เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 1174 เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 1174 เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

หลังจากตระกูลซูทราบเรื่องก็รีบเดินทางมา ส่วนคนอื่น ๆ ที่มามุงดูต่างแยกย้ายกลับ

ฟ่านชูฟางก็เช่นกัน

เธอปล่อยหลานไว้กับคนอื่น ๆ แล้วขอตัวกลับมาก่อน

หลังจากซูเหล่าซานทราบเรื่องคร่าว ๆ ก็เป็นห่วงอย่างมาก

ถ้าอาสะใภ้รองไม่บอกอารองได้ทันการ บ้านเราต้องประสบความสูญเสียแน่

“ให้ผมลาออกมาดูแลพ่อแม่ดีกว่าไหม อยู่กันสองคนตายายผมไม่สบายใจเลย!”

เขามองผมหงอกบนหัวคนทั้งสอง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเราจะทำยังไง?

เด็ก ๆ เก่ง ภรรยาก็เก่งเหมือนกัน ส่วนเงินเดือนของงานเขามีแค่นิดเดียวเอง พอแค่ตัวเองใช้กินเท่านั้นเอง

แต่เพราะชอบก็เลยยังทำต่อ

ทว่าหากที่บ้านต้องการ เขาพร้อมจะกลับมาช่วยเสมอ

“พ่อทำงานขับรถต่อเถอะค่ะ ไม่ต้องรีบเกษียณหรอกนะ” ซูเสี่ยวเถียนยกยิ้ม

คนเป็นพ่อจ้องลูกสาวด้วยความโมโห พูดจาแบบนี้ได้ยังไง?

เขาแค่อยากเป็นแสงนำทางให้ แล้วทำไมถึงมีแต่คำพูดไม่ดีอย่างเกษียณตัวเองออกมาจากปากลูกล่ะ?

“หนูรู้ว่าพ่อชอบงานนี้มาก ถ้าชอบก็ทำต่อเถอะ ไว้ว่าง ๆ ก็แวะมาดูแค่นั้นเอง”

“แต่ที่นี่ไม่มีคนดูแล ปู่ย่าก็แก่มากแล้ว ยิ่งถ้าเปิดกิจการหาเงินได้อีกก็ไม่รู้จะโดนเพ่งเล็งอีกกี่คน!”

“งั้นหลังจากนี้ปู่ย่าก็ไม่ต้องมาค่ะ เราผลัดกันมาดูแล้วกัน!”

“อีกอย่างเขาอยากได้แค่ตึกเท่านั้น ไม่มีทางทำร้ายพวกเราหรอก”

เพราะตอนนี้คือสังคมที่อยู่ภายใต้กฎหมาย การใช้อำนาจกดขี่มันมีอยู่แล้ว แต่ถ้าถึงขนาดถ่อเข้ามาลงไม้ลงมือในเมืองหลวงต้องคิดพิจารณาเสียแล้ว

น่าแปลกจริง ๆ

ลอบทำเป็นการส่วนตัวไม่ดีกว่าหรือ? แถมคนพวกนั้นก็พูดจาไม่ระวังอะไรเลยด้วยซ้ำ

แต่ไม่ว่ายังไง ปล่อยปู่ย่าไว้สองคนที่นี่คงไม่ดีแน่

พวกท่านก็แก่มากเลย เกิดอะไรขึ้นมาจะเสียใจก็คงไม่ทันการ

หาคนเพิ่มดีกว่า

เด็กสาวคิดหนัก

เธอไม่ได้สนใจเรื่องสถานที่มาก่อน

คงเพราะทุกอย่างราบรื่นมาก เลยลืมไปว่านี่คือศูนย์การค้า ทุกคนย่อมคิดการร้ายได้เสมอ

ตอนซื้อมาก็แค่ทำเลธรรมดา ๆ แต่พออะไร ๆ พัฒนา แม้ไม่ใช่ทำเลที่ดีก็ย่อมเป็นที่ต้องการได้เสมอ

ไหนจะเรือนพักอาศัยหลังใหญ่นั่นอีก ไม่ใช่แค่คนสองคนที่อยากได้

คนที่ใช้เงินห้าหมื่นจ่ายได้ฐานะทางบ้านต้องดีแน่ ๆ

แต่ไม่ได้หมายความว่าจะตัดออกจากตัวเลือกมีคนหนุนหลังนะ

เฮ้อ!

ไม่ว่ายังไงบ้านเราก็ไม่มีภูมิหลังในเมืองหลวงอยู่ดี

กลับกันหากตึกแห่งนี้ได้คนระดับสูงดูแล คงไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องแบบนี้หรอก

“พ่อแม่ไม่เป็นไรหรอก มีคนคอยดูแลเราตั้งเยอะแยะนะ” คุณปู่ซูยกยิ้ม

สมัยยังหนุ่มสังคมวุ่นวายกว่านี้อีก ไม่ว่าอะไรก็เคยเจอมาทั้งนั้นไม่เห็นมีอะไรเลย

นี่คือเมืองหลวงนะ ถ้าที่นี่อันตรายแล้วที่อื่นจะเหลือหรือ?

เจ้าเด็กพวกนี้เป็นห่วงกันเกินไปแล้ว

“ใช่แล้วลูก เหล่าซาน เสี่ยวเถียนไม่ต้องห่วงไปนะ เรื่องแค่นี้ไม่คุ้มค่าให้ใส่ใจหรอก ย่ากับตาเฒ่าจะไม่เคยเจอมรสุมชีวิตมาก่อนได้ยังไงกัน?”

หญิงชราทำทีราวกับว่าไม่ได้สลักสำคัญอะไร

แท้ที่จริงแล้วกลัวจนอยากล่าถอยด้วยซ้ำ

แต่เด็กมันอุตส่าห์ทำธุรกิจกันมา กว่าจะได้เป็นทรัพย์สมบัติไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ถ้าโดนคนแย่งไปจะทำยังไงล่ะ?

สิ่งที่ลงแรงลงใจมาหลายปีจะไม่สูญเปล่าเอาหรือ?

“เดี๋ยวหนูรับสมัครคนเพิ่มค่ะ ให้ดีก็ขอเป็นคนเกษียณ แล้วก็ทำงานเก่ง ๆ”

เพราะรู้จักปู่ย่าดี ในเมื่อโน้มน้าวไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็พอเถอะ

รับคนมาทำงานเยอะ ๆ ต่อให้มีคนมาหาเรื่องอีก ไม่ว่ามันจะใช้มาตรการใดอย่างน้อยก็รับประกันความปลอดภัยไว้ได้

ไม่รู้ว่าปู่รองจัดการยังไง

เธอหวังว่าผ่านพ้นเรื่องนี้ไปจะไม่มีคนกล้ามาหาเรื่องเราอีกนะ

ใครก็ตามที่เอาชีวิตรอดในเมืองหลวงได้ย่อมไม่ใช่พวกโง่แน่ ๆ

หลังจากนี้จะต้องมีคนอื่น ๆ พยายามสืบเรื่องเราแน่

ต่อให้บอกไม่ได้ว่าใครคือผู้หนุนหลังตระกูลซู อย่างน้อยก็ต้องระวังตัวบ้างแล้ว

ระหว่างนั้นเองที่มีคนมาหา

พวกเขาสูงโปร่ง ใบหน้าเย็นชา ร่างกายตรงแหน็ว รู้เลยว่าเก่งศิลปะการต่อสู้

“สวัสดีครับ ใช่คนตระกูลซูหรือเปล่าครับ?” ชายหน้าเหลี่ยมข้าง ๆ เอ่ยถาม

บ้านเราไม่รู้จักสองคนนี้ เลยได้แต่มองด้วยความสงสัย

สีหน้าทุกคนย่ำแย่มาก ได้แต่กำหมัดแน่น คงไม่ใช่กลุ่มใหม่คิดจะเอาตึกของเราไปอีกใช่ไหม?

ซูเหล่าซานเริ่มชั่งน้ำหนักในใจแล้วว่า หากต้องสู้จริง ๆ จะสู้ไหวหรือเปล่า

คำตอบคือไม่ได้แน่ ๆ!

“พวกเราเป็นคนตระกูลซูครับ ว่าแต่พวกคุณคือ?” ถึงจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ซูเหล่าซานทำได้แค่ก้าวไปข้างหน้า

หลังจากได้ใช้ชีวิตในเมืองหลวงและทำงานขับรถ เขากลายเป็นคนกร้านโลกไปเสียแล้ว

ออร่าที่ปล่อยออกมาจากชายทั้งสองไม่ธรรมดาเลย ราวกับว่าผ่านสงครามมาก่อน

เราสู้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

หลังจากได้รับคำตอบยืนยัน สีหน้าเย็นชาพลันอ่อนลงหลายส่วน

“พวกเราเป็นทหารปลดประจำการที่หัวหน้าต่งส่งมาครับ ท่านบอกไว้ว่าพวกคุณอาจต้องการพวกเลยส่งมาฝั่งนี้ครับ!”

ท่าทีของเขาดูขาดความมั่นใจ

หัวหน้าบอกว่าที่นี่กำลังรับสมัครคน แต่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะรับเข้าทำงานหรือเปล่า

ซูเสี่ยวเถียนไม่นึกเลยว่านี่จะเป็นคนที่ปู่รองส่งมา

ดูเหมือนจะคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วยสินะ ถึงกับคิดไปถึงเรื่องการคุ้มครองเลยด้วย

ปู่รองเยี่ยมมาก!

ซูเหล่าซานไม่เข้าใจเท่าไร เพราะเราคัดเลือกคนไว้แล้ว กำลังอยู่ในช่วงฝึกอบรมก่อนเริ่มงานด้วย!

ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เรายังไม่เปิดทำการ…”

ซูเสี่ยวเถียนได้ยินพ่อพูดเช่นนั้นก็รีบขัดจังหวะเอาไว้ แล้วก้าวไปข้างหน้า

“สหายทั้งสองสวัสดีค่ะ ที่นี่ต้องการรับสมัครคนอย่างที่ว่าไว้เลยค่ะ เรากำลังคิดหาวิธีประกาศรับสมัครอยู่เลย”

แววตาทั้งสองมีประกายแห่งความดีใจ พวกเขาเดินทางมาด้วยความคิดที่พร้อมจะถูกปฏิเสธเสมอ

ถึงเห็นได้ว่าที่นี่ยังไม่เปิดกิจการ แต่จากการตกแต่งมันจะต้องเป็นสถานที่หรูหราแปลกใหม่แน่นอน

“ในเมื่อเป็นคนที่ปู่รองแนะนำมา ฉันรู้เลยว่าพวกคุณเก่งแน่นอนค่ะ!”

เธอไม่คิดปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างต่งหยวนจง

ถึงยังไงก็อยากให้พวกเขาได้ทำงานด้วยความตั้งใจ ทั้งค่าตอบแทนและสวัสดิการก็ดี เส้นสายก็ดี

หลาย ๆ ตระกูลในเมืองหลวงมักมีความสัมพันธ์กันเสมอ บางคนก็ใช้เงินเพื่อเลือกคนมาโดยเฉพาะ

ในเมื่อเป็นคนที่ต่งหยวนจงส่งมา หากได้ทราบเรื่องความสัมพันธ์แล้วจะต้องทึ่งแน่

แล้วก็จริงอย่างที่ว่า

เพราะไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะเรียกหัวหน้าต่งว่า ‘ปู่รอง’ ออกมาตรง ๆ ทั้งสองครอบครัวมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันหรือ?

แต่หัวหน้าแซ่ต่ง และคนกลุ่มนี้แซ่ซูนะ!

ทว่าทหารทั้งสองเข้าใจกฎเกณฑ์ดี

เรื่องบางเรื่องไม่สมควรรู้ และถ้าได้ยินก็จะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน!

“ผมชื่อหลินอี้ เขาชื่อเกาหยางครับ ก่อนหน้านี้พวกเราเป็นลูกน้องของหัวหน้าต่ง หลังจากปลดประจำการออกมายังไม่เจองานเหมาะ ๆ เลย พอหัวหน้าท่านทราบเลยแนะนำให้พวกเรามาลองดูที่นี่ครับ”

หลินอี้ดูอาย ๆ พลอยทำน้ำเสียงเบาไปด้วย

ซูเสี่ยวเถียนแปลกใจ เคยเป็นทหารทั้งยังเป็นถึงลูกน้องปู่รองไม่น่ามีท่าทางแบบนี้สิ

คงเพราะสีหน้าชัดไปอีกฝ่ายเลยเดาออก

“เราไม่ได้เรียนหนังสือมาครับ รู้อักษรไม่กี่คำเท่านั้น!”

พวกเราเป็นทหารชนบท ด้วยสถานการณ์สมัยนั้นต่อให้ได้เรียนประถมก็ไม่ได้เรียนอะไรเยอะแยะ

และหลังจากเข้าร่วมกองทัพก็ไม่ได้เรียนอะไรอีก ต่อให้ขยันทำงานกว่าคนอื่นสุดท้ายก็ต้องปลดประจำการอยู่ดี

เด็กสาวเข้าใจได้ว่าพวกเขาคงเสียเปรียบด้านวุฒิการศึกษา

แต่เธอเชื่อว่าคนที่ปู่รองแนะนำมาไว้ใจในความสามารถได้ และคนเราสามารถเรียนเพิ่มทีหลังก็ได้

“วุฒิการศึกษาน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญค่ะ ตอนนี้ร้านอาหารใกล้จะเปิดบริการแล้วเลยอยากได้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยค่ะ ขอแค่ทำงานเก่ง ตั้งใจ เรื่องการศึกษายังไม่มีข้อกำหนดในตอนนี้ค่ะ!”

เธอเห็นความไม่มั่นใจเหล่านั้น

ตอนนี้เราขอแค่รู้หนังสือก็พอ ไม่ต้องเรียนสูง

เพราะเดี๋ยวอีกสิบปีข้างหน้า นักศึกษาจะกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง คนทำตำแหน่งนี้จะเรียนสูงเอง

สมัยนี้พวกนักวิชาการหายาก คนเรียนสูงที่ไหนจะมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยล่ะ?

ทั้งสองไม่คิดว่าเด็กสาวจะตอบตกลงไวถึงเพียงนี้

ได้แต่มองหน้ากัน เราแค่ตั้งใจมาดูลาดเลา กลายเป็นว่าสำเร็จโดยไม่คาดคิด

“ขอบคุณครับ เราสองพี่น้องจะตั้งใจทำงานอย่างดีครับ!”

ทั้งสองตื้นตันใจมาก ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก

ซูเสี่ยวเถียน “แล้วมีคนเหมาะ ๆ แนะนำอีกไหมคะ?

พอได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองก็ได้แต่นิ่งอึ้ง

หมายความว่าอะไรหรือ?

สองคนไม่พอ? ไหนว่าการศึกษาไม่สำคัญนี่นา?

“แค่สองคนอาจจะดูแลทั้งตึกไม่ไหวค่ะ!” เธอบอกด้วยรอยยิ้ม

“เราสองคนทำได้ครับ” พวกเขาตอบพร้อมกันอย่างกระตือรือร้น

ในฐานะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เราสองคนทำงานสิบสองชั่วโมง ทำสองกะได้

“คนน้อยไปค่ะ บางทีคงไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงด้วย ถ้ามีคนเหมาะ ๆ แนะนำได้เลยนะคะ”

เธอไม่คิดจะเอาเปรียบคนงาน มีกันสองคนทำตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงได้ยังไงกัน

อีกฝ่ายลังเล

“ถ้าไม่มีเดี๋ยวฉันถามปู่รองเพิ่มได้ค่ะ”

เพราะไม่รู้ว่าคิดอะไรจึงบอกไปแบบนั้น

“มีครับ ๆ มีทหารที่ปลดประจำการมาพร้อมเราหลายคนเลย บางคนเก่งอยู่ครับ” หลินอี้รีบตอบ

“แต่ทะเบียนบ้านเราอยู่ต่างจังหวัดครับ คุณเห็นด้วยหรือเปล่า?” เกาหยางถาม

จู่ ๆ ก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้

ที่เราไม่มีงานทำเสียทีเพราะเรียนมาน้อย กับไม่มีทะเบียนบ้านในเมืองหลวง

“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญค่ะ”

เพราะสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่มีทะเบียนบ้านอยู่ต่างจังหวัดทั้งนั้น!

หลังจากได้รับการยืนยัน รอยยิ้มบนใบหน้าคนทั้งสองจึงมีความนอบน้อมมากขึ้น

“ฉันตั้งใจจะรับสมัครเพิ่มอีกสี่คนค่ะ รวมพวกคุณเข้าไปด้วยจะเป็นการทำงานสามกะต่อวัน ต้องมีคนประจำอยู่ที่นี่ตลอด ส่วนเงินเดือนเอาตามฐานเงินเดือนในเมืองหลวงตอนนี้ค่ะ เดือนละแปดสิบหยวนค่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็ดีใจมาก

เราเป็นทหารชนบท หากไม่มีงานเหมาะ ๆ ก็ต้องกลับบ้านไปทำฟาร์มเหมือนกับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ นั่นแหละ

เราสองคนยังตกลงกันไว้เลยว่าถ้าหาไม่ได้จะกลับบ้านแล้ว

“ขอบคุณเจ้านาย!” พวกเขาเอ่ยไม่หยุด

“ไม่ต้องขอบคุณขนาดนั้นหรอกค่ะ อีกเรื่องคือฉันมีข้อกำหนดด้วยว่า พวกคุณต้องมีบุคลิกที่ดี มีความรับผิดชอบ มีความสามารถ ถ้าทำไม่ดีต้องขอไล่ออกนะคะ”

หลินอี้และเกาหยางมีหรือจะไม่เข้าใจ ข้อกำหนดที่ว่าถือเป็นการร้องของกลาย ๆ จากซูเสี่ยวเถียน

พวกเขาพยักหน้าซ้ำ ๆ “เราจะทำตามอย่างเคร่งครัดครับ”

ลำบากกันมาตั้งนาน หางานก็ยาก จะไม่ให้ตั้งใจได้ยังไง?

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งสองก็ผลัดกันมาทำงาน

พวกเราเช่าบ้านในเมืองหลวงไว้ด้วย แต่ซูเสี่ยวเถียนบอกให้อยู่หอพักพนักงานแทน

ไม่คิดเลยว่าจะได้มาทำงานที่นี่ ทั้งยังอยู่หอพักแบบไม่เสียเงินด้วย เลยทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่มากขึ้น

ดูเผิน ๆ เหมือนเรื่องราวจะผ่านไป แต่เด็กสาวรู้ดีว่าหากต่งหยวนจงได้ลงมือย่อมไม่ปล่อยผ่านไปง่าย ๆ แน่

พอไปสอบถามเป็นการส่วนตัวก็ได้ความว่า คนพวกนั้นคือกลุ่มเจ้าหน้าที่ของสำนักแห่งหนึ่ง

ตอนนี้โดนพักงานอยู่บ้าน

ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่สามารถล่วงรู้ได้อีก!

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท