ตอนที่ 226 อย่าห้ามฉันไม่ให้รู้จักพ่อตัวเองเลย
ตอนที่ 226 อย่าห้ามฉันไม่ให้รู้จักพ่อตัวเองเลย
หลินเซี่ยถามด้วยรอยยิ้ม “แม่ มาได้ยังไงคะ? คงไม่ได้ออกไปตั้งแผงตั้งแต่เช้าหรอกใช่ไหม?”
“เปล่า พี่ชายของลูกกับเสี่ยวเยี่ยนกำลังทำเหลัยงเฝิ่น แม่ออกมาซื้อซีอิ๊วพอดี ก็เลยเดินมาดูว่าลูกเปิดร้านแล้วหรือยัง”
หล่อนบอกว่าตั้งใจออกมาซื้อของ แต่มือทั้งสองข้างกลับว่างเปล่า
หลินเซี่ยมองไปที่มือของหลิวกุ้ยอิง เห็นว่าหล่อนกังวลมากจนเอาแต่กำชายเสื้อไม่หยุด สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“แม่ ชุนฟางยังไม่มาค่ะ เข้ามานั่งพักสักครู่เถอะ”
หลินเซี่ยปิดประตูร้านทันที จากนั้นพาหลิวกุ้ยอิงไปที่ฉากกั้นห้องด้านหลัง
“แม่ มีอะไรอยากคุยกับฉันหรือเปล่า?” หลินเซี่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หลิวกุ้ยอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นรวบรวมความกล้าแล้วถามว่า “เถ้าแก่เซี่ยยังไม่กลับมาอีกเหรอ?”
หลินเซี่ยตอบตามความจริง “ยังเลยค่ะ แต่เขาคุยกับเจียเหอทางโทรศัพท์แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเจอญาติฝั่งแม่แล้วล่ะ”
“อะไรนะ? เขาไปเจอบ้านแม่แล้วเหรอ?” หลิวกุ้ยอิงดูตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้
หล่อนไม่คิดว่าการตรวจสอบของเซี่ยไห่จะมีประสิทธิภาพขนาดนี้ เขาสามารถหาบ้านพ่อแม่ของหล่อนเจอได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ เทศมณฑลซีเหอไม่ใช่สถานที่ที่กว้างใหญ่อะไรมาก ดังนั้นขอแค่เซี่ยไห่ตามเจอคนที่เคยดำรงตำแหน่งบัญชาการหน่วยทหารในเวลานั้น เขาต้องได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหล่อนอย่างง่ายดาย
“ใช่ค่ะ เขายังไปเจอกับเพื่อนเก่าของเซี่ยเหลยมาหลายคนด้วย” หลินเซี่ยมองหล่อน และพูดทีละคำ “แม่คะ เซี่ยเหลยที่แม่รู้จักเป็นคนเดียวกันกับพี่ใหญ่ของเซี่ยไห่ และอิงจื่อที่เขากำลังตามหาก็คือแม่”
“หมายความว่า เขายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ เหรอ?”
หลิวกุ้ยอิงนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นอยู่นานด้วยสีหน้าว่างเปล่า อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ทำไมเขาไม่มาหาแม่เลยหลังจากที่เขารอดชีวิตมาได้? นี่ก็ผ่านมาตั้งยี่สิบปีแล้ว แม่ไม่มีโอกาสรู้ข่าวด้วยซ้ำว่าเขายังมีชีวิตอยู่”บราวนี่ออนไลน์
หลินเซี่ยอธิบายให้เธอฟังอย่างจริงจัง “แม่ อย่าลืมสิคะว่าตอนนั้นเซี่ยเหลยได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่เขาได้รับการช่วยชีวิตกลับมาได้ ที่สำคัญคือเขาสมองกระทบกระเทือนจนสูญเสียความทรงจำ แต่ตอนนี้เขาหายดีแล้ว พื้นฐานที่สุดคือจำคนในครอบครัวได้ แต่ความทรงจำที่เกี่ยวกับสงครามน่าจะไม่เหลืออีกต่อไป เขาจำแม่ไม่ได้ แล้วเขาจะออกตามหาแม่จนเจอได้ยังไง?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาคงลืมไปนานแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเราสองคน ลืมแม้กระทั่งว่าแม่เป็นใครใช่ไหม?” หลิวกุ้ยอิงยิ้มอย่างขมขื่น น้ำตาคลอเบ้า “ในเมื่อเขาลืมก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก”
หลินเซี่ยมองหน้าเธอแล้วพูดเบา ๆ “แม่คะ ถ้าพวกคุณได้เจอกันอีกครั้งความทรงจำของเขาอาจถูกปลุกให้ฟื้นคืนโดยแม่ก็ได้ ครอบครัวของเซี่ยไห่ต้องการตามหาอิงจื่อ เพราะหวังว่าแม่จะช่วยปลุกความทรงจำของเขาให้กลับมาได้ ฉันได้ยินเซี่ยไห่บอกว่าทุกคืนตอนเขานอนหลับ เขามักจะเพ้อเรียกชื่ออิงจื่อเสมอ ส่วนลึกของจิตใต้สำนึกเขายังไม่ลืมแม่นะคะ”
ท่าทางของหลิวกุ้ยอิงดูมืดมน ดวงตาไร้ชีวิตชีวา จากนั้นก็ส่ายหน้า “คงไม่จำเป็นอีกแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่เราสองคนจะพบกันอีก ต่อให้เขาได้ความทรงจำเกี่ยวกับแม่กลับคืนมาแล้วยังไง? เรื่องของเรามันผ่านมานานมากแล้ว”
ยี่สิบปีผ่านมา ความทรงจำอันยาวนานของหล่อนก็เริ่มเลือนราง
นับตั้งแต่แต่งงานกับหลินต้าฝู หล่อนแทบไม่เคยคิดถึงเขาเลยแม้แต่น้อย
เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะถือว่าไม่ยุติธรรมสำหรับหลินต้าฝู
หลิวกุ้ยอิงมองไปที่หลินเซี่ย พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนว่า “เซี่ยเซี่ย ลูกช่วยปิดบังเรื่องนี้ไว้จากพี่ชายและเสี่ยวเยี่ยนได้ไหม?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หลินเซี่ยก็พูดด้วยความสัตย์จริง “ฉันไม่เล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังก็ได้ค่ะแม่ แต่เราซ่อนเรื่องนี้ไว้ไปตลอดไม่ได้ ถ้าเซี่ยไห่กลับมาที่นี่เมื่อไหร่ เรื่องราวทุกอย่างจะถูกเปิดเผย พี่ชายทำงานกับเขา ดังนั้นเขาต้องรู้แน่นอน”
เมื่อถึงเวลานั้น น่ากลัวว่าเซี่ยไห่จะเป็นฝ่ายวิ่งโร่มายืนยันสถานะกับเธอ ในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา หลินจินซานจะไม่รู้ได้อย่างไร?
หลิวกุ้ยอิงเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม และสูญเสียความมั่นใจ
จิตใจของหล่อนยุ่งเหยิง ครุ่นคิดหาทางออกอย่างบ้าคลั่ง ถึงกับคิดว่าจะพาหลินจินซานและหลินเยี่ยนหนีความจริงกลับไปที่ชนบท
แต่หล่อนก็รู้เช่นกันว่าหลินจินซานโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่สามารถบังคับความต้องการของเขาได้
“แม่กลัวว่าพี่ชายจะปฏิเสธพวกเราหลังจากที่เขารู้ความจริงเหรอ?”
หลิวกุ้ยอิงก้มหน้าลงและพยักหน้าช้า ๆ “ความลับนี้ถูกเก็บซ่อนไว้อย่างดีมานานยี่สิบปี แม่ไม่เคยมีความกล้าที่จะพูด และแม่ก็ไม่อยากพูดด้วย ตอนนี้ถ้าจู่ ๆ แม่ไปบอกเขากับเสี่ยวเยี่ยนว่าลูกไม่ได้มีพ่อคนเดียวกันกับพวกเขา พวกเขาจะคิดยังไง? ในอนาคตต้องมีช่องว่างระหว่างลูกกับพี่ชายแน่ เพราะพวกลูกไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดต่อกันฉันท์พี่น้อง หลังรู้ความจริงนี้แล้ว พี่ชายจะมองเราติดได้ยังไง? พี่ชายของลูกต้องไม่พอใจในความทรยศของแม่แน่”
หลินเซี่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางซ่อนเรื่องนี้ได้อยู่ดี เว้นแต่แม่จะปฏิเสธว่าตัวเองไม่รู้จักเซี่ยเหลย และจะปฏิเสธที่จะไปเจอเซี่ยเหลยเมื่อพวกเขามาที่ไห่เฉิง”
เธอมองไปที่หลิวกุ้ยอิงและพูดต่อ “แต่ถ้าเซี่ยเหลยเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของฉันจริง ๆ ฉันต้องไปพบเขาแน่นอนค่ะ เขาคือวีรบุรุษที่ปกป้องครอบครัวและประเทศชาติไว้ จนกลายเป็นคนพิการไปครึ่งหนึ่งจากสงครามแนวหน้า แล้วใช้เวลาที่เหลือในชีวิตไปกับการพักรักษาตัว แม่กับน้องสาวคอยดูแลเขามายี่สิบปีแล้ว ฉันหวังว่าเขาจะฟื้นความทรงจำและกลับมามีสุขภาพที่ดีอีกครั้ง ฉันเข้าใจหากว่าพวกคุณไม่คิดจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีก แต่แม่ไม่สามารถห้ามฉันไม่ให้รู้จักครอบครัวตัวเองได้ หวังแค่แม่จะช่วยกระตุ้นให้ความทรงจำในอดีตของเขากลับคืนมา ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันเคารพการตัดสินใจของแม่ในเรื่องส่วนตัวอย่างเต็มที่”
ทัศนคติของหลินเซี่ยมั่นคง คำพูดของเธอก็จริงใจ หลิวกุ้ยอิงก้มหน้าลงวิเคราะห์ตามอย่างเคร่งขรึม
หลินเซี่ยจับมือหล่อนและปลอบโยนเบา ๆ
“แม่ไม่ต้องกังวลเรื่องพี่ชายเลยค่ะ ฉันจะเป็นคนอธิบายให้เขาเข้าใจเอง ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะสำคัญมาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคลสำคัญกว่า”
ดูเหมือนหลิวกุ้ยอิงจะถูกหลินเซี่ยโน้มน้าวสำเร็จ หล่อนพยักหน้า “ลูกพูดถูก ความสัมพันธ์ระหว่างตัวบุคคลสำคัญกว่า”
“จริงสิ ฉันเกือบลืมคุยธุระไปซะสนิท สำนักสันติบาลในบ้านเกิดของเราฝากข้อความมาค่ะ ให้แม่โทรกลับไปหาพวกเขา เพราะมีบางอย่างที่ต้องการสอบปากคำเพิ่มเติม” หลินเซี่ยนึกถึงโจวเจี้ยนกั๋วที่โทรมาแจ้งเมื่อคืน จึงถ่ายทอดให้หลิวกุ้ยอิงฟัง
“มีอะไรหรือเปล่า?” หลิวกุ้ยอิงถามอย่างเร่งรีบ “หรือว่าผลสรุปออกมาแล้ว?”
“กระบวนการสืบสวนอาจมีอุปสรรคนิดหน่อย แม่โทรไปสอบถามสถานการณ์เองแล้วกันค่ะ”
ชุนฟางมาทำงานแล้ว สองแม่ลูกจึงหยุดคุยกันในเรื่องนี้
ทันทีที่ลูกค้ารายอื่นเข้ามาใช้บริการ หลิวกุ้ยอิงก็จากไป
หลิวกุ้ยอิงโทรกลับไปที่สำนักสันติบาลในบ้านเกิด เมื่อได้ยินเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นั่นโทรมารายงานความคืบหน้าว่าคนชื่อเสิ่นเถี่ยจวินต้องการให้ยกเลิกการสืบสวน หลิวกุ้ยอิงก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะแสวงหาความจริง
เนื่องจากเป็นการทำคดีทางไกล สำนักสันติบาลประจำอำเภอจึงติดต่อประสานงานกับสำนักสันติบาลในไห่เฉิง เพื่อขอให้สหายตำรวจที่นี่ช่วยไปสอบปากคำ
สหายตำรวจในบ้านเกิดตามสืบจนเจอหมอและพยาบาลที่ทำคลอดบุตรให้หลิวกุ้ยอิงและเซี่ยหลานในเวลานั้นแล้ว
จึงได้รับทราบข้อมูลบางอย่างที่เกิดขึ้นในปีนั้นจากปากของพวกเขาด้วย
หลักฐานในคดีเริ่มมีความชัดเจน
สหายตำรวจในไห่เฉิงดำเนินการอย่างรวดเร็ว ส่งเจ้าหน้าที่สองนายตรงไปยังโรงงานเครื่องจักรที่เสิ่นเถี่ยจวินกำลังทำงานอยู่ เพื่อขอคำยืนยันเกี่ยวกับสถานการณ์จากปากเขา
เจียงกั๋วเซิ่งบังเอิญเดินผ่านประตูห้องทำงานของเสิ่นเถี่ยจวินพอดี จึงบังเอิญสวนกับสหายตำรวจสองนายที่เดินออกมาหลังจากสอบปากคำเสร็จ
เขาทักทายอีกฝ่ายก่อน จากนั้นมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินด้วยความสับสน “เหล่าเสิ่น เกิดอะไรขึ้น? โรงงานเรามีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” พนักงานจากห้องทำงานอื่นก็โผล่หน้าออกมาดูเช่นเดียวกัน
สหายตำรวจคนหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้มว่า “โรงงานของคุณไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ พวกเรามาด้วยเรื่องส่วนตัวของเขา”
เสิ่นเถี่ยจวินดูเหมือนกลัวว่าเจียงกั๋วเซิ่งจะถามซักไซ้ไปมากกว่านี้ จึงทำท่าทางเชื้อเชิญอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “เดี๋ยวผมลงไปส่งพวกคุณสองคนเองครับ”
เจียงกั๋วเซิ่งไม่รีบร้อนกลับไปที่ห้องทำงานตัวเอง เมื่อเสิ่นเถี่ยจวินกลับมาหลังจากส่งสหายตำรวจทั้งสองกลับไปแล้ว ก็เห็นเขายังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องทำงาน
เสิ่นเถี่ยจวินเปล่งรัศมีมืดมนออกมาทันที ถามเจียงกั๋วเซิ่ง “เหล่าเจียง มีอะไร?”
“ไม่มีอะไร ผมแค่อยากรู้นิดหน่อย สองคนนั้นมาทำไม…” เจียงกั๋วเซิ่งพยักพเยิดไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่เพิ่งเดินลงไปชั้นล่าง
ใบหน้าของเสิ่นเถี่ยจวินดูน่าเกลียด น้ำเสียงเรียกได้ว่าหมดความอดทน “ไม่ได้มีอะไรมากมาย พวกเขาแค่มาสอบปากคำเกี่ยวกับสถานการณ์เพิ่มเติม”
เขาเข้าไปในห้องทำงาน เจียงกั๋วเซิ่งก็เดินตามเข้าไป ถามอย่างสงสัย “ใช่เรื่องที่เสิ่นอวี้อิ๋งโดนสลับตัวตอนแบเบาะหรือเปล่า?”
น้ำเสียงของเสิ่นเถี่ยจวินฉุนเฉียว “สหายตำรวจแค่ทำตามหน้าที่ อย่าสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวคนอื่น”
“เรื่องส่วนตัวแล้วถามในฐานะคนอยากรู้ไม่ได้หรือไง?” เจียงกั๋วเซิ่งทำตัวเป็นลุงขี้นินทา “คุณรู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเป็นเพราะอะไร? เป็นความผิดพลาดของทางโรงพยาบาล หรือเป็นความจงใจของคน?”
“แต่จะว่าไปก็ไม่น่าเป็นความจงใจของคน กุ้ยอิงเป็นคนซื่อสัตย์และเรียบง่าย คนอย่างหล่อนไม่มีทางทำอะไรที่ไร้ความปรานีขนาดนี้” เจียงกั๋วเซิ่งลูบคาง พลางมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินอย่างพินิจพิเคราะห์ “ส่วนคุณกับหมอเซี่ยก็ไม่มีแรงจูงใจ งั้นนี่คงเป็นความประมาทเลินเล่อของโรงพยาบาลเอง คุณต้องฟ้องร้องโรงพยาบาลนะ ให้พวกเขาชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้กับทั้งสองครอบครัวที่ต้องสูญเสียโอกาสในการเลี้ยงดูลูกตัวเอง”
“กุ้ยอิง?” เสิ่นเถี่ยจวินซึ่งทำหน้าตาน่าเกลียดในตอนแรก ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองดูอีกฝ่าย เมื่อได้ยินชื่อเล่นที่ดูสนิทสนมคุ้นเคยของหลิวกุ้ยอิงถูกเปล่งออกมาจากปากเจียงกั๋วเซิ่ง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ถ้าไม่อยากให้พี่ชายรู้ ก็ต้องไปยันเซี่ยไห่เอาไว้น่ะค่ะ รายนั้นรู้เมื่อไหร่โลกรู้เมื่อนั้น
คุณพ่อเจียงอย่าโป๊ะนะคะ