“ชิมิซุซังชอบอ่านหนังสือเหรอครับ?”
ขณะที่พวกเรากำลังเดินป่าอยู่นั้น ทาคายูกิก็ได้กล่าวถามชิมิซุซังในน้ำเสียงปกติ
“หือ? หา? อะไรนะคะ?”
แต่ว่าอีกฝ่ายกลับลนลานเสียอย่างนั้น
“ก็ผมเห็นว่าคุณอ่านหนังสือในห้องตลอดเลยนี่ครับ”
“อืมค่ะ…..เห็นด้วยเหรอคะ…..”
“แน่นอนครับ พวกเราอยู่ห้องเดียวกันนี่!”
เนื่องจากความอายที่อีกฝ่ายเห็นสิ่งที่เธอชอบทำในห้อง ชิมิซุซังก้มหน้างุดด้วยแก้มที่แดงแจ๋
แต่ว่าทาคายูกิดูจะไม่ได้ใส่ใจท่าทีของเธอและกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม “ไว้คุณแนะนำหนังสือดีๆให้ผมบ้างนะครับ!”
ผมยังไม่ได้พูดคุยกับชิมิซุซังแบบจริงจังเท่าไหร่ แต่ความสามารถของในการเข้าหาทุกคนของทาคายูกินั้นเป็นสิ่งที่น่าอิจฉาจริงๆ
ขณะที่ผมกำลังมองการสนทนาของพวกเขา ซาเองุสะซังที่เดินอยู่ข้างชิมิซุซังจู่ๆก็ลดฝีเท้าลงมาเดินข้างๆผม
แถมทั้งทาคายูกิและชิมิซุซังนั้นดูจะไม่ได้รู้สึกตัวเลยเสียด้วย
—ทฤษฎีที่ว่าซาเองุสะซังอาจจะเป็นนินจาได้แล่นเข้ามาในหัวผม
ซาเองุสะที่มาเดินกับผมนั้นยิ้มให้กับผมแต่ไม่ได้มองมาที่ผมตรงๆก่อนจะกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “สวัสดีจ้า”
“วันนี้อากาศดีจังเนอะ!”
“ใช่ครับ”
“เหมาะกับการเดินป่าสุดๆเลยเนอะ!”
“ใช่ครับ”
“แถมต้นไม้ก็ร่มรื่นสุดๆเลยเนอะ!”
“ใช่ครับ”
“…..”
ซาเองุซะซังพูดกับผมรัวๆ แต่ผมที่ใจเต้นไม่หยุดก็ได้แต่ตอบกลับไปว่า “ใช่ครับ”
ด้วยเหตุนั้นซาเองุสะซังก็หยุดเดิน
ผมรู้สึกไม่ดีจึงหันกลับมาหาเธอ
แล้วก็เห็นภาพที่เธอพองแก้มเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ มือทั้งของของเธอประสานกันแน่น
“เป็นอะไรไปครับซาเองุสะซัง”
“…..”
ผมลองถามเธอดูแค่เธอก็ยังคงพองแก้มและเงียบอยู่
หืม? ฉันควรทำไงดีเนี่ย?
เห็นได้ชัดเลยว่าตอนนี้สถานการณ์มันแย่สุดๆ และผมต้องแก้ไขมันให้เร็วที่สุด
เพราะว่าตอนนี้คนที่เดินผ่านไปก็ต่างมองมาที่พวกผมสองคน
ที่ตอนนี้สุดยอดไอดอลชิโอรินนั้นกำลังพองแก้มจ้องมองมาที่ผม พวกนั้นจึงกล่าวอย่างสงสัย “หมอนั่นทำอะไรเธอน่ะ?”
นี่มันไม่ดีเลยสักนิด
ผมต้องแก้ไขมันให้เร็วที่สุดแล้วสิ
แล้วมันก็เกิดขึ้นจนได้! ผมจับแขนของซาเองุสะซังและลากเธออกไปจากตรงนี้ทันที
แต่ผมก็รู้สึกตัวว่ามีทำพลาดมหันต์เลย
—การที่ผมลากเธอมาแบบนี้มันแย่กว่าเดิมอีกไม่ใช่รึไง?
ผมมองไปด้านหน้าก็พบกับทาคายูกิและชิมิซัซังที่รอเราอยู่
และใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ
จากนั้นผมก็ปล่อยมือจากแขนของซาเองุสะซังก่อนจะกล่าวขอโทษ “ซาเองุสะซัง! ผมขอโทษด้วยครับ!”
ผมไม่มีทางอื่นนอกจากต้องขอโทษ พลางสงสัยกว่าทำไมผมถึงทำแบบนั้นลงไป
แต่ว่าพอผมเห็นหน้าเธอก็พบว่าเธอนั้นไม่ได้โกรธเลย
แต่ว่าเธอก้มหน้างุดด้วยหน้าที่แดงไปทั้งใบหน้า
“คือว่า…..’
“หือ? โอ้ ฉันว่าเราต้องไปกันแล้วล่ะ!”
ขณะที่ผมกำลังจะกล่างบางอย่างซาเองุสะซังก็กล่าวขัดก่อนที่จะรีบเดินนำไปด้วยรอยยิ้มเขินอายบนใบหน้า
ผมก็ดีใจนะที่เธอไม่ได้โกรธผม
ผมกลับมาตั้งสติใหม่และเดินทางต่อ แล้วซาเองุสะซังก็เดินเข้ามาหาผมอีกครั้ง แล้วก็กระซิบข้างหูผม
“ถ้าคราวหน้านายไม่ขอฉันก่อนล่ะก็ ฉันจะไม่ยกโทษให้แล้วนะ โอเค๊?”
แล้วผมก็ได้เห็นรอยยิ้มซุกซนบนใบหน้าของเธอและมันน่ารักสุดๆ
หลังจากที่พวกเราเดินมาได้พักใหญ่ ก็ได้มาถึงที่หมาย
“ทุกคนมีเวลาเวลาว่างถึงบ่ายโมงครึ่งนะ ทานข้าวกันให้เรียบร้อยด้วยล่ะ”
“”””ครับ!/ค่า!”””
ในที่สุดก็ได้กินข้าวสักที
“เอาแถวนี้มัย?”
“ได้สิ……ไม่ดีกว่า…..”
ผมกำลังจะตอบตกลงแต่ก็ต้องปฏิเสธทันที
เพราะผมเห็นว่าสายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่กลุ่มของพวกเรา เพราะหวังว่าจะได้นั่งทานใกล้ๆเรา
ผมโอเคนะถ้ามีคนอื่นมานั่งใกล้ๆ แต่ว่าซาเองุสะซังนี่สิ
ผมหันไปมองซาเองุสะซังที่ดูเหนื่อยหน่ายกับการรับมือเหล่าไทยมุง
พวกเราสามคนมองหน้ากันตัดสินใจเดินไปที่อื่น
ซาเองุสะซังที่เดินตามมาด้านหลังทำหน้าสงสัยว่าพวกเราทำอะไรกัน
หลังจากออกห่างจากคนอื่นๆมาได้สักพักผมก็จับแขนของเธออีกครั้ง
“อะไร? มีอะไรงั้นเหรอ?”
ผมส่งยิ้มให้กับซาเองุสะซังที่กำลังตกใจที่ผมจับแขนของเธออยู่
“ซาเองุสะซัง! ผมจะวิ่งแล้วนะครับ!”
จากนั้นพวกเราก็รีบวิ่งไปทิศทางหนึ่ง
กลุ่มอื่นๆที่เห็นว่าเราทำแบบนั้นก็พยายามตามมา แต่เมื่อพวกเขารู้ตัวว่าการที่พวกตนมาวิ่งตามแบบนี้มันน่าอายสุดๆจึงยอมแพ้ไป
“พวกเราทำได้!”
“โอ้เย้!”
“พระเจ้า! พวกนายวิ่งเร็วจนฉันกลัวเลยนะเนี่ย!”
“โทษทีนะชิออนจัง”
จากนั้นพวกเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เพราะเรื่องเมื่อกี้มันตลกสุดๆ
“โอเค! มาทานข้าวกลางวันกันเถอะ!”
“ใต้ต้นไม้ใหญ่ๆตรงนั้นเป็นไง?”
โอ้ ตรงนั้นมันดีสุดๆเลยล่ะ
ดังนั้นพวกเราจึงเดินไปทานอาหารกลางวันที่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น ซึ่งอยู่ห่างจากกลุ่มอื่นๆไปมาก