ตอนที่ 238 แผนการของเสิ่นเสี่ยวเหมย
ตอนที่ 238 แผนการของเสิ่นเสี่ยวเหมย
เซี่ยไห่มีท่าทางตื่นเต้นอย่างยิ่ง เมื่อรู้ว่าหลินเซี่ยว่าเป็นหลานสาวของเขาก็รีบออกปากว่าจะมาส่งอาหารให้เธอทุกวัน จนหลินเซี่ยซึ่งยึดเหตุผลเหนือกว่าความรู้สึกต้องเอ่ยเตือนว่า “เราควรรอจนกว่าพี่ใหญ่ของคุณจะมาถึงก่อนดีกว่า ถึงเวลานั้นฉันค่อยตัดสินใจว่าจะนับถือคุณเป็นผู้ปกครองดีไหม
เซี่ยไห่พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังไงเราก็ต้องตรวจสอบความเป็นพ่อลูกกันอยู่แล้ว แต่นั่นเป็นแค่กระบวนการหนึ่ง ถึงยังไงเธอก็หน้าเหมือนพี่สาวฉันมาก ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด”
“ถึงยังไงก็ควรระวังไว้จะดีกว่าค่ะ”
เซี่ยไห่ส่งยิ้มให้หลินเซี่ย แล้วถามอย่างจริงจัง “เธอได้ถามแม่หรือยังว่าหล่อนพร้อมจะเจอฉันเมื่อไหร่?”
เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว หลิวกุ้ยอิงถูกกำหนดให้พลัดพรากจากการเป็นพี่สะใภ้ของเขา ยี่สิบปีต่อมา คู่รักที่พลัดพรากจากกันทั้งสองคนนี้อาจมีวาสนาจะได้กลับมาสานต่อความสัมพันธ์กันอีกครั้ง
เขาจึงอยากพบกับหลิวกุ้ยอิงก่อน เพื่อยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับพี่ใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้ความจริงก็เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้ว
เซี่ยไห่ยิ่งรู้สึกว่าการนัดเจอหลิวกุ้ยอิงถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ
เขาต้องการกล่าวขอโทษหลิวกุ้ยอิงในนามของพี่ชายคนโต
พร้อมกันนั้นก็อยากจะขอบคุณหล่อนที่อดทนเอาชนะความยากลำบากในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยในเวลานั้นมาได้ จากนั้นก็ให้กำเนิดลูกสาวของพี่ใหญ่ และมอบหลานสาวให้เขาหนึ่งคน
สำหรับเขาแล้ว หลิวกุ้ยอิงเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยม แข็งแกร่ง และควรค่าแก่การนับถือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาไปสอบถามข้อมูลจากบรรดาคนเก่าคนแก่ในเทศมณฑลซีเหอ เซี่ยไห่รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเพื่อนเก่าเหล่านั้นเล่าว่าครอบครัวหลิวถึงขั้นกักขังหน่วงเหนี่ยวหลิวกุ้ยอิง
หลินเซี่ยตอบกลับ “ไว้บ่ายนี้ฉันจะพาคุณไปเยี่ยมแม่ของฉันนะคะ”
“ได้สิ ขอบคุณมาก แม่ฉันและคนอื่น ๆ กำลังเตรียมขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อพาเขากลับมาที่นี่แล้ว แม่เธอกับพี่ใหญ่ของฉันใกล้จะได้เจอหน้ากันในเร็ววันนี้ พวกเขาห่างหายจากชีวิตของกันและกันไปยี่สิบปี ฉันตั้งตารอที่จะได้เห็นฉากนั้นจริง ๆ”
เพียงจินตนาการถึงฉากนั้น เซี่ยไห่ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความปีติยินดีอย่างยิ่ง
เขามองไปทางหลินเซี่ย และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เซี่ยเซี่ย คุณย่าของเธอจะต้องชอบเธอมากแน่ ๆ ก่อนหน้านี้เมื่อท่านได้ยินว่าตัวเองมีหลานสาว ท่านถึงกับร้องไห้ด้วยตื้นตันใจ หญิงชราคนนั้นต้องมีความสุขมากแน่เมื่อเราพบกัน”
เขาคร่ำครวญว่า “พวกเราสามคนพี่น้องยังไม่มีใครได้แต่งงานเลย นับวันแม่ฉันก็ยิ่งแก่ตัวลง ท่านก็อยากมีหลานสักคนใจจะขาด เฝ้าอธิษฐานทุกคืนวัน ในที่สุดมันก็เป็นจริง”
“ทำไมคุณกับพี่สาวถึงไม่แต่งงานซะทีล่ะคะ?” หลินเซี่ยถามอย่างสงสัย
ทั้งคู่ต่างก็มีอาชีพการงานที่ประสบความสำเร็จ แล้วทำไมพวกเขาถึงยังไม่แต่งงานล่ะ?
เซี่ยไห่อธิบาย
“พี่สาวฉันเป็นดาราดัง มีแฟนคลับมากมายชื่นชอบภาพยนตร์ที่หล่อนแสดง หล่อนไม่อยากให้การแต่งงานส่งผลกระทบต่ออาชีพการงานของตัวเอง”
“แล้วคุณล่ะ?” หลินเซี่ยถามต่อไป
เซี่ยไห่กระแอมไอเบา ๆ ดวงตาของเขากะพริบปริบ “ฉันรู้สึกสบายใจที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า”
“คุณถังที่เปิดร้านฝั่งตรงข้ามเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณไม่ใช่เหรอคะ?” หลินเซี่ยอดไม่ได้ที่จะถามเกี่ยวกับทัศนคติของเซี่ยไห่ที่มีต่อถังหลิง
“ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรมาก เราเพิ่งเจอกันได้ไม่นาน ฉันแค่ชื่นชมที่หล่อนเป็นผู้หญิงแกร่ง ทำธุรกิจด้วยตัวคนเดียว แล้วพวกเราก็เป็นเพื่อนบ้านกัน ในอนาคตมีอะไรก็จะได้ช่วยเหลือกันได้”
“อ๋อ”
แม้ว่าเซี่ยไห่จะไม่ได้คิดในแง่นั้นกับถังหลิง แต่สักวันหนึ่งเขาอาจไม่สามารถต้านทานทักษะยั่วยวนระดับสูงของถังหลิงได้ ไม่ว่าภาพลักษณ์ภายนอกของหล่อนจะเป็นอย่างไร หลินเซี่ยก็พูดถึงถังหลิงต่อหน้าเซี่ยไห่อย่างตรงไปตรงมา “หล่อนเคยเป็นศัตรูหัวใจของฉัน และเกือบจะทำให้เฉินเจียเหอกับฉันเลิกกันมาแล้ว กระทั่งวันแรกที่ฉันไปที่บ้านของเขา หล่อนยังตามมาเย้ยฉันถึงที่”
“ฉันได้ยินมาแบบนั้นเหมือนกัน แต่คุณถังไม่ใช่คนประเภทที่จะเสี่ยงชีวิตและความเป็นตายเพื่อความรัก หล่อนมีใจรักในอาชีพการงานของตัวเองมาก พอรู้ว่าเธอแต่งงานกับเจียเหอ ในที่สุดก็ยอมรับความพ่ายแพ้”
หลินเซี่ยสามารถระบุได้จากคำพูดของเซี่ยไห่ว่าเขาค่อนข้างชื่นชมถังหลิง
น้ำเสียงของหลินเซี่ยมีความหมาย “ใช่ค่ะ หล่อนยอมพ่ายแพ้ จากนั้นก็เล็งเป้าหมายใหม่”
เซี่ยไห่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำพูดของหลินเซี่ยอย่างจริงจัง “การมีเป้าหมายใหม่ถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ หล่อนจะได้ไม่มายุ่งวุ่นวายกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีไงล่ะ”
หลินเซี่ยไม่รู้ว่าเซี่ยไห่โง่หรือแกล้งโง่ ที่ไม่รู้ว่าเป้าหมายใหม่ของถังหลิงก็คือตัวเขาเอง!
เซี่ยไห่สมองช้ามากในด้านความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง ดูเหมือนเขาจะมีความสุขตามอัตภาพกับการอยู่ตัวคนเดียวจริง ๆ ไม่โหยหาความรักแต่อย่างใด เหมือนเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ปล่อยวางซึ่งกิเลส
ประตูร้านตัดผมเปิดอ้าเพียงครึ่งเดียว หลินเซี่ยเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าหลิวลี่ลี่ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอาแต่ยืนจ้องมองเธอ พูดให้ถูกก็คือจ้องมองเธอกับเซี่ยไห่
ดวงตาของหลินเซี่ยขยับไหวเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่เซี่ย ฉันขอร้องว่าอย่าเพิ่งเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราต่อสาธารณะในตอนนี้ รอจนกว่าครอบครัวของคุณจะมาถึง และทำการทดสอบความเป็นพ่อลูกเสร็จสิ้นซะก่อน”
ดีเหมือนกันที่จะปล่อยให้ใครบางคนร้อนใจเล่น
เซี่ยไห่พยักหน้า “ได้เลย”
“แต่ เธอช่วยเปลี่ยนมาเรียกฉันว่าอารองเซี่ยแทนเถ้าแก่เซี่ยได้ไหม?” ดวงตาของเซี่ยไห่เป็นประกาย มองหน้าหลินเซี่ยอย่างคาดหวัง
เขาอยากได้ยินหลานสาวเรียกเขาว่าอารองจริง ๆ
หลินเซี่ยหัวเราะอย่างเชื่องช้า “รอให้ผลตรวจออกมาชัดเจนเมื่อไหร่ฉันจะเปลี่ยนคำเรียกนะคะ”
ให้เรียกเขาว่าอารอง ลำคอเธอแห้งผากเกินกว่าจะเค้นออกมาได้จริง ๆ
เหตุผลหลักเป็นเพราะผู้ชายคนนี้ยังดูอ่อนเยาว์เกินไป
“ได้ แล้วแต่เธอ” แม้ว่าหลินเซี่ยจะยังไม่ยอมเรียกเขาว่าอารอง แต่เซี่ยไห่ก็ทำตัวเป็นเหมือนผู้อาวุโส “มา รีบกินข้าวเร็วเข้า เนื้อร้านนี้ผัดนุ่มมากเลยนะ”
หลินเซี่ยขยับกล่องอาหารกลางวันอย่างเชื่องช้า “ขอบคุณค่ะ ฉันจะค่อย ๆ กิน”
หลิวลี่ลี่ยืนอยู่ที่ประตู จ้องมองไปฝั่งตรงข้าม แต่แล้วก็ทนไม่ไหวเมื่อเห็นภาพเซี่ยไห่คีบอาหารให้หลินเซี่ย เธอเดินกลับเข้าไปในร้านตัวเองแล้วพูดด้วยความโกรธกับถังหลิงว่า “พี่หลิง ดูสิ เถ้าแก่เซี่ยคนนั้นเข้าไปในร้านตัดผมอีกแล้ว วันนี้ยังกินข้าวมื้อกลางวันกับหลินเซี่ยกันสองต่อสองด้วย”
“ฮึ่ม ชุนฟางถูกพวกเขากันตัวออกไปข้างนอก ผู้หญิงคนนั้นไม่เบาเลยจริง ๆ ตัวเองแต่งงานแล้วแท้ ๆ ยังเอาแต่หว่านเสน่ห์ใส่ผู้ชายคนอื่น นังนั่นจะไร้ยางอายไปถึงไหนกัน ขนาดอยู่ในที่สาธารณะยังไม่มีความละอาย”
ถังหลิงยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่าง มองเห็นร่างสองร่างกำลังกินข้าวด้วยกันอยู่ข้างในร้านอย่างคลุมเครือ
หล่อนยกมือขึ้นกอดอก ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย
คิดกี่ตลบก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเซี่ยไห่ถึงได้กระตือรือร้นกับหลินเซี่ยขนาดนี้
เฉินเจียเหอก็ไม่มีวี่แววจะหึงหวงสักนิดเลยเหรอ?
“ลี่ลี่ อย่าเอาแต่พูดจาไร้สาระ เห็นไหมว่าตลอดทั้งช่วงเช้าไม่มีลูกค้าคนไหนก้าวเข้ามาในร้านเราเลย เธอควรเอาอย่างชุนฟางนะ ออกไปตระเวนตามถนนเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์เสริมความงามของเราและผลลัพธ์ของมัน”
หล่อนเห็นว่าผู้หญิงที่ชื่อชุนฟางมักจะหาเวลาว่างออกไปถามไถ่ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนว่าอยากตัดผมไหม?
ช่วงสองวันที่ผ่านมา หล่อนเฝ้าดูผู้หญิงคนนั้นประสบความสำเร็จในการลากชายชราหลายคนมาตัดผมและโกนหนวดเครา
หลิวลี่ลี่เม้มริมฝีปากทันทีเมื่อได้ยินถังหลิงยกย่องชุนฟางต่อหน้า “ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
หลิวลี่ลี่ออกไปยืนอยู่บนถนน เมื่อใดก็ตามที่เห็นผู้หญิงเดินผ่านไปมา ก็รีบปรี่เข้าไปแนะนำให้อีกฝ่ายลองมาใช้บริการทำทรีตเมนต์ปรับสภาพผิวหน้า น่าเสียดายที่พวกหล่อนไม่สนใจ
ในที่สุดก็มีคนที่ยินดีจะเข้ามาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นั่นก็คือคุณป้าวัยชราที่อายุเกือบห้าสิบปี
ถังหลิงมองสภาพผิวหน้าของคุณป้าคนนี้คร่าว ๆ แล้วก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันอะไรมากนัก
“ลี่ลี่ ตอนบ่ายฉันจะออกไปโปรโมตร้านต่อจากเธอเอง ฝากเธอช่วยดูแลลูกค้าคนนี้ด้วย ฉันจะออกไปข้างนอกสักพัก ถ้าเพื่อนฉันขับรถมาส่งของ ช่วยบอกให้เขารอฉันอยู่ในร้านด้วย”
…
สองชั่วโมงต่อมา ถังหลิงก็ออกมาจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
หล่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรหาเสิ่นเสี่ยวเหมย
“เธอเริ่มแผนการได้เลย”
…
ช่วงบ่าย เสิ่นเสี่ยวเหมยก็แวะมาที่ร้าน
วันนี้ทัศนคติของหล่อนดูเป็นมิตรผิดปกติ หลังจากเปิดประตูเข้ามา น้ำเสียงของหล่อนก็ราบเรียบผิดวิสัย “หลินเซี่ย ฉันอยากตัดผมหน่อย”
“เธอเนี่ยนะ? จะตัดผม?”
หลินเซี่ยมองไปที่เสิ่นเสี่ยวเหมย ทำหน้าตาราวกับเห็นผี รู้สึกว่าอีกฝ่ายอาจกินยาผิดขนาน
เมื่อใดก็ตามที่หล่อนปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนปกติ นั่นถือว่าไม่ปกติ!
เสิ่นเสี่ยวเหมยคลี่ยิ้มพลางพูดว่า “ทำไม? กลัวว่าฉันจะไม่จ่ายเงินให้เธอเหรอ?”
เนื่องจากมีลูกค้าคนอื่นอยู่ในร้าน เมื่อเห็นว่าอยู่ดี ๆ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ดูเหมือนจะเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา หลินเซี่ยทำได้เพียงสงวนท่าทีไว้ และอธิบายด้วยเหตุผลอย่างแนบเนียน “ทรงผมของเธอค่อนข้างละเอียดอ่อนเป็นทุนเดิม ไม่จำเป็นต้องตัดผมหรอก ฉันกลัวว่าจะทำให้ทรงผมเสียซะเปล่า ๆ”
เสิ่นเสี่ยวเหมยสะบัดผมไปมาแล้วพูดว่า “ฉันแค่รู้สึกว่าเริ่มมันยาวจนน่ารำคาญนิดหน่อย นับวันยิ่งดูแลยาก เธอก็รู้ว่าฉันท้อง อีกหน่อยต้องขยับตัวทำอะไรลำบากแน่ ฉันเลยอยากตัดผมให้สั้นลง ไม่อย่างนั้นจะก้มสระผมยากเข้าไปใหญ่”
เหตุผลของเสิ่นเสี่ยวเหมยถือว่ามีน้ำหนักเพียงพอ แต่หลินเซี่ยก็อดสับสนไม่ได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเลือกมาเข้าร้านตัดผมของเธอ?
เป็นเพราะเห็นแก่ฝีมือการตัดผมระดับมืออาชีพของเธองั้นเหรอ?
แต่ช่างตัดผมคนอื่น ๆ ก็มีทักษะดีกันทั้งนั้น ประกอบกับความเย่อหยิ่งจองหองของเสิ่นเสี่ยวเหมย จึงเป็นไปได้ยากที่หล่อนจะยอมประนีประนอมกับเธอเพราะเรื่องนี้
คุณป้าคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านข้างและกำลังรับการดัดผม หลังจากได้ยินสิ่งที่เสิ่นเสี่ยวเหมยพูด ในฐานะผู้ใหญ่ที่เคยผ่านน้ำร้อนมาก่อน จึงเตือนอย่างจริงจังว่า “สาวน้อย ยิ่งท้องอยู่ยิ่งไม่ควรตัดผม เธอรอจนกว่าลูกจะคลอดแล้วค่อยตัดดีกว่านะ”
“ทำไมเหรอ?” เสิ่นเสี่ยวเหมยถาม
คุณป้าอธิบาย “คนโบราณเชื่อว่าการตัดผมจะส่งผลต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ เชื่อฟังสิ่งที่คนรุ่นก่อนว่าไว้หน่อยก็ดี อย่าเพิ่งตัดผมเลย”
หลินเซี่ยรีบสนับสนุน “เธอคงได้ยินแล้ว คุณป้าเตือนด้วยความหวังดี อย่าเพิ่งรีบตัดเลย เธอกลับไปพักเถอะ”
เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกค้า เธอไม่สามารถไล่อีกฝ่ายออกไปอย่างไร้ความปรานีได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ และปฏิเสธอย่างสุภาพ
เสิ่นเสี่ยวเหมยกลอกตาไปทางคุณป้าที่ขัดศรัทธาของตัวเอง พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องตัดผมด้านหลัง ตัดแต่ผมหน้าม้าก็พอแล้ว”
หลังจากพูดจบก็หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่เหลือว่างเพียงตัวเดียวในร้าน
เสิ่นเสี่ยวเหมยดื้อรั้นมาก มีเจตนาจะให้เธอจับกรรไกรให้ได้ หลินเซี่ยทั้งรู้สึกไม่เข้าใจ แต่ก็เริ่มระมัดระวังตัว
ทุกอย่างผิดปกติไปหมด
แต่หล่อนจะฝืนทำเรื่องผิดปกตินี้ไปเพื่ออะไร?
หลังจากนั้นหลินเซี่ยก็งานยุ่งมากกับการดัดและตัดผมให้กับลูกค้า
ในที่สุดเธอก็ตั้งใจว่าจะไม่คัดค้านอะไร ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นเพื่อดูว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นตุกติกอะไรกับตัวเอง
แผนการเดียวที่หลินเซี่ยคิดได้ในเวลานี้ คือหลังจากที่เธอตัดผมให้เสิ่นเสี่ยวเหมยเสร็จแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยต้องร้องโวยวายว่าผลลัพธ์ออกมาห่วยแตก แล้วกล่าวหาว่าเธอทำผมของหล่อนเสีย จากนั้นก็ออกไปสร้างปัญหาที่หน้าประตูเพื่อทำลายชื่อเสียง
ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจว่าให้ตายยังไงวันนี้ก็จะไม่จับผมของเสิ่นเสี่ยวเหมยเด็ดขาด
ต้องทำให้หล่อนไม่สมหวัง
เสิ่นเสี่ยวเหมยดูไม่รีบร้อนอะไร นั่งมองไปรอบ ๆ ร้านอยู่บนเก้าอี้ รอต่อคิวเพื่อตัดผมหน้าม้าอย่างใจเย็น
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
จะมาไม้ไหนอีกเนี่ยยัยถังขยะยัยดอกเหมยเน่า รวมหัวกันแกล้งเซี่ยเซี่ยแบบนี้ระวังเจอดีนะ
ไหหม่า(海馬)