ตอนที่ 219 ปรมาจารย์ด้านการสับราง
ตอนที่ 219 ปรมาจารย์ด้านการสับราง
ช่วงบ่าย ในร้านมีลูกค้ามาใช้บริการตัดผมและดัดผมจำนวนมาก ชายชราสองคนซึ่งชุนฟางไปเชื้อเชิญมาจากริมถนนกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอคิวตัดผมอยู่ที่นั่น
บรรยากาศในร้านตัดผมค่อนข้างคึกคัก
หลินเซี่ยดัดผมให้พี่สาวทั้งหลาย พูดคุยกับทุกคนอย่างสนุกสนาน ภายในร้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ทันใดนั้น หลินจินซานก้เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับสาวสวยคนหนึ่ง
หญิงสาวคนนี้แต่งตัวตามแฟชั่น ทว่าแต่งหน้าจัดกว่าคนปกติ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นหญิงขายบริการ
“เซี่ยเซี่ย ผู้หญิงคนนี้มาขอสมัครฝึกงานกับเธอล่ะ” หลินจินซานผลักหญิงสาวให้ก้าวไปอยู่ข้างหน้าหลินเซี่ยด้วยความกระตือรือร้น
“สมัครงาน? ไหนดูซิ”
ทันทีที่หลินเซี่ยพูดจบ สายตาของเธอก็จับจ้องไปที่เด็กสาวคนนั้น วินาทีต่อมาเธอก็ตระหนักว่าผู้หญิงคนนั้นก็คือคนที่อาศัยอยู่ในตรอกเดียวกันกับแม่ของเธอนั่นเอง
ดูเหมือนว่าจะทำงานในร้านเสริมสวยตรงหัวมุมถนนด้วย
“เธออยากสมัครงานเหรอ?” หลินเซี่ยมองไปที่อีกฝ่าย ถามด้วยความประหลาดใจ
เด็กสาวสะบัดผมไปข้างหลัง เคี้ยวหมากฝรั่งในปากอย่างไม่ยี่หร่ะอะไร พูดว่า “ใช่ หลินจินซานบอกว่าคุณกำลังรับสมัครเด็กฝึกงานอยู่นี่ ฉันอยากเรียนทำผม”
หญิงสาวไม่อายที่จะเปิดเผยอาชีพของตัวเอง “ฉันเคยทำงานในร้านเสริมสวยตรงหัวมุมด้วยนะ พอรู้วิธีสระผมอยู่บ้าง”
ทันทีที่หญิงสาวพูดจบ ลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการดัดผมในร้านก็ปรายตามองหล่อนด้วยความดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง
คุณป้าทั้งสองถึงกับหันไปกระซิบกระซาบกันอย่างเปิดเผย
หลินเซี่ยพูดอย่างเชื่องช้า “สาวน้อย อัตราค่าจ้างที่นี่ไม่เยอะมากหรอก บางทีเธอรู้แล้วอาจเปลี่ยนใจไม่อยากทำก็ได้นะ”
หญิงสาวถามกลับ “คุณจ้างเดือนละเท่าไหร่ล่ะ?”
“เด็กฝึกงานจะได้เดือนละสามสิบหยวน”
“ทำไมถูกอย่างนี้ล่ะ?” หญิงสาวมองอย่างรังเกียจ “ร้านเสริมสวยของเรายังให้ค่าตอบแทนรายวันฉันมากกว่านี้ซะอีก”
ชายชราที่เอนนอนอยู่บนเก้าอี้ขณะที่ชุนฟางกำลังโกนหนวดให้ อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งออกปากว่าสังคมนับวันยิ่งตกต่ำ ทำให้ชุนฟางมือสั่นจนเกือบจะทำมีดบาดหน้าเขา
แต่หญิงสาวที่ชื่อเจินเจินไม่สนใจสายตาเหยียดหยามของคนอื่น ๆ ในร้านเลยบราวนี่ออนไลน์
หลินจินซานเองก็รู้สึกว่าอัตราค่าจ้างเด็กฝึกงานของหลินเซี่ยสามสิบหยวนนั้นต่ำเกินไปหน่อย ดังนั้นจึงกระซิบว่า
“เซี่ยเซี่ย ขึ้นค่าแรงให้หน่อยไม่ได้เหรอ”
“ขึ้นไม่ได้จริง ๆ”
หลินเซี่ยอธิบาย “ยิ่งกว่านั้น เด็กฝึกงานที่ร้านเรารับสมัครจะได้รับการฝึกงานให้กลายเป็นพนักงานประจำในภายหลัง ฝึกทักษะจนกลายเป็นช่างตัดผมมืออาชีพ ค่าจ้างในช่วงฝึกงานเริ่มต้นในอัตราต่ำเป็นธรรมดา แถมยังต้องใช้ฝีมือเป็นพิเศษ สาวน้อย ร้านนี้อาจไม่เหมาะกับเธอหรอก เธอลองไปหางานที่อื่นดูนะ”
“ฉันยอมรับค่าจ้างเดือนละสามสิบหยวนไม่ได้จริง ๆ ฉันคิดแต่แรกแล้วว่าร้านคุณไม่เหมาะกับฉัน” หญิงสาวหันไปพูดกับหลินจินซาน “ฉันไปแล้วนะ ขอบคุณมากน้ำใจของคุณ”
ทันทีที่หญิงสาวออกไป ลูกค้าในร้านก็เริ่มพูดคุยเรื่องนี้กันเซ็งแซ่
“เสี่ยวหลิน เธอทำถูกแล้วที่ปฏิเสธไม่ได้รับสมัครหล่อน ผู้หญิงคนนี้เคยทำงานประโลมโลกอยู่ในร้านเสริมสวย ถ้าหล่อนย้ายมาอยู่ในร้านเธอจริง ๆ หล่อนต้องเปลี่ยนร้านตัดผมธรรมดาๆ ให้กลายเป็นร้านอย่างว่าแน่”
“ใช่แล้วๆ ถ้าเธอรับสมัครผู้หญิงพรรค์นั้นจริง เราบอกเลยว่าจากนี้จะไม่มาตัดผมที่ร้านของเธออีก”
“ไม่เพียงแต่ฉันจะไม่มาอุดหนุน ฉันจะกลับไปห้ามตาเฒ่าและลูกชายไม่ให้มาที่นี่ด้วย”
ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรส ลุงป้าทั้งหลายต่างก็คร่ำครวญว่าจิตใจของเด็กสาวสมัยนี้ช่างไร้ยางอาย ไม่แปลกที่สังคมจะถดถอยไปทุกวัน และหวนนึกถึงยุคสมัยอันเรียบง่ายเมื่อครั้งพวกเขายังเป็นหนุ่มสาว
หลินเซี่ยได้แต่ฟังแล้วยิ้ม อารมณ์ของเธอในตอนนี้ซับซ้อนมากจริง ๆ
เธอเป็นคนที่มีชีวิตอยู่มาสองชาติ แน่นอนว่าเห็นความเป็นไปของโลกมามากกว่าคนอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ร้านตัดผมของเธอเพิ่งจะเปิดกิจการได้ไม่นาน ยังต้องอาศัยเพื่อนบ้านและพนักงานงานในโรงงานเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ
เธอไม่สามารถเปิดโอกาสอย่างใจกว้างจนไม่สนความรู้สึกและความคิดเห็นของลูกค้าได้
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเมื่อครู่นี้หญิงสาวจะถูกหลินจินซานลากมา เนื้อแท้ของหล่อนดูไม่ได้เต็มใจจะกลับตัวเป็นคนดีและทำอาชีพสุจริตเหมือนคนทั่วไป
เมื่อหลินเซี่ยตัดและดัดผมให้บรรดาลูกค้าในร้านเสร็จแล้ว ทำให้ภายในร้านเหลือเพียงคนกันเอง หลินจินซานก็บ่นด้วยสีหน้าตรง “ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะที่เจินเจินจะยอมมาตามคำชวนของฉัน ในที่สุดหล่อนก็ตั้งใจว่าจะลาออกจากร้านเสริมสวยนั่นแล้วมาเรียนทำผม กลายเป็นผู้หญิงดี ๆ เหมือนคนอื่น แต่ทำไมเธอถึงไม่ยอมรับสมัครเขาล่ะ?”
หลินเซี่ยตอบกลับเบา ๆ “ฉันไม่ยอมรับสมัครตรงไหน? หล่อนต่างหากที่คิดว่าค่าจ้างต่ำไป ก็เลยไม่ทำเอง”
“ต่อให้เป็นฉัน ถ้าได้เงินเดือนแค่สามสิบหยวนก็ไม่ทำเหมือนกัน เธอจ่ายให้ชุนฟางมากกว่าสามสิบหยวนต่อเดือนซะอีก ฉันรู้หรอกว่าเธอจงใจบอกอัตราค่าจ้างต่ำ ๆ เพื่อเป็นเหตุผลที่จะไม่จ้างหล่อน”
หลินเซี่ยมองไปที่หลินจินซาน และให้เหตุผลกับเขาอย่างอดทน “พี่ชาย อย่าเอาแต่ทำตัวเป็นนักบุญได้ไหม? พี่คิดว่าตัวเองจะช่วยหล่อนได้มากน้อยแค่ไหนเชียว? ฉันไม่เห็นว่าแม่สาวคนนั้นเต็มใจที่จะกลับตัวมาทำอาชีพสุจริตเลย ธุรกิจของฉันเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ด้วยความสามารถในตอนนี้ฉันทำเงินได้พอดูแลตัวเองก็ดีถมเถแล้ว ไม่มีปัญญาไปทำการกุศลให้คนยากไร้หรอก”
หลินจินซานไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของหลินเซี่ยได้อีกตามเคย
อันที่จริง เขาแค่ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเด็กสาวเหล่านั้นละทิ้งวัยเยาว์ของตัวเองมาทำอาชีพอย่างว่าตั้งแต่อายุยังน้อยและละทิ้งซึ่งศักดิ์ศรีของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะโน้มน้าวให้ผู้หญิงชื่อเจินเจินมาสมัครงานที่ร้านน้องสาวให้ได้
ก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกเขาเดินสวนกันในตรอก หญิงสาวแกล้งหยอกล้อเขาอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงคิดว่าหล่อนน่ารักดี
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาเห็นชายหนวดเคราเฟิ้มคนหนึ่งทั้งต่อยและเตะเด็กสาวคนนั้น ก่อนจะโยนเงินใส่หล่อน จากนั้นหญิงสาวก็ปิดหน้าร้องไห้อยู่ตรงมุมถนน สีหน้าเศร้าโศกเป็นอย่างยิ่ง
เขามีน้องสาววัยเดียวกับหล่อน และเขาคงจะเสียใจมากถ้าน้องสาวของตัวเองมีชีวิตที่ตกต่ำมาถึงระดับนี้
ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจว่าแนะนำให้หล่อนเปลี่ยนมาหาอาชีพที่สุจริตอย่างจริงจัง
หลังจากชักชวนหล่อนเป็นเวลานาน ผู้หญิงที่ชื่อเจินเจินก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามเขา เต็มใจที่จะไปสมัครงาน
แต่แล้วหล่อนก็ถูกปฏิเสธทางอ้อมด้วยค่าแรงที่แสนต่ำ
หลินเซี่ยถามหลินจินซานที่กำลังเหม่อลอย
“พี่ไปหาเจิ้งต้าหมิงมาแล้วหรือยัง?”
หลินจินซานกลับมารู้สึกตัว พูดว่า “ไปเจอมาแล้ว ปรากฏว่าเจิ้งต้าหมิงที่เธอพูดถึงก็คือคนที่เคยทำงานอยู่ที่โรงงานผลิตเครื่องจักรกลทางการเกษตรประจำอำเภอของเรา”
“พี่รู้จักเขาด้วยเหรอ?” หลินเซี่ยฟังจากน้ำเสียงแล้ว เดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนรู้จักของเขา
“ฉันเคยไปส่งของให้เสิ่นอวี้อิ๋ง แล้วเลยไปที่โรงงานผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรของอำเภอเพื่อหางานทำ ก็เลยรู้จักกับเขา”
สำหรับตัวอำเภอเล็ก ๆ แห่งนั้น โรงงานถือเป็นสถานที่ที่ใหญ่โตพอสมควร ผู้คนส่วนใหญ่ในนั้นต่างก็เป็นคนที่เขารู้จัก
หลินจินซานพูดต่อ “ตอนนี้เขาทำงานอยู่ที่ร้านซ่อมจักรยานหน้าโรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่ง ทักษะในการซ่อมค่อนข้างดี จักรยานของนักเรียนส่วนใหญ่ได้รับการซ่อมแซมด้วยฝีมือเขาท้งนั้น เถ้าแก่ชอบเขามาก”
“แล้วนายได้คุยกับเขาเกี่ยวกับเสิ่นอวี้อิ๋งหรือเปล่า?” หลินเซี่ยถาม
หลินจินซานพูดเรื่องเจิ้งต้าหมิงแล้วก็ถอนหายใจ “คุยแล้ว ผู้ชายคนนี้มั่นคงและหลงใหลในความรู้สึกที่มีต่อหล่อนมาก ๆ บอกว่ายกทั้งชีวิตของตัวเองให้เสิ่นอวี้อิ๋งได้ และถ้าวันไหนหล่อนทิ้งเขา เขาก็จะไม่ไว้ชีวิตหล่อนเหมือนกัน เป็นประโยคสั้น ๆ ที่น่ากลัวมาก”
ริมฝีปากของหลินเซี่ยโค้งขึ้นเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็ดีใจที่ได้ยินข่าวดังกล่าว “ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าเขาค่อนข้างเป็นคนที่รับมือได้ยาก ช่วงสิ้นปีตอนที่ฉันยังอยู่ในหมู่บ้าน พอเขาได้ยินว่าเสิ่นอวี้อิ๋งย้ายไปอยู่ในเมืองแล้ว ก็ตรงดิ่งมาขอเงินคืนจากบ้านเราตรงๆ บอกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งเอามรดกตกทอดของตระกูลเขาไป ฉันเห็นครั้งแรกก็รู้เลยว่าเขาไม่ธรรมดา”
ชาติก่อน เธอจำได้ว่าชายคนนั้นดื้อรั้นมาก หลังจากตามหาเสิ่นอวี้อิ๋งจนเจอ เขาก็ตามรบกวนหล่อนจนเกือบทำให้หล่อนกลายเป็นบ้า
ต่อมา เขาก็กลายเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของเสิ่นอวี้อิ๋ง
ต้องบอกเลยว่าเสิ่นอวี้อิ๋งถือเป็นปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการสับรางมาก เมื่อต้องรับมือกับผู้ชายหลายคนในเวลาเดียวกัน
หลินจินซานเยาะเย้ยด้วยความรังเกียจ “ไอ้หมอนั่นดูเหมือนโง่ แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ใช่คนดีอะไร เขาเล่าให้ฉันฟังว่าเขาเช่าบ้านอยู่ เมื่อวานนี้ก็เพิ่งพาเสิ่นอวี้อิ๋งไปนอนค้างที่บ้านด้วยกันมา สองคนนั้นต้องมีอะไรเกินเลยกันแล้วแน่ ๆ”
วันนี้หลินจินซานรู้สึกซับซ้อนมากเมื่อเขารู้ว่าเสิ่นอวี้อิ๋งถูกผู้ชายอย่างเจิ้งต้าหมิงพาไปนอนค้างที่บ้านเช่าของตัวเองในตอนกลางคืน
ถ้าเสิ่นอวี้อิ๋งยังเป็นน้องสาวของเขา และเขารู้เรื่องผิดศีลธรรมทำนองนี้เข้า เขาจะหักขาของเจิ้งต้าหมิงทันทีโดยไม่ลังเล
แต่ตอนนี้เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเสิ่นอวี้อิ๋งอีกต่อไป
ตอนที่พวกเขายังเป็นพี่น้องกัน เสิ่นอวี้อิ๋งยังไม่ลังเลเลยที่จะใส่ร้ายป้ายสีเขา ถึงขั้นทำลายชื่อเสียงของเขาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ทำให้เขารู้สึกกดดันจนไม่สามารถอยู่ในหมู่บ้านได้
การกระทำเลว ๆ หลายต่อหลายครั้งของหล่อน ทำให้เขารู้สึกด้านชา
เขาไม่ต้องการสนใจเรื่องฉาวโฉ่ของเสิ่นอวี้อิ๋งอีก แต่ก็อดใจไม่ได้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่จินซานอย่าสงสารคนง่ายนัก คำว่าเอ็นดูเขาเอ็นเราขาดยังใช้ได้เสมอ เห็นใจคนอื่นได้แต่อย่าทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน
ยัยอวี้อิ๋งจะถึงคราวตกที่นั่งลำบากแล้วไหมนะ เจ้ากรรมนายเวรตามติดขนาดนี้
ไหหม่า(海馬)