หลังจากมื้อกลางวันพวกเราตัดสินใจว่าจะมาดูหนังกัน
“ทัคคุงทางนี้ๆ!”
ซาเองุสะซังตะโกนบอกทางผมท่ามกลางฝูงชน
และเธอก็เรียกผมว่าทัคคุงซะด้วย
ผมรู้แล้วว่าการถูกเรียกด้วยชื่อเล่นมันน่าอายขนาดไหน
ถ้าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ก็คงจะโอเค
แต่นี่คนที่เรียกผมแบบนี้คือซาเองุสะซังอดีตไอดอลชื่อดัง ทำเอาผมเขินไม่หยุดเลย
หลังเดินมาได้สักพักพวกเราก็มาถึงโรงหนัง
ที่นี่เป็นเมืองใหญ่เพราะงั้นโรงหนังที่นี่ก็เป็นศูนย์การค้าและโรงแรมไปในตัว ตอนแรกผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือโรงหนังน่ะ
พวกเราเข้าไปด้านในและซื้อตั๋วหนังที่ซาเองุสะซังอยากจะดู
กนังเรื่องนั้นมีชื่อว่า “ลองลดระยะห่างลงและทำตามหัวใจตัวเองสิ” ซึ่งเป็นหนังโรแมนติก
แถมนางเองของเรื่องนี้แสดงโดยอาคาริน กัปตันวง Amgel Girls ด้วย
นอกจากจะเป็นไอดอลแล้วอาคารินก็ยังเป็นนักแสดงอีกด้วย เนื่องจากเธอแสดงมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ฝีมือการแสดงของเธอทำให้เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงรุ่นเยาว์ที่เก่งที่สุด
เพราะงั้นเหตุผลที่หนังดังนั้นไม่ใช่แค่เพราะว่าเธอเป็นไอดอลแน่ๆ
ผมมองซาเองุสะซังอย่างสงสัยว่าทำไมเธอถึงอยากดูเรื่องนี้ ซึ่งตอนนี้เธอกำลังยิ้มออกมาอย่างเปี่ยมสุข
พวกเราเลือกนั่งที่แถวหลังๆที่อยู่ใกล้พอจะมองจอให้ชัดๆ พร้อมกับเอาเครื่องดื่มเข้ามาด้วย
แล้วแสงไฟก็ดับลงและโฆษณาก็เริ่มฉายบนจอ แล้วซาเองุสะซังก็ถอดแว่นออกพร้อมกับพูดว่า “ฟู่ว ได้ถอดออกสักทีนะ”
การใส่แว่นกันแดดตลอดเวลามันก็ลำบากจริงๆนั่นแหละ วันนี้ผมได้รู้แล้วว่าการเป็นคนดังลำบากขนาดไหน
ผมจึงกระซิบกันเธอ
“ลำบากหน่อยนะครับ แต่ผมดีใจนะที่ได้เห็นหน้าชิจังได้ชัดๆน่ะ”
ผมยิ้มแหย่ๆเธอและเมื่อเธอหันมาาพร้อมกับถอดแว่นตาออก ก็เห็นได้ชัดเลยว่ากน้าเธอแดงก่ำขนาดไหน
“ไม่ได้นะ นายต้องตั้งใจดูหนังเข้าใจมั้ย?”
“ฮ่าๆๆๆ เข้าใจแล้วครับ”
“งั้นก็มาตั้งใจดูด้วยกันเถอะ”
ผมตอบว่าเธอพูดถูก
“แต่นายจะเหล่ๆมามองฉันหน่อยก็ได้นะ…..”
ขณะที่ผมกำลังขำซาเองุสะซังก็พึมพำเบาๆ
ตอนที่เธอพูดแบบนั้นผมก็ขำออกมาด้วยใบหน้าที่เป็นสีแดง
หนังได้เริ่มฉายแล้ว
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อดัง
ตอนนี้มันกลายเป็นหนังที่ได้รับความนิยมในตอนนี้ ผมจึงได้ยินคนในห้องพูดอยู่บ่อยๆว่าอาคารินที่เป็นนางเอกนั้นน่ารักมาก
หนังเรื่องนี้เสนอเรื่องราวของชายหญิงคู่หนึ่งที่แตกต่างกัน แต่ก็มักจะพบกันโดยบังเอิญจากฝีมือการชงของเพื่อนคนหนึ่ง
พระเอกคือเป็นเด็กม.ปลายธรรมดาๆ ส่วนนางเอกเป็นสาวไอดอล ด้วยนหน้าที่การงานของเธอทำให้พวกเขาต้องห่างกัน (T/N: คุ้นๆมะ?)
แต่ว่าในที่สุดฝ่ายชายก็สารภาพความรู้สึกออก ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะต้องย้ายโรงเรียนเนื่องจากเหตุผลด้านการงาน ด้วยความช่วยเหลือจากผู้คนรอบๆ จนพวกเขาก็ได้เริ่มคบกัน
แม้ว่าฝ่ายหญิงจะต้องย้ายไปเรียนที่อื่น แต่ความรู้สึกของพวกเขาก็ไม่ได้สั่นคลอนลงเลย
ผมรู้สึกว่านางเองนั้นมีความคล้ายกับซาเองุสะซังอยู่เหมือนกัน
ผมอดจะสงสัยไม่ได้ว่าถ้าเธอต้องย้ายโรงเรียนไปผมจะเป็นยังไง
พวกเราสองคนกลายเป็นเพื่อนที่ดีของกันและกัน แถมตอนนี้ยังมาดูหนังด้วยกันอีก แต่ผมก็อดจะคิดไม่ได้จริงๆ
ผมมองไปที่ซาเองุสะที่ตอนนี้มีน้ำไหลออกมาจากดวงตา
การแสดงของอาคารินนั้นถ่ายทอดความรู้สึกของเด็กสาวที่มีปัญหาด้านความรักออกมาได้ดี จนผมต้องน้ำตาไหลออกมาอีกคน
พวกเราออกมาจากโรงและเดินตรงไปที่ทางออก
แต่ดูเหมือนว่าซาเองุสะซังจะยังอินกับหนังอยู่ เธอจึงก้มหน้าเดินเงียบๆ
“……ทัคคุงนายคงจะไม่ย้ายโรงเรียนหรอกใช่มั้ย?”
เธแหยุดเดอนิละกล่าวพึมพำเบาๆ
ผมเหรอ? มันควรจะเป็นคุณมากกว่ามั้ง? แต่ว่าการที่เธอทำสีหน้าแบบนั้น ทำเอาผมไม่กล้าพูดออกไปเลย
เพราะก่อนหน้านี้ผมเองก็คิดแบบเดียวกัน
ผมจึงยิ้มและตอบกลับไป
“ผมไม่ย้ายไปไหนหรอกครับ”
เธอยิ้มออกมาและพูดอย่างโล่งอกว่า “ดีใจจัง”
“ฉันก็จะไม่ย้ายไปไหนเหมือนกัน เพราะมันคือเหตุผลที่ฉันออกจากการเป็นไอดอลน่ะ…..”
และคำพูดเหล่านั้นเหมือนทำให้ผมยกภูเขาออกจากอกได้
อาจจะเป็นเพราะผมได้ดูหลังเรื่องนั้นด้วยล่ะมั้ง
ผมอดคิดเรื่องนี้ไม่จริงๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอคนนี้
แต่ว่าทำไมเธอถึงได้ออกมาล่ะ?
หรือว่าจะมีเหตุผลอื่นนอกจากเรื่องเรียน?
ผมอดไม่ได้ที่จะสงสัยเรื่องนี้จนหัวผมปั่นไปหมด
“พวกเรากลับกันเถอะ! ตอนนี้มันเย็นมากแล้ว!”
ดูเหมือนเธอจะคิดเหมือนผม แล้วเธอก็จับมือลากผมไปที่โถงลิฟท์
ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและมองดูซาเองุสะผู้น่ารักและร่าเริง
ดังนั้นแล้ว
“ผมสนุกมากเลยครับ! ไว้คราวหน้าเรามาเที่ยวด้วยกันอีกนะครับ!”
ผมยิ้มออกมาและจับมือเธอไว้แน่น
เธอตกใจมี่ผมจับมือเธอกลับมาจนลนลาน แต่ก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “อยากไปตอนไหนก็บอกมาได้เลย!” พลางยิ้มให้กับผม
—และนั่นก็คือ
สิ่งที่เธอกระซิบบอกผมตอนที่แก้มเธอกลายเป็นสีชมพู