ตอนที่ 224 หาเงินมาเลี้ยงหลานสาว
ตอนที่ 224 หาเงินมาเลี้ยงหลานสาว
เซี่ยอวี่ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเซี่ยไห่หมายถึงอะไร “นายหมายความว่าไง? กำลังจะบอกว่าพี่ใหญ่แอบไปมีลูกสาวงั้นเหรอ?”
เซี่ยไห่ยิ้มและพูดว่า “ฉลาดมาก สมแล้วที่เป็นราชินีแห่งวงการภาพยนตร์ ไหวพริบปฏิภาณดี คิดออกภายในคลิกเดียว”
“อย่ามาล้อเล่นนะ พี่ใหญ่จะทำแบบนั้นได้ยังไง…”
“พี่สาว ผมเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ แต่ข่าวที่ผมได้ยินมาเป็นเรื่องจริง ผู้หญิงที่หน้าตาคล้ายเธอมากเป็นลูกสาวของหลิวกุ้ยอิงคนนั้น เธอคิดว่าฉันควรปฏิเสธความจริงข้อนี้ยังไงดีล่ะ?
อย่างนั้นก็เถอะ ข้อเท็จจริงจะได้รับการยืนยันก็ต่อเมื่อเธอกับแม่จะมาที่ไห่เฉิง แล้วลองให้พี่ใหญ่ของเราเจอกับอิงจื่อดู หรือไม่ก็ตรวจพิสูจน์ทางการแพทย์อย่างละเอียด ตราบใดที่พวกเขาเป็นพ่อแม่ลูกกันจริง ๆ ข้อสงสัยทุกอย่างก็จะชัดเจน”
เซี่ยอวี่เริ่มจริงจัง “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว ไว้ฉันจะประสานงานกับทีมงานทันที แล้วออกเดินทางโดยเร็วที่สุด”
เซี่ยไห่ยิ้มและพูดล้อเลียน “ยังต้องประสานงานด้วยเหรอ? เธอคิดจะรับงานในไห่เฉิงเพิ่มหรือไง?”
“ถ้าที่นั่นมีงานน่าสนใจพอดีก็ยิ่งดีใหญ่ เกิดพวกเรามีหลานสาวกันจริง ๆ ในอนาคตเราต้องหาเงินให้ได้มากขึ้น นอกจากจะต้องดูแลพี่ใหญ่แล้ว เรายังต้องส่งเสียเลี้ยงดูหลานสาวด้วย”
เมื่อได้ยินว่าตัวเองอาจจะมีหลานสาว เซี่ยอวี่ก็อารมณ์ดีมาก เต็มไปด้วยความคาดหวังในการเดินทางกลับไห่เฉิงในครั้งนี้
เซี่ยไห่บอกว่า “เธอไม่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูหลานสาวหรอก หล่อนมีคนดูแลแทนแล้ว”
“หมายความว่าไง?”
“หล่อนแต่งงานแล้ว”
เซี่ยอวี่ “!!!”
หล่อนตกใจมาก “แต่งงานตั้งแต่อายุเท่านี้เองเหรอ?”
“เรื่องมันยาว เล่าไม่จบภายในเวลาสั้น ๆ หรอก ไว้ผมจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดเมื่อเธอมาที่ไห่เฉิงแล้ว”
เซี่ยไห่นึกอยากบ่นเกี่ยวกับความประหลาดใจของเซี่ยอวี่ นี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่เด็กสาวอายุประมาณยี่สิบปีควรแต่งงานหรอกเหรอ?
ใครจะไปเหมือนคนอย่างหล่อนที่วัยใกล้สี่สิบแล้วยังโสดสนิท?
แต่แล้วเมื่อเซี่ยไห่ฉุกคิดขึ้นได้ว่าเขาเองก็เป็นชายโสดอายุสามสิบแปด จึงตระหนักว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์พาดพิงราชินีแห่งวงการภาพยนตร์
“เสี่ยวไห่ รีบกลับไปที่ไห่เฉิงด่วน อย่าลืมเตรียมที่พักสำหรับพวกเราด้วย ที่สำคัญจะต้องรักษาสภาพแวดล้อมให้เป็นสัดส่วนและเป็นส่วนตัว คำนึงถึงฉันที่เป็นคนในวงการด้วย”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว”
เมื่อเซี่ยไห่กำลังจะวางสาย เขาก็ได้ยินเซี่ยอวี่บ่นพึมพำมาจากปลายอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ว่าแล้วตัวหล่อนต้องรอจนกว่าจะอายุเท่าไรถึงแต่งงานได้
เมื่อเฉินเจียเหอกลับมาถึงบ้าน ครอบครัวก็กำลังร่วมวงกินอาหารมื้อเย็น
ทันทีที่หันไปเห็นเขา หู่จือก็ตะโกนเสียงดัง “พ่อกลับมาแล้ว”
หลินเซี่ยรีบลุกขึ้นและเดินไปทักทายเขา
“พวกเราคิดว่าคุณจะกลับมาช้ากว่านี้ ก็เลยกินข้าวล่วงหน้ากันไปก่อน” เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเขาด้วยรอยยิ้ม “ไปล้างหน้าล้างตาเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะเตรียมอาหารไว้ให้คุณนะ”
เฉินเจียเหอมองเธอด้วยสายตาเปี่ยมความรัก ตอบรับเบา ๆ “ครับ”
เฉินเจียเหอแยกตัวเข้าไปในห้องน้ำ ส่วนหลินเซี่ยก็เข้าไปที่ห้องครัว
ผู้เฒ่าทั้งสองสังเกตเห็นท่าทางระหว่างเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยที่ดูจะสนิทสนมเข้ากันดี ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโล่งใจ
ก่อนหน้านี้พวกเขากังวลว่าถ้าเฉินเจียเหอแต่งงานกับหญิงสาวที่อายุต่างกันมาก เขาอาจต้องเป็นฝ่ายดูแลเธอในสถานะที่ไม่ต่างจากเลี้ยงลูก จนเธอไร้ความเกรงใจใด ๆ ทั้งยังอาจเข้ากับหู่จือได้ยาก
กลับกลายเป็นว่าช่องว่างของอายุไม่มีผลกระทบอะไรกับความสัมพันธ์ของสามีภรรยาคู่นี้เลย
ตัดภาพกลับมาที่ลูกชายคนรองกับภรรยาของเขา
ทั้งสองอายุห่างกันแค่ปีเดียวเท่านั้น
ผลออกมาเป็นอย่างไร?
แทบไม่ต่างจากไทเฮากับข้าราชบริพารตัวน้อยเลย
“คุณปู่ ทำไมถึงเอาแต่มองหน้าผมแทนที่จะกินข้าวล่ะ?” เฉินเจียซิ่งสังเกตเห็นสายตาที่แสดงความผิดหวังระคนเห็นอกเห็นใจของชายชรา จึงถามอย่างไม่สบอารมณ์
“เอาล่ะ กินข้าวกันเถอะ” ผู้เฒ่าเฉินเหนื่อยเกินกว่าจะอธิบาย
เมื่อเฉินเจียเหอนั่งลง ผู้เฒ่าเฉินก็วางตะเกียบลงและเริ่มพูดอย่างเป็นทางการ
“วันนี้ถือเป็นวันดีที่ทั้งครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ฉันอยากบอกให้ทุกคนรู้เกี่ยวกับกระบวนการรักษาของเจียวั่งโดยทั่วกัน หมอแผนจีนเย่บอกว่า เขามั่นใจว่าโรคภัยของเจียวั่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ถึงอย่างนั้นหลักสำคัญคือพวกเราทั้งครอบครัวจะต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าเวลาไหน ๆ ก็ไม่ควรมีใครทำให้เขาโกรธหรือหงุดหงิด นอกจากนี้จะต้องให้เขากินอาหารที่มีโภชนาการครบถ้วนและตรงเวลา ซึ่งจะช่วยให้ระบบการทำงานภายในร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้นระหว่างรับการรักษา ความถี่ของการกำเริบในครั้งต่อ ๆ ไปจะสั้นลงเรื่อย ๆ”
ว่าแล้วผู้เฒ่าเฉินก็เหลือบมองไปที่เฉินเจียซิ่งและเสิ่นเสี่ยวเหมย ก่อนจะพูดต่อ
“เพราะฉะนั้น ฉันหวังว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือ ดูแลน้องชายด้วยความใส่ใจมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในการพักฟื้นที่ดี ทำให้ร่างกายฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด เด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว เขาควรรีบฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด จากนั้นเลือกคบแฟนสักคน หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยจะได้หางานทำและแต่งงาน”
คุณย่าเฉินคลี่ยิ้มและพูดเสริม “ใช่แล้ว ปีนี้เขาอายุยี่สิบเอ็ด รีบรักษาตัวเขาให้หายเร็ว ๆ เถอะ จะได้พาแฟนสาวมาที่บ้านให้พวกเราชื่นใจ”
หลินเซี่ยนึกสนุกจึงแซวจากด้านข้าง “คุณย่าคะ ที่จริงก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่สนใจในตัวเขาอยู่หรอก เพียงแต่น้องสามีชอบปลีกวิเวกโดดเดี่ยวและทำตัวเย็นชา ไม่แม้แต่จะเหลียวแลผู้หญิงคนไหนด้วยซ้ำ มาตรฐานของเขาค่อนข้างสูงทีเดียวค่ะ”
“จริงเหรอ? มีผู้หญิงมาชอบเขาด้วยเหรอ?” ผู้เฒ่าทั้งสองของตระกูลเฉินและเฉินเจิ้นเจียงต่างหันไปมองหลินเซี่ยราวกับต้องการคำยืนยัน
หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างหนัก
โจวลี่หรงพูดกับลูกชายคนเล็กทันที “เจียวั่ง อย่าทำเล่นตัวจนเกินไป ในเมื่อผู้หญิงเขาแสดงออกว่าสนใจเรา ลูกก็พยายามให้โอกาสหล่อนหน่อย”
เฉินเจียวั่งจ้องมองหลินเซี่ยด้วยความขุ่นเคือง ตอบกลับว่า “แม่ อย่าไปฟังหล่อนพูดจาไร้สาระเลย”
เฉินเจียเหอส่งสายตาอันเฉียบคมไปที่เขา ถามคาดคั้น “ทำไมไปต่อว่าพี่สะใภ้เขาแบบนั้นล่ะ?”
ดวงตาของเฉินเจียวั่งยิ่งเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิม
เขาก้มหน้าเพราะสู้ไม่ได้ ไม่คิดจะพูดคุยกับพวกเขาอีก
ทุกคนมีความสุขมากหลังจากหลินเซี่ยแอบเผยเรื่องซุบซิบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งชอบเฉินเจียวั่ง ในขณะที่ทุกคนซุบซิบกันอย่างสนุกสนาน เฉินเจียวั่งก็แทบจะฝังหน้าตัวเองลงในชามข้าว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่พอใจหรือเขินอายกันแน่
เสิ่นเสี่ยวเหมยนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น เพิ่งเห็นก็ตอนนี้ว่าครอบครัวเฉินให้ความสนใจกับเฉินเจียวั่งมากแค่ไหน ยิ่งเมื่อหลินเซี่ยเอ่ยปากพวกเขาก็รีบผสมโรงอย่างรวดเร็ว แต่ละคนเอาแต่พูดถึงเฉินเจียวั่ง โดยที่ไม่พูดถึงหล่อนซึ่งเป็นหญิงตั้งครรภ์เลย
ดังนั้นหล่อนจึงรีบแสดงตัวตนด้วยน้ำเสียงอันคมชัด
“คุณปู่ คุณย่า เจียวั่งเป็นคนป่วย พวกเราต้องระมัดระวังสภาพจิตใจและอารมณ์ของเขาเป็นธรรมดา ฉันเองก็กำลังท้องอยู่ ดังนั้นควรได้รับการระมัดระวังเรื่องสภาพจิตใจด้วยหรือเปล่าคะ?”
ผู้เฒ่าเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาท่าทางที่ผู้อาวุโสในบ้านควรมี พูดกับเสิ่นเสี่ยวเหมยว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เสี่ยวเหมย เธอไม่เห็นเหรอ? นับตั้งแต่พวกเรารู้ว่าเธอกำลังตั้งท้อง ช่วงหลัง ๆ มานี้แม่สามีของเธอมักจะเข้าครัวเตรียมอาหารให้เธอทันทีหลังกลับจากที่ทำงาน ย่าเองก็คอยดูแลและใส่ใจอารมณ์เธออย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เธอเองก็ควรสงบสติอารมณ์ ทำให้ตัวเองอารมณ์ดีเข้าไว้”
“ผู้ใหญ่ทุกคนในบ้านหลังนี้ใจดีกับฉันกันหมดแหละค่ะ แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ดี พอเห็นว่าฉันท้อง ก็จงใจทำให้ฉันรู้สึกแย่ นี่ส่งผลต่อทั้งอารมณ์ของคนเป็นแม่และพัฒนาการของลูกด้วย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะที่จะให้ฉันอารมณ์ดี”
บรรยากาศที่ผ่อนคลายและสนุกสนานแต่เดิมกลับกลายเป็นชะงักงันเนื่องจากคำพูดของเสิ่นเสี่ยวเหมย
หลินเซี่ยมองหล่อนอย่างเย็นชา “เธอกำลังพูดถึงฉันใช่ไหม?”
เสิ่นเสี่ยวเหมยพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ฉันยังไม่ได้เอ่ยชื่อใคร”
“ฉันไม่ได้โง่” หลินเซี่ยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เสิ่นเสี่ยวเหมย ตั้งแต่ที่เธอท้อง วันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้เจอหน้ากัน ใครกันแน่ที่แสดงท่าทางแปลก ๆ ที่หน้าประตูเมื่อกี้นี้? หู่จือบอกว่าเขาอยากให้ฉันท้องบ้าง ฉันเลยตอบเขาไปว่าแม่สัญญาว่าจะมีน้องสาวให้ ได้ยินแค่นี้ก็ทนน้อยหน้าไม่ได้แล้วเหรอ?
อย่ากังวลเลย เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อสภาวะอารมณ์ก่อนเธอคลอด ฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงการเจอหน้าเธอให้มากที่สุด ถ้าครอบครัวสามของเรากลับมาที่นี่เมื่อไหร่ แล้วเธอไม่อยากเห็นหน้าฉัน ก็แค่เลือกว่าจะไม่ออกจากห้อง หรือเลือกออกไปอยู่ข้างนอกแทน ตราบใดที่น้ำบ่อไม่มายุ่งกับน้ำคลองก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร”
หลินเซี่ยมีทัศนคติที่แข็งกร้าวและไม่ยอมประนีประนอมให้หล่อนเลย “บ้านหลังนี้มีผู้อาวุโสและพ่อแม่สามีของฉันอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะไม่กลับบ้านเพราะเธอคนเดียว”
ใบหน้าของเสิ่นเสี่ยวเหมยเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธเมื่อถูกกระทบกระเทียบโดยตรง หล่อนนึกอยากจะตอบโต้ แต่เมื่อเห็นสายตาของหลินเซี่ยที่จ้องมองมาอย่างดุดัน ก็ต้องกลืนคำพูดกลับลงคอไป
เสิ่นเสี่ยวเหมยนึกโกรธตัวเองมาก ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่หล่อนไม่สามารถเอาชนะผู้หญิงคนนี้ได้ ทำไม่ได้แม้แต่จะต่อสู้หรือตีฝีปากชวนทะเลาะ
แม้แต่ตัวตนของหล่อนในบ้านนี้ยังตกเป็นรองอีกฝ่าย
ผู้ใหญ่ทุกคนเลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นในเวลานี้ ทุกคนทำเป็นไม่สนใจพวกเธอ และไม่คิดจะเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองปรองดองกันแต่โดยดี
เฉินเจียเหอคีบอาหารใส่ลงในชามให้หลินเซี่ย พลางพูดเบา ๆ “กินข้าวเถอะ หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเรากลับบ้านกันเร็วหน่อย”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอาทรด้วยต้องการจะเอาอกเอาใจภรรยา
เสิ่นเสี่ยวเหมยจ้องเขม็งมองไปที่เฉินเจียซิ่งอย่างดุเดือด
เฉินเจียซิ่งทำได้เพียงกลอกตา จำใจหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบอาหารให้เสิ่นเสี่ยวเหมย
…
หลังจากกินข้าวกันเสร็จ เฉินเจียเหอก็เรียกเฉินเจียวั่งให้เข้าไปล้างจานด้วยกัน
เดิมทีผู้เฒ่าเฉินไม่ต้องการให้เฉินเจียวั่งทำงานบ้าน แต่เฉินเจียเหอให้เหตุผลว่าการทำงานบ้านจะช่วยให้อารมณ์ของเขาผ่อนคลาย และเป็นกิจกรรมที่คลายความเครียดได้ดี
หยิบจับทำงานให้มากขึ้น เรียนรู้ทักษะชีวิตรอบตัว จะได้ไม่กลายเป็นผู้ชายไม่เอาไหนหากต้องมีคู่ครองในอนาคต
ขณะที่เฉินเจียเหอพูดแบบนั้น เขาก็เหลือบมองไปทางเฉินเจิ้นเจียงซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาและอ่านหนังสือพิมพ์
เฉินเจิ้นเจียงรู้สึกเหมือนตัวเองโดนพาดพิงทางอ้อม จึงเงยหน้าขึ้น และชายตามองไปที่เฉินเจียเหอ
แต่เฉินเจียเหอลากเฉินเจียวั่งเข้าไปห้องครัวก่อนแล้ว
หลินเซี่ยและหู่จือขึ้นไปชั้นบนห้องชั้นบน เพราะหู่จืออยากเอาหนังสือนิทานกลับไปอ่านที่บ้าน
ก่อนขึ้นไปก็บังเอิญเจอกับเสิ่นเสี่ยวเหมยตรงทางเดิน หลินเซี่ยจึงก้าวถอยหลังออกไปอย่างสุภาพ เพื่อหลีกทางให้เสิ่นเสี่ยวเหมยไปก่อน
เธอต้องอยู่ห่างจากผู้หญิงคนนี้เข้าไว้ เกิดอีกฝ่ายแกล้งล้มแล้วโทษว่าเธอเป็นฝ่ายเดินชนขึ้นมา ถึงเวลานั้นจะอธิบายก็เป็นเรื่องยาก
เสิ่นเสี่ยวเหมยพึงพอใจกับทัศนคติของหลินเซี่ยมาก หล่อนสูดจมูกอย่างเย็นชา แล้วก้าวลงไปชั้นล่าง
โจวลี่หรงพูดกับเฉินเจียซิ่ง “เจียซิ่ง ช่วยไปคุยกับเสี่ยวเหมยหน่อยสิ แม่อยากพาหล่อนไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพในวันพรุ่งนี้เลย”
เฉินเจียซิ่งตอบกลับ “แม่ ช่วงนี้งานของหล่อนค่อนข้างยุ่งพอสมควร ไว้วันจันทร์ผมค่อยพาหล่อนไปเอง”
โจวลี่หรงยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น ใบหน้าของหล่อนหม่นหมองลงเล็กน้อย
คุณย่าเฉินเดินออกมาจากห้องพอดี เมื่อเห็นโจวลี่หรงจ้องมองทางเดินตรงหน้าด้วยสีหน้าและแววตาที่ว่างเปล่าก็ถามไถ่ “ลี่หรง เป็นอะไรไป?”
โจวลี่หรงกลับมารู้สึกตัว อธิบายว่า “คุณแม่ ฉันแค่แนะนำให้ลูกพาเสี่ยวเหมยไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพโดยเร็วที่สุดค่ะ”
คุณย่าเฉินพยักหน้า “ฉันก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ไปให้หมอตรวจดูสักหน่อยเถอะ ต้องเห็นผลอัลตราซาวด์ของจริงเท่านั้น เราถึงจะมั่นใจได้”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ถ้าคุณอาเจอหลานสาวที่หน้าคล้ายตัวเองแล้วจะรู้สึกยังไงกันน้า
แรงมาก็แรงกลับอะเอาสิ แถมผู้ใหญ่ไม่ว่าอะไรด้วย เธอจะทำไมเหรอเสี่ยวเหมย แค่เรื่องเล็กน้อยก็เล่นใหญ่ไปได้
ไหหม่า(海馬)