ่งวันหรอกนะ
เธอไม่คิดจะกดดันตัวเองเยอะ ตั้งใจว่าจะทำทุกวัน วันละหกพันถึงแปดพันคำพอ
ถ้าทำตามนี้สองเดือนน่าจะเสร็จ
วันเวลาล่วงเลยผ่าน อากาศค่อย ๆ ร้อนขึ้น
ซูเสี่ยวเถียนคัดลอกได้เป็นปึกแล้ว ตอนนี้ดำเนินมาถึงครึ่งเล่มแล้วละ
เมื่อเสร็จงานรับรองแขกต่างชาติ เราก็ส่งพี่สี่ไปจัดการเรื่องโรงงานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่หมู่บ้านหนานหลิ่ง
หลังจากให้เขาช่วยดูก็เจอปัญหาหลายจุด แต่พี่สี่ยังชมน้องเสมอที่เก่งขึ้นเรื่อย ๆ
ครั้นมาถึงเดือนมิถุนายน ซูเสี่ยวซื่อก็เดินทางไปเยอรมนี
นอกจากตัวเขาแล้ว ยังมีสินค้าล็อตแรกด้วย
หลังจากบากบั่นพยายามมานาน ในที่สุดหลู่เซียงเซียงก็มีคุณสมบัติพอจะส่งออกแล้ว
ตอนที่ส่งคนและของออกไป ซูเสี่ยวเถียนสงบใจมาก แต่ตอนนี้กลับกระสับกระส่าย
เพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญต่อหลู่เซียงเซียงน่ะ
หากส่งเสริมตลาดฝั่งต่างประเทศได้สำเร็จ มันจะเป็นประโยคต่อการพัฒนาของโรงงานในภายภาคหน้าไม่น้อย
กลับกันถ้าผลออกมาตรงข้าม เราจะได้รับผลกระทบแทน
ไม่ว่าจะห่วงมากแค่ไหน ตนก็ทำได้แค่รอข่าวเงียบ ๆ เท่านั้น
เพราะเธอไม่ได้ไปด้วย จึงช่วยเหลืออะไรไม่ได้
แต่ก่อนไปซูเสี่ยวซื่อบอกไว้ว่า เขาจะโทรมาบอกเรื่องความคืบหน้าฝั่งนั้นให้ฟัง
เธอเชื่อใจพี่สี่ หากมีเขาทุกอย่างล้วนแก้ไขได้
ไม่รู้ไปแล้วจะได้เจอพี่อี้หย่วนหรือเปล่า
ตามที่คริสติน่าบอกน่าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ใช่ไหม?
คงไม่คลาดกันหรอกมั้ง?
ความจริงคือไม่ได้คลาดกัน แต่ได้พบกันเลย
ซูเสี่ยวซื่อจะเดินทางมาเพื่อโปรโมตอาหารของหลู่เซียงเซียง ส่วนฉืออี้หย่วนล้มเลิกแผนการกลับจีนแล้วอยู่ต่อเพื่อให้ความช่วยเหลือเขา
ไม่ว่าเจ้าตัวจะเก่งแค่ไหน แต่คนเพิ่งมาถึงย่อมมีหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจอยู่แล้ว
ทว่าฉืออี้หย่วนทำงานที่นี่มาหลายปี เขาจึงสามารถจัดการสิ่งนี้ได้
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ซูฉางจิ่วก็เดินทางมาถึงเมืองหลวง
เขาเหนื่อยจะอยู่บ้านมาก ส่วนเรื่องโรงงานทุกอย่างปกติดีไม่ต้องเฝ้าดูก็ได้ เลยเดินทางมาพักผ่อนที่นี่
ตอนนี้มีบ้านที่เมืองหลวงแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องไร้ที่ซุกหัวนอนอีกต่อไป
แน่นอนว่าเมื่อมาถึงย่อมต้องมาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าซูอยู่แล้ว
ซูเสี่ยวเถียนอยู่ด้วยพอดี จึงถามท่านเรื่องโรงงานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเสียเลย
‘บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป’ เป็นศัพท์ใหม่สำหรับชายวัยกลางคนมาก เขาจึงได้แต่อึ้งอยู่พักใหญ่
“มันมีบะหมี่แบบนั้นอยู่ด้วยหรือเสี่ยวเถียน?”
“มีมาตั้งแต่ปี 70 แล้วค่ะ แต่ว่าเห็นได้แค่ที่ต่างประเทศน่ะ”
“แต่ว่ามันต้องใช้ตั๋วจ่ายน่ะ และบะหมี่พวกนี้ก็ไม่ได้ถือครองตลาดส่วนใหญ่ด้วย”
“และปัจจุบันก็มีเกิดขึ้นหลายแห่งแล้ว หนูเห็นว่าถือเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจไปเลย ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะได้เพิ่มมากขึ้นเยอะ ๆ!”
มันมีเหตุผลอยู่ว่าทำไมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถึงไม่พัฒนาในประเทศจีนเสียที
เพราะการเดินทางออกนอกประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แถมต้องใช้เอกสารมายืนยันตัวตนอะไรนั่นอีก
ก็เลยไม่มีใครยอมจ่ายเงินกับตั๋วซื้อมันมา
ทว่าหลายสิ่งอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เศรษฐกิจเปิดกว้างมากขึ้น การคมนาคมสะดวกมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะความนิยมด้านรถไฟทางไกล บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะเข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับรถไฟแล้ว!
แม้ซูฉางจิ่วจะมีประสบการณ์น้อย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะเขาเป็นคนที่รับฟังคำแนะนำผู้อื่น
หลังจากได้ฟังสิ่งที่หลานสาวบอก ก็แสดงท่าทีเต็มใจพร้อมลองลงมือทันที
หลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้เสียทีว่าเสี่ยวเถียนเป็นเด็กฉลาดมาก
ขอแค่เจ้าตัวได้ชอบ ย่อมหาเงินได้ทั้งนั้น
ถ้างั้นก็ลองดู
ตอนนี้หมู่บ้านเราจะมีทั้งฟาร์มทั้งโรงงาน แก้ปัญหาว่างงานของชาวบ้านในขั้นพื้นฐานได้แล้ว
แต่ช่วงนี้ทั้งผู้นำตำบลและมณฑลบอกว่าปัญหานี้ไม่ควรแก้ได้แค่ในหนานหลิ่ง แต่ควรแก้ที่อื่น ๆ ด้วย
โดยเฉพาะผู้นำมณฑลเนี่ย อยากให้พวกเราเพิ่มคนเข้าไปทำงานด้วย
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ฟาร์มกับโรงงานเราผลประโยชน์ดี จนค่าจ้างโรงงานในอำเภอสู้ไม่ได้ล่ะ?
แล้วพวกผู้นำก็มีญาติมิตรสหายกันทั้งนั้น
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้คนเต็มหมดแล้ว ต่อให้พวกเขามีเจตนาก็ไม่อาจไล่คนออกอย่างโจ่งแจ้งได้
ซูฉางจิ่วมีประสบการณ์ที่ดี เรื่องแค่นี้จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ
ตอนนี้เราถือว่ามีเส้นสายแล้ว หาคนยศสูง ๆ ดีกว่าคนรับผิดชอบส่วนนั้นดีกว่า เพราะงั้นการมีสายสัมพันธ์กับผู้นำท้องถิ่นจึงถือว่าสำคัญมาก
“พอดีเลยค่ะลุงฉางจิ่ว อีกเดี๋ยวนักศึกษาจะจบการศึกษาแล้วค่ะ ลองรับสมัครคนเก่ง ๆ ไปช่วยจัดการโรงงานดูนะคะ!”
ซูเสี่ยวเถียนเสนอความเห็น