ตอนที่ 210 ไปเยี่ยมหมอเย่
ตอนที่ 210 ไปเยี่ยมหมอเย่
หลินจินซานและหลินเยี่ยนเดินเข้าเดินออกจากห้องครัวสองรอบ ไม่นานก็ยกกับข้าวที่ทำเสร็จแล้วออกมา
“ว้าว วันนี้มีของอร่อยหลายจานเลย” หลินเซี่ยอุทานขณะที่เธอมองดูอาหารจานหลักบนโต๊ะ
หลินเยี่ยนวางชามใบใหญ่ไว้กลางโต๊ะ “ใช่แล้ว ทันทีที่พี่บอกว่าอยากมากินข้าวมื้อเย็นที่บ้านเรา แม่ก็สั่งให้ฉันไปจ่ายตลาดและซื้อไก่มาตุ๋น”
หลินเซี่ยมองไปที่หลิวกุ้ยอิง พูดเสียงหวาน “ขอบคุณค่ะแม่”
“ขอบคุณครับแม่” เฉินเจียเหอขอบคุณตามภรรยาของเขา
“ทำไมพวกเธอสองคนถึงได้สุภาพกันขนาดนี้นะ?” หลิวกุ้ยอิงเตรียมตักไก่ตุ๋นใส่ถ้วยแบ่งให้พวกเขา “แม่เห็นว่าพวกเธอทำงานหนักตลอดทั้งวัน ซื้อกับข้าวกลับมากินทุกวัน โภชนาการไม่ครบถ้วนอย่างที่ควรจะเป็น แม่ก็เลยตุ๋นไก่เพื่อเป็นอาหารเสริมให้ ต่อจากนี้อย่าลืมแวะมากินข้าวที่นี่ทุกสัปดาห์นะ หาเวลามาหาเราสักวัน แม่จะปิดร้านเร็วหน่อยในวันเสาร์อาทิตย์ แล้วกลับบ้านมาทำกับข้าวให้ลูก”
หลินเซี่ยเอื้อมมือไปรับชามซุปที่หลิวกุ้ยอิงยื่นให้ ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ค่ะ จากนี้ครอบครัวเรามากินข้าวพร้อมหน้ากันทุกสุดสัปดาห์เลย”
“เซี่ยเซี่ย ได้ยินว่าวันนี้เธอไปส่งอวี่เฟยเข้าร่วมประกวดอะไรนั่นใช่ไหม?” หลินจินซานหันมาถามเธอ “นั่นเป็นเหตุผลที่หล่อนฝึกซ้อมเดินแบบอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาหรือเปล่า?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “ใช่”
“คราวนี้ถ้าต้องไปที่นั่นอีก เธอช่วยพาฉันไปด้วยคนสิ” หลินจินซานมองหลินเซี่ยด้วยแววตาที่สดใส ตั้งตารอคำตอบ
หลินเซี่ยจิบซุปแล้วชายตามองเขา “จะไปทำอะไรล่ะ?”
“ให้กำลังใจอวี่เฟยไง”
“พี่ชาย อย่าพยายามตามตื๊อคนอื่นจนเกินความพอดีนักเลย”
หลินจินซานกระตือรือร้นมากเมื่อได้เจอเจียงอวี่เฟยแต่ละครั้ง ทว่าพักหลัง ๆ เจียงอวี่เฟยถึงกับหนีไปซ่อนตัวเมื่อเห็นเขา
ในเมื่อวงกลมมันเล็กก็อย่าฝืนเบียดเข้าไปเลย ขืนยังดันทุรังยัดเยียดตัวเองต่อไปก็รังแต่จะสร้างความรำคาญให้อีกฝ่ายบราวนี่ออนไลน์บราวนี่ออนไลน์
“จินซาน ลูกเองก็โตพอสมควร ถึงเวลาหาแฟนเป็นตัวเป็นตนได้แล้ว ตอนนี้ลูกมีงานที่มั่นคง เสี่ยวเยี่ยนกับแม่ก็สามารถหาเงินได้จากการเปิดแผงขายอาหาร ถ้าลูกเจอคนที่ถูกใจก็เริ่มคุยกันเรื่องนี้ได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีก”
หลังจากที่หลิวกุ้ยอิงพูดจบ หล่อนก็บอกกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย ลูกพอจะมีใครสักคนที่เหมาะสมจะแนะนำให้พี่ชายรู้จักบ้าง ปีนี้เขาอายุจะยี่สิบห้าแล้ว”
หลินเซี่ยมองไปที่หลินจินซาน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความหมาย “พี่ชาย ฉันคงเป็นแม่สื่อให้ผู้หญิงที่พี่ชอบไม่ได้จริง ๆ ทำไมไม่ลองเล็ง ๆ คนอื่นอย่างเช่นชุนฟางไว้บ้างล่ะ?”
เธอต้องการบอกหลินจินซานกลาย ๆ ว่าเจียงอวี่เฟยไม่คู่ควรกับเขา และหวังว่าเขาจะละทิ้งความคิดฝันเกินตัวที่เป็นไปไม่ได้ หยุดสร้างความอึดอัดใจให้อีกฝ่ายเสียที
“เซี่ยเซี่ย ฉันเข้าใจหรอกว่าเธอคิดจะพูดอะไร” หลินจินชานทำหน้าหงอยเหงา จากนั้นก็คร่ำครวญ “ฉันรู้ว่าเจียงอวี่เฟยชอบไอ้หนุ่มหน้าหล่อคนนั้น ฉันก็แค่ผู้ชายบ้านนอกหน้าตาดำคล้ำ ต่อให้พยายามไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันแค่อยากชื่นชมคนน่ารักอย่างหล่อนเพียงฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เหรอ?”
หลินเซี่ยมองไปที่หลินจินซานอย่างลึกลับ ถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วนายรู้ไหมว่าไอ้หนุ่มหน้าหล่อที่พวกเรามักจะอยู่ด้วยเป็นใคร?”
“ไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นหรอกเหรอ?” หลินจินซานตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่นน้องเขยของฉันเชียวนะ”
“ไงนะ?” หลินจินซานอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ หันขวับมองไปที่เฉินเจียเหอ “เขาเป็นน้องชายของคุณเหรอ?
เฉินเจียเหอตอบ “ใช่ น้องชายคนที่สาม”
เมื่อเฉินเจียเหอรู้ว่าเจียงอวี่เฟยชอบน้องชายคนที่สามของเขา เขาก็ยินดีด้วยกับเรื่องนั้นมาก ๆ ได้แต่หวังว่าน้องชายจะยอมเปิดใจ และตกหลุมรักใครสักคนในเร็ววัน
การตกหลุมรักสามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นอีกคนได้จริง ๆ
สามารถทำให้คนที่ไร้ชีวิตชีวา กลับมามีพลังแรงใจอย่างเต็มเปี่ยม
เขาไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย แต่ตอนนี้เขามีโอกาสได้ลิ้มรสหวานล้ำแห่งความรักแล้ว แน่นอนว่าเขาเองก็อยากให้เฉินเจียวั่งได้ลิ้มรสมันด้วยเช่นกัน
เจ้าสามอยู่ในสภาวะที่ต้องการความรักเข้ามาช่วยเยียวยาจริง ๆ
แน่นอน สิ่งที่คัดกรองได้เบื้องต้นก็คือหญิงสาวคนนั้นไม่ได้สนใจสภาพร่างกายของเขา
ทันใดนั้นดวงตาของหลินจินซานก็สว่างขึ้น เปล่งประกายระยิบระยับราวไฟลุกโชน “ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า จากนี้ไปเธอกับเจียงอวี่เฟยก็จะกลายเป็นพี่สะใภ้ตระกูลเฉินทั้งคู่น่ะสิ?”
หลินเซี่ยพูดยิ้ม ๆ “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาถูกกำหนดให้คู่กันหรือเปล่า”
หลินจินซานพึมพำพลางแสดงสีหน้าโดดเดี่ยว “ถ้าพวกเขาไม่มีวาสนาต่อกันก็ดี บางทีฉันอาจจะยังพอมีโอกาสอยู่บ้าง”
“กล้าพูดแบบนั้นได้ยังไง? พี่น่ะเหรอจะคู่ควรกับพี่อวี่เฟย?” หลินเยี่ยนทำหน้าบูดบึ้ง จากนั้นก็หันมาบ่นกับหลินเซี่ย “พี่ชายเราอาจเหมาะสมกับผู้หญิงก๋ากั่นพวกนั้นที่อาศัยอยู่ในตรอกเดียวกันนี้มากกว่า ไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกหล่อนมายืมบันไดจากบ้านเรา จากนั้นพี่ก็แบกบันไดไปส่งด้วยตัวเอง เขาอยู่ในบ้านพวกหล่อนนานเลยกว่าจะกลับมาได้ ใครจะรู้ว่าพวกเขาเข้าไปทำอะไรกัน ได้ยินว่าผู้หญิงพวกนั้นชอบพาผู้ชายเข้าบ้านด้วยนี่ สงสัยจะมีบริการดูแลท่านชายอย่างใกล้ชิด”
หลินจินซานหน้าแดงก่ำ โต้กลับทันควัน “เด็กอย่างเธอจะไปรู้อะไร พวกเราก็เพื่อนบ้านกันทั้งนั้น มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะไม่ไปช่วย? ผู้หญิงสองสามคนนั้นมาถามฉันว่าในอนาคตห้องเต้นรำจะมีการรับสมัครพนักงานเสิร์ฟหรืออะไรทำนองนั้นไหม พวกหล่อนอยากร่วมงานด้วย ฉันก็เลยคุยกับพวกหล่อนแค่ไม่กี่คำ ไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย”
ประโยคสุดท้ายของหลินจินซานต้องการจะสื่อว่าวันนั้นไม่มีลับลมคมในอะไรทั้งสิ้น
เมื่อพูดถึงเด็กสาวกร้านโลกพวกนั้น หลิวกุ้ยอิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน “จินซาน สาว ๆ พวกนั้นคงไม่เหมาะที่จะแต่งเป็นภรรยาของลูกหรอกมั้ง เราควรหาผู้หญิงที่ซื่อสัตย์มาเป็นคู่ชีวิตนะ”
หลินเซี่ยกินข้าวจนหมด จากนั้นก็มองหน้าหลิวกุ้ยอิงอย่างไม่เห็นด้วย โต้กลับไปว่า “แม่ อย่าลำเอียงเข้าข้างเขาเลยค่ะ ลูกชายของแม่เองก็ใช่จะเป็นคนซื่อสัตย์ซะเมื่อไหร่ ถ้าเขาแต่งกับภรรยาที่เพียบพร้อมและซื่อสัตย์จริง ๆ ก็ไม่เท่ากับฉุดหล่อนลงมาเสียของเปล่าหรอกเหรอ?”
“แล้วคนอย่างฉันมันไม่ซื่อสัตย์ตรงไหนกัน?” หลินจินซานพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องตัวเอง “ฉันแค่ชอบมองสาวสวย ๆ เป็นอาหารตา ผู้ชายคนไหนไม่ชอบมองคนสวยบ้าง ขนาดเถ้าแก่เซี่ยยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดเวลาเมื่อเห็นถังหลิงจากฝั่งตรงข้าม หรือจะเหมารวมว่าพวกเขาก็มีอะไรในกอไผ่เหมือนกัน?”
หลินเซี่ยตอบกลับ “แต่น้องเขยนายไม่ชอบมองสาวนะ”
หลินจินซานหัวเราะเยาะ “ถ้าเขาไม่ชอบแล้วเขาจะแต่งงานกับเธอทำไม? ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนสวยหรอกเหรอ?”
คำพูดของหลินจินซานทำให้หลินเซี่ยไม่สามารถหาข้อโต้แย้งได้
เธอควรเถียงกลับยังไงดีล่ะ?
จะยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนสวย หรือจะให้ยอมรับว่าเฉินเจียเหอก็ชอบมองสาวสวยเหมือนกัน?
หลินเซี่ยหมดคำจะพูด เฉินเจียเหอที่อยู่ข้าง ๆ จึงตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “นอกจากเซี่ยเซี่ย ผมก็ไม่เคยเหลียวมองผู้หญิงคนอื่นอีก”
หลินจินซานไม่ยอมแพ้ “ใครจะไปรู้ล่ะ? พวกเราต่างก็เป็นผู้ชายเหมือนกันหมด ทำไมฉันจะไม่รู้?”
“เอาเถอะ เอาเถอะ รีบมากินข้าวกันดีกว่า จินซาน ลูกเป็นพี่ใหญ่นะ อย่าเอาแต่ต่อปากต่อคำกับน้องสาวสิ”
ทันทีที่หลิวกุ้ยอิงพูดแบบนั้น หลินจินซานก็ปิดปากเงียบทันทีแล้วจดจ่ออยู่กับการแทะขาไก่
หลังจากกินเสร็จ หลินเยี่ยนก็ไปล้างหม้อ หลินเซี่ยดึงหลิวกุ้ยอิงให้มานั่งลงข้าง ๆ “แม่ นั่งก่อนค่ะ ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากจะเล่าให้ฟัง”
“มีอะไรเหรอเซี่ยเซี่ย?” หลิวกุ้ยอิงทำหน้าเหมือนตัวเองมีความผิด พอเห็นใบหน้าที่จริงจังของหลินเซี่ย สีหน้าตัวเองก็ฉายความกังวลทันที
หลินเซี่ยมองหลิวกุ้ยอิงแล้วพูดว่า “ตอนนี้หมอเทวดาเย่คนนั้นมาถึงไห่เฉิงแล้วค่ะ”
“หมอเย่กลับมาที่ไห่เฉิงแล้วเหรอ?” หลิวกุ้ยอิงเต็มตื้นยินดีมากเช่นกันเมื่อได้ยินข่าว “เธอพาน้องชายไปให้เขาลองตรวจรักษาหรือยัง?”
เฉินเจียเหอตอบกลับ “พาไปแล้วครับแม่”
หลินเซี่ยถามหลิวกุ้ยอิง “ถึงยังไงเขาก็เคยช่วยชีวิตเสิ้นอวี้อิ๋งให้รอดตายมาก่อน แม่เคยเล่าให้ฟังไม่ใช่เหรอคะว่าสมัยอยู่ในบ้านเกิดพวกคุณแวะเวียนไปหาเขาบ่อยมาก? แม่อยากแวะไปเยี่ยมเขาสักหน่อยไหม?”
“ได้ ลูกรู้เหรอว่าเขาพักอยู่ที่ไหน? ไว้แม่จะไปเยี่ยมเขาวันอื่น”
หลิวกุ้ยอิงถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “สมัยที่พ่อของลูกยังอยู่ เราจะเดินทางไปอวยพรปีใหม่ให้เขาทุกปี ช่วงสองสามปีแรก ชีวิตความเป็นอยู่ของหมอเย่ค่อนข้างลำบาก เพราะเขาถูกส่งมาประจำการที่หมู่บ้านของเรา ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะยอมให้เขารักษา แต่เพื่อเสิ้นอวี้อิ๋ง พ่อไม่กลัวอะไรเลย ยอมเสี่ยงทุกวิถีทางและพาหล่อนมาขอรับการรักษาจากแพทย์แผนจีน ต่อมาทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนกัน หลังจากที่พ่อของลูกจากไป แม่ก็ไปบอกกล่าวเรื่องงานศพกับเขา สองปีหลังจากนั้นแม่ก็ไม่เคยว่างไปเยี่ยมเขาอีกเลย”
หลินเซี่ยเสนอ “แม่ งั้นวันพรุ่งนี้เราไปกันเถอะค่ะ ฉันจะไปด้วย”
หลินเซี่ยอยากเจอหมอเทวดาเย่ในตำนานคนนี้จริง ๆ เพราะเขาเป็นคนเดียวนอกเหนือจากหลินต้าฝูและหลิวกุ้ยอิงที่รู้เรื่องพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอ
“เอาสิ”
เฉินเจียเหอพูดเสริม “พรุ่งนี้ตรงกับวันอาทิตย์พอดี ผมมีเวลาไปที่นั่นกับพวกคุณด้วย วันนี้ผมเพิ่งพาเจียวั่งไปขอรับการรักษาจากเขามา หมอเย่ไม่ยอมรับเงินค่ารักษาท่าเดียว ผมเลยคิดว่าจะหยิบอุปกรณ์ติดไม้ติดมือไปทำความสะอาดลานบ้านให้เขาหน่อย ไม่มีใครอยู่ที่บ้านหลังนั้นมานาน ตอนนี้มีหญ้ารกขึ้นเต็มไปหมด”
แม้ว่าวันนี้จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกัน แต่ปู่ของเขาและหมอเย่ต่างก็มีอายุเท่ากัน ชายชราทั้งสองเป็นบุคลากรมากประสบการณ์ ต่างฝ่ายต่างเคยได้ยินชื่อของกันและกันมาก่อน ดังนั้นบทสนทนาระหว่างพวกเขาจึงไหลลื่นและเข้ากันได้อย่างไม่ยากเย็น
หลังจากที่เฉินเจียเหอบอกว่าหลินต้าฝูเป็นพ่อตาของเขา ความสัมพันธ์ทั้งหมดก็ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
จากนี้ไป เฉินเจียวั่งจะต้องมารับการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะยาวจากหมอเย่
“ได้ พรุ่งนี้เราไปที่นั่นด้วยกัน”
…
ประมาณช่วงเที่ยงของวันถัดมา เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยซื้อของฝากเข้าไปมากมาย ทั้งยังหยิบพร้าตัดหญ้าติดมือไปด้วย
หลังจากแวะไปรับหลิวกุ้ยอิงแล้ว ทั้งสามคนก็เดินทางไปที่บ้านของหมอเย่
บ้านหลังนี้มีลักษณะลานที่แปลกตามาก เฉินเจียเหอแนะนำให้หลินเซี่ยว่าที่นี่คือบ้านเก่าของหมอเทวดาเย่ แต่ต่อมาเขาถูกทางการส่งตัวไปประจำการยังชนบทห่างไกล
สิ้นสุดยุคปฏิรูป ลานบ้านแห่งนี้ก็กลับมาอยู่ในความครอบครองของหมอเย่อีกครั้ง ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา สมาชิกในครอบครัวของเขาทยอยล้มหายตายจากไปทีละคน ทำให้บ้านไม่ถูกเปิดมานาน
เมื่อทุกคนมาถึงสนามหญ้า ก็เห็นว่าหมอเย่กำลังขุดถางพื้นที่หญ้ารกด้วยพลั่ว
“ลุงเย่คะ”
“นั่นใครน่ะ?” หมอเย่เพ่งตามองอย่างใกล้ชิด ไม่นานนักก็จำหลิวกุ้ยอิงได้ “เธอใช่กุ้ยอิงภรรยาของต้าฝูหรือเปล่า?”
หลิวกุ้ยอิงมองไปที่ชายชราผมขาวเหมือนเทพเซียนด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ฉันเองค่ะลุงเย่ ได้ยินว่าคุณย้ายกลับมาที่ไห่เฉิงแล้ว ฉันก็เลยถือวิสาสะแวะมาเยี่ยมคุณเสียเลย”
“ถือวิสาสะอะไรกัน? ฉันควรดีใจซะอีกที่ในที่สุดเธอก็มีเวลาว่างมาเจอฉัน รู้สึกเหมือนเจอสหายเก่าที่พลัดพรากจากมาตุภูมิในต่างแดนไม่มีผิด”
หลังจากที่หมอเย่พูดจบ เขาก็หัวเราะพลางพูดว่า “คำเปรียบเปรยนี้บางทีอาจดูไม่เหมาะสม แต่กาลเวลาเปลี่ยน ไห่เฉิงก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก จนฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนต่างถิ่นไปแล้ว”
“จริงด้วยค่ะ สังคมพัฒนาเร็วเกินไป คุณไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งยี่สิบปีมาแล้ว สภาพแวดล้อมรอบข้างเลยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง”
หมอเย่เหลือบไปเห็นมีดพร้าในมือของเฉินเจียเหอ ใบหน้าของเขาก็กระตุกเล็กน้อย ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเฉิน ถือมีดพร้าเข้ามาในบ้านฉันนี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่จินซานไม่เหมาะกับอวี่เฟยหรอกค่ะ รุกแรงจนน้องกลัวขนาดนั้น
ได้เจอหมอเย่แล้ว จะคุยได้ความว่ายังไงกันบ้างนะ
ไหหม่า(海馬)