ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 208 เราไม่ได้มีพ่อคนเดียวกัน

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 208 เราไม่ได้มีพ่อคนเดียวกัน

ตอนที่ 208 เราไม่ได้มีพ่อคนเดียวกัน

แม้แต่หลินเยี่ยนน้องสาวขี้อายและชอบเก็บตัวยังกล้าปริปากวิพากษ์วิจารณ์หล่อนในเวลานี้ ทำให้สีหน้าของเสิ่นอวี้อิ๋งพลันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

หล่อนแก้ตัว “ฉันไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขา มีแต่เขาที่มารบกวนฉันตลอด”

อย่างไรก็ตาม หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนกำลังยุ่งอยู่กับการขนของลงรถเข็น และดูเหมือนพวกหล่อนจะไม่เชื่อคำพูดของหล่อน หรือใส่ใจชั่งน้ำหนักมากนักว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง

เสิ่นอวี้อิ๋งมองไปที่หลิวกุ้ยอิง บ่นอย่างน่าสงสาร “แม่ หลินเซี่ยจงใจบอกที่อยู่บ้านตระกูลเสิ่นให้เจิ้งต้าหมิงรู้ เท่ากับหล่อนพยายามจะหาเหาใส่หัวฉัน เจิ้งต้าหมิงเป็นแค่อันธพาลไร้อนาคต ฐานะยากจน พอเขาเห็นว่าตอนนี้ฉันย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแล้ว ก็เลยจงใจรบกวนฉัน และขูดรีดเงินจากฉันอีกด้วย แถมยังบอกว่าเขากล้าทำลายชื่อเสียงของฉันให้ป่นปี้จนฉันไม่สามารถอยู่ในไห่เฉิงต่อไปได้ ฉันเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ตอนนี้แทบไม่มีแรงจูงใจในการเรียนเลยด้วยซ้ำ

หลินเซี่ยอายุยังน้อยแท้ ๆ แต่กลับมีความคิดชั่วร้ายขนาดนี้ แม่อย่าถูกหล่อนหลอกเชียว หล่อนไม่มีความผูกพันอะไรกับเราเลย อีกหน่อยต้องหาทางแก้แค้นพวกเราทุกคนแน่ เพราะหล่อนต้องสูญเสียสถานะลูกสาวของตระกูลเสิ่นไป ต่างจากพวกเราที่อยู่ด้วยกันมาตั้งยี่สิบปี แล้วฉันก็ยังนับถือแม่เป็นแม่ของฉันอยู่เสมอ ทันทีที่ได้ยินว่าแม่มาอยู่ในเมือง ฉันก็รีบมาหาอย่างไม่ลังเล”

“แม่ แม่ช่วยฉันหน่อยได้ไหม? หลินเซี่ยจงใจก่อปัญหา ยุยงให้เจิ้งต้าหมิงเข้าเมืองมารังควานฉัน ทำให้ฉันใช้ชีวิตอย่างปกติสุขแทบไม่ได้ แม่คงไม่อยากให้ลูกสาวของแม่คนนี้ถูกคนบ้านนอกทำลายชีวิตจนไม่เหลืออะไรหรอกจริงไหม”

ตั้งแต่เสิ่นอวี้อิ๋งกลับมาสู่ตระกูลเสิ่น หล่อนก็สร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสามาโดยตลอด เป็นธรรมดาที่จะไม่กล้าบอกเสิ่นเถี่ยจวินว่าหล่อนเคยคบหากับผู้ชายคนหนึ่งสมัยอยู่ในชนบท และผู้ชายคนนั้นก็รู้ที่อยู่ในเมืองของตนแล้ว

เรื่องราวระหว่างหล่อนกับเจิ้งต้าหมิงนั้นซับซ้อนเกินจะอธิบาย นอกจากนี้หล่อนยังทำแหวนอันเป็นมรดกสืบทอดของตระกูลอีกฝ่ายหล่นหายโดยไม่ได้ตั้งใจในระหว่างที่ย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง

หล่อนไปซื้อแหวนที่มีลักษณะคล้ายกันแล้วส่งคืนให้เจิ้งต้าหมิง แต่เจิ้งต้าหมิงปฏิเสธ บอกว่าแหวนวงนั้นคือมรดกตกทอดของครอบครัวที่มีคุณค่าทางจิตใจ เขาต้องได้แหวนวงเดิมคืนเท่านั้น

ก่อนที่หล่อนจะหาแหวนมาคืน เจิ้งต้าหมิงก็ทึกทักเอาเองว่าหล่อนกลายเป็นสะใภ้ตระกูลเจิ้งไปแล้ว

หล่อนขอให้เขาเลิกแล้วต่อกันไปซะ ปรากฏว่าเจิ้งต้าหมิงข่มขู่ บอกว่าเขาจะเข้าไปในโรงเรียนแล้วประจานความสัมพันธ์ของทั้งคู่

ตอนนี้หล่อนยังไม่กล้าคิดแผนตอบโต้อย่างหุนหันพลันแล่น ทำได้แค่ยื้อเวลาต่อไปเท่านั้น

แต่ยิ่งนานวันเข้าก็เหมือนจะไม่สามารถคุมเพลิงได้อีกต่อไป

วันนี้หล่อนตั้งใจมาหาหลิวกุ้ยอิง ก็เพราะหวังว่าอีกฝ่ายจะช่วยทำอะไรเพื่อตนได้บ้าง

แทนที่จะกังวลเรื่องตัวเองถูกเจิ้งต้าหมิงตามมาพัวพัน หล่อนกลับมาหาครอบครัวเก่าแล้วพูดจาสุมไฟ

ยกเหตุผลมาอ้างว่าหลินเซี่ยมีเจตนาไม่ดี จงใจสนับสนุนให้ผู้ชายในบ้านเกิดเข้าเมืองมาตามรบกวนหล่อนไม่จบสิ้น

หล่อนเห็นว่าพ่อ ปู่ และลูกพี่ลูกน้องของตนต่างก็ไม่ชอบหน้าหลินเซี่ย ฉะนั้นตราบใดที่หลิวกุ้ยอิงช่วยออกตัวเป็นพยาน และยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแค่แผนการป้ายสีของหลินเซี่ย พวกเขาย่อมเชื่อโดยไม่มีเงื่อนไข

ใครจะคาดคิดว่าเสิ่นอวี้อิ๋งคำนวณผิดถนัด

หลินเซี่ยไม่ใช่หลินเซี่ยคนเดิมเมื่อครั้งอดีต และหลิวกุ้ยอิงในตอนนี้ก็ไม่ใช่ผู้หญิงบ้านนอกที่ยอมคนเสมอ และไม่กล้าแสดงออกอีกต่อไป

หล่อนไม่สามารถจูงจมูกหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ไม่ว่าหลิวกุ้ยอิงจะเป็นคนใจเย็นแค่ไหน ใบหน้าของหล่อนก็ยังมืดครึ้มลงเมื่อได้ยินเสิ่นอวี้อิ๋งพูดจายุยงให้เกิดความแตกแยกระหว่างแม่กับลูกสาว หนำซ้ำยังดูถูกหลินเซี่ย “อวี้อิ๋ง เซี่ยเซี่ยเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของฉัน ฉันต้องรู้นิสัยใจคอของหล่อนดียิ่งกว่าใคร ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันดีใจมากที่ได้เจอเธอที่ไห่เฉิงอีกครั้ง แต่ใช่ว่าฉันอยากได้ยินเธอพูดจาแย่ ๆ เกี่ยวกับลูกสาวของฉันทันทีที่เราพบหน้ากัน”

เสิ่นอวี้อิ๋งไม่คิดว่าทัศนคติของหลิวกุ้ยอิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ใบหน้าของหล่อนแข็งทื่อ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง “แม่ แม่ยังเป็นคนซื่อเซ่อเหมือนเดิมไม่มีผิด ถูกเธอล้างสมองเข้าจนได้”

“ใช่ ฉันยอมรับว่าเมื่อก่อนฉันไม่เคยมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง” หลิวกุ้ยอิงเก็บข้าวของรอบ ๆ แผงเสร็จเรียบร้อยแล้ว พลางหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก มองเสิ่นอวี้อิ๋งด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่ตอนนี้ฉันมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว ฉันแยกแยะออกว่าอะไรถูกอะไรผิด”

หลินเยี่ยนจัดการผูกเชือกโอบสิ่งของต่าง ๆ บนรถเข็น เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวของร่วงลงมา

จากนั้น แม่และลูกสาวก็ตั้งท่าจะเข็นรถกลับบ้าน

เสิ่นอวี้อิ๋งยืนอยู่ข้าง ๆ ต้องการเดินตามพวกหล่อนไปเพื่อดูว่าตอนนี้ทั้งคู่พักอยู่ที่ไหน แต่เห็นได้ชัดว่าหลิวกุ้ยอิงในตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะต้อนรับหล่อนอีกต่อไป พาให้บรรยากาศค่อนข้างน่าอึดอัด

พอไม่บรรลุเป้าหมาย เสิ่นอวี้อิ๋งก็ไม่ต้องการจากไปทั้งแบบนี้

“แม่ ผมเลิกงานแล้ว”

หลินจินซานกำลังเดินตรงมาทางนี้ เมื่อเห็นเสิ่นอวี้อิ๋ง เขาถึงกับกะพริบตาปริบด้วยความตกตะลึงในตอนแรก หลังจากยืนยันว่าผู้หญิงตรงหน้าคือเสิ่นอวี้อิ๋งจริง ๆ เขาก็รีบปรี่เข้าไปหาพลางแค่นเสียงพูดด้วยความโกรธ “เธอมาทำอะไรที่นี่?”

เสิ่นอวี้อิ๋งตกใจเช่นกันเมื่อเห็นว่าหลินจินซานเองก็อยู่ที่นี่ ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีแต่เรื่องไม่คาดคิด

ครอบครัวพวกเขาได้กลับมารวมตัวกันภายในช่วงเวลาสั้น ๆ จริงเหรอเนี่ย?

หลินจินซานสวมชุดตามสมัยนิยมของหนุ่ม ๆ ยุคนี้ ทรงผมเสยปัดไปด้านหลัง ดูหล่อเหลาไร้ร่องรอยความบ้านนอก

เขาดูแตกต่างไปจากเด็กหนุ่มชาวนาคนก่อนที่หล่อนคุ้นตาอย่างสิ้นเชิง

“พี่ชาย นายก็อยู่ที่ไห่เฉิงเหมือนกันเหรอ?” เสิ่นอวี้อิ๋งเห็นหลินจินซาน ก็แทนที่สีหน้าบูดบึ้งด้วยรอยยิ้มเสแสร้งบนใบหน้า หันไปทักทายเขาตามมารยาท

หลินจินซานกัดฟันกรอดแล้วพูดเยาะเย้ย “ทำไม ไม่นึกล่ะสิว่าจะได้เจอฉัน? คิดว่าหลังจากตัวเองทำลายชื่อเสียงของฉันจนย่อยยับ ป่านนี้ฉันควรหนีหัวซุกหัวซุนออกจากบ้านไปเป็นคนจรจัดข้างนอกใช่ไหมล่ะ?”

ตอนนี้ เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งเผชิญหน้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความจงเกลียดจงชังของหลินจินซาน รวมถึงรังสีอันแข็งแกร่งที่เปล่งออกมาจากร่างกายเขา หล่อนก็ตกใจมากจนต้องถอยออกไปตั้งหลัก แต่ยังอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ชาย นั่นเป็นความผิดฉันเอง ตอนนั้นฉันยังเด็กก็เลยตกใจกลัวจนโทษนายอย่างหุนหันพลันแล่น แต่เหตุการณ์นั้นก็ไม่ใช่ความผิดของฉันคนเดียวซะหน่อย อารองกับอาสะใภ้รองเอาแต่เป่าหูฉัน แถมยังพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับนายให้ฉันฟังเสมอ ฉันเลยพลอยตำหนินายอย่างนั้น”

หลังจากที่เสิ่นอวี้อิ๋งพูดเสียงเบา ๆ หล่อนก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง พยายามคว้าชายเสื้อของเขา “พี่ชาย ช่วยยกโทษให้ฉันได้ไหม? ในที่สุดพวกเราก็มีโชคชะตาได้เจอกันอีกที่ไห่เฉิง จากนี้เรามาเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันเถอะ”

เมื่อเห็นว่าหลินจินซานเองก็อยู่ในไห่เฉิง เสิ่นอวี้อิ๋งผุดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ

อดีตพี่ใหญ่ของหล่อนคนนี้ อาจจะช่วยทำให้เจิ้งต้าหมิงหวาดกลัวได้

หลินจินซานสะบัดตัวหนีจากสัมผัสของอีกฝ่าย มองหล่อนด้วยสายตาเย็นชาอย่างยิ่ง “ไม่จำเป็น เธอกลับไปอยู่สวย ๆ เป็นลูกสาวของผู้อำนวยการโรงงานซะเถอะ พวกเราเป็นแค่คนยากจน ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพี่น้องกับเธอหรอก

เมื่อก่อนตอนที่เรายังเป็นพี่น้องกัน ฉันโดนเธอใส่ความว่าฉันแอบถ้ำมองในขณะที่เธอนอนหลับ จนต้องระเห็จออกมาจากหมู่บ้าน ตอนนี้เรากลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ไม่มีสายเลือดผูกพันกันอีกต่อไปแล้ว ขืนฉันเข้าใกล้เธออีกครั้ง ฉันไม่ถูกเธอแจ้งตำรวจจับข้อหาอันธพาลเลยเหรอ?”

เสิ่นอวี้อิ๋งเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองหน้าเขาด้วยสีหน้าน่าสงสาร อธิบายต่อไปพลางสะอึกสะอื้นน้ำตาคลอ “พี่ชาย นายเข้าใจฉันผิดไปจริง ๆ ที่จริงการที่ฉันสงสัยว่านายมีเจตนาแบบนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลซะทีเดียว ฉันแค่คิดว่าเราสองคนไม่ใช่พี่น้องทางสายเลือดกันแท้ ๆ นายอาจเป็น…”

เสิ่นอวี้อิ๋งพูดแล้วหยุดชะงัก มองหลิวกุ้ยอิงอย่างระมัดระวัง และแล้วก็ลังเลที่จะพูดต่อ

หลินจินซานสาปแช่งด้วยความโกรธ “ไร้สาระ ทำไมพี่น้องต่างแม่จะเป็นพี่น้องกันไม่ได้?”

“ฉันแค่คิดว่า… ฉันแค่คิดว่านายกับฉันไม่ได้มีพ่อคนเดียวกัน”

เสิ่นอวี้อิ๋งจับสายกระเป๋าเป้สะพายหลังของตัวเองแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง เสียงของหล่อนทั้งเบาหวิวและอ่อนแรง ถึงอย่างนั้นก็แอบสังเกตปฏิกิริยาของหลิวกุ้ยอิงจากหางตา

หลิวกุ้ยอิงร้อนตัวจริง ๆ ตอบโต้ด้วยความตื่นตระหนก “พูดจาไร้สาระอะไรออกมา?”

หลินจินซานปกป้องหลิวกุ้ยอิงโดยผลักให้หล่อนไปอยู่ข้างหลัง ก่อนจะเตือนเสิ่นอวี้อิ๋งด้วยใบหน้าเย็นชา

“เสิ่นอวี้อิ๋ง ใครบอกเธอว่าเราไม่ได้มีพ่อคนเดียวกัน? รู้ไหมว่าเธอกำลังพูดจาดูหมิ่นแม่ของฉันอยู่? ถ้าเธอยังเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระอีก ฉันจะฉีกปากของเธอออกเป็นชิ้น ๆ เดี๋ยวนี้”

“แม่ ฉันขอโทษ แต่ฉันพูดอะไรผิดตรงไหน?”

เสิ่นอวี้อิ๋งมองไปทางหลิวกุ้ยอิงพลางพิจารณาปฏิกิริยาของหล่อน อธิบายอย่างไร้เดียงสา “ฉันก็ฟังมาจากคำบอกเล่าของพ่ออีกที สงสัยคงเลอะเลือนจนจำผิดไปน่ะค่ะ”

สีหน้าของหลิวกุ้ยอิงแสดงออกชัดเจนว่าน่าเกลียดแค่ไหน

มิน่าล่ะ หลินต้าฝูเคยเล่าอะไรบางอย่างให้เสิ่นอวี้อิ๋งฟังจริง ๆ

หล่อนหลบเลี่ยงสายตาที่จ้องมองตรงมาของเสิ่นอวี้อิ๋งด้วยความตระหนก หันกลับไปอีกทางเพื่อระงับอารมณ์ลงสักพัก ก่อนจะหันกลับมาหาเสิ่นอวี้อิ๋งอีกครั้งด้วยใบหน้าและน้ำเสียงเย็นชา

“เธอไม่ใช่ลูกสาวของฉันอีกต่อไป จากนี้อย่าหยิบยกเรื่องไร้สาระพวกนี้มาคุยกันอีก ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในบ้านตระกูลเสิ่นให้ดีเถอะ เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านนอกเธอแทบจะทนความลำบากไม่ได้ พวกเราก็ไม่เคยปล่อยให้เธอต้องอดอยากปากแห้งเลยสักครั้ง เธออยากไปเรียนในตัวอำเภอ ฉันกับน้องสาวของเธอก็พยายามสนับสนุนการเล่าเรียนของเธออย่างที่สุดถึงขั้นออกไปทำงานรับจ้าง ไม่นึกเลยว่าเธอจะใจร้ายถึงขั้นใส่ความพี่ชายตัวเอง แถมยังริชิงสุกก่อนห่ามตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยม

จากนี้ไป ไม่ว่าเธอจะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราอีกแล้ว ฉันได้แต่หวังว่าเธอจะเห็นแก่ฉันที่อุตส่าห์เลี้ยงดูเธอมายี่สิบปี ไม่แพร่ข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ กับคนนอกว่าฉันเคยทำร้ายทารุณเธอ ควรมีจิตสำนึกซะบ้าง”

หลังจากที่หลิวกุ้ยอิงพูดจบ หล่อนก็มองไปที่หลินจินซานและหลินเยี่ยน โบกมือให้พวกเขาเข็นรถกลับไป “ไปเถอะ กลับบ้านกัน”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มาเพื่อสร้างความร้าวฉานโดยแท้ยัยอวี้อิ๋ง ออกไป๊ ก่อนที่จะโดนอัญเชิญลงหม้อแล้วเอาไปถ่วงน้ำ /กางอาคม สาดน้ำมนต์ไล่/

ไหหม่า(海馬)

—————————————–

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท