ตอนที่ 259 พวกเธอแค่ไม่ได้เกิดมาคู่กัน
ตอนที่ 259 พวกเธอแค่ไม่ได้เกิดมาคู่กัน
รองผู้อำนวยการเจียงมองหล่อนแล้วถามด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
“ทุกประเด็นที่รายงานว่ามาข้างต้นเป็นความจริงหรือเปล่า? ไม่ใช่แค่ฝ่ายบริหารที่มีสำเนาของรายงานฉบับนี้ แต่มันยังถูกติดกระจายไปทั่วทั้งโรงงาน แถมยังเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกพื้นที่”
เสิ่นเสี่ยวเหมยโยนกระดาษลง ปฏิเสธเสียงแข็ง “ต้องมีใครบางคนพยายามจะใส่ร้ายฉันแน่ๆ ค่ะ”
“เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าที่คุณแกล้งแท้งเพื่อใส่ร้ายหลินเซี่ย? ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโรงงานและแม้แต่ภายในอาคารพักอาศัย เท่าที่ผมรู้ คุณสร้างเรื่องในโรงพยาบาลด้วยซ้ำ”
เจียงอวี่เฟยกลับมาเล่าเรื่องนี้ที่บ้าน ทำให้เจียงกั๋วเซิ่งรับรู้ ‘วีรกรรมอันอุกอาจ’ ของเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ดังนั้นเมื่อเทียบกับเนื้อหาในเอกสารรายงานนี้ เนื้อหาของมันก็ค่อนข้างตรงกับความเป็นจริงแทบทุกประการ ยกเว้นข้อกล่าวหาเกินจริงบางคำที่เป็นอารมณ์ของผู้เขียน
เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองอันร้อนระอุของเจียงกั๋วเซิ่ง เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ยอมสารภาพ “นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ไม่ส่งผลกระทบต่องานที่ฉันทำอยู่”
“จะไม่ส่งผลกระทบได้ยังไง? คุณไม่ได้มาทำงานตั้งกี่วันแล้ว? เรื่องส่วนตัวของคุณทำให้พนักงานของเราได้รับความยุ่งยากครั้งใหญ่ ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตัวคุณเองเท่านั้น มันยังลามไปถึงชื่อเสียงของโรงงานเครื่องจักรอีกด้วย คุณอาจจะไม่สนใจ แต่ในฐานะที่พวกเราเป็นฝ่ายบริหารของโรงงาน เราต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของโรงงานก่อนสิ่งอื่น หลาย ๆ คนกำลังลือเรื่องความเสื่อมเสียของคุณกันสนุกปาก บ้างก็บอกว่าคุณเหิมเกริมถึงขนาดนี้ก็เพราะผู้อำนวยการเสิ่นเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณ มาทำงานสาย เลิกงานก่อนเวลา ฝ่าฝืนกฎนับครั้งไม่ถ้วน
ตอนนี้คุณยังไปทำเรื่องอื้อฉาวข้างนอก ทำลายชื่อเสียงของโรงงานจนป่นปี้ พนักงานในโรงงานนินทากันหนาหู แผนกบัญชีของโรงงานเราก็ต้องมาแบกรับหน้าที่ในส่วนของคุณอีก เราต้องมีคำตอบในการจัดการกับเรื่องนี้ให้ทุกคน ถ้าทางโรงงานไม่จัดการ แล้วเรื่องไปถึงสหภาพแรงงานหรือองค์กรใหญ่ ผู้อำนวยการเสิ่น ผม และผู้นำทุกคนในโรงงานจะถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด”
ผู้อำนวยการจากสำนักงานรัฐวิสาหกิจก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “รองผู้อำนวยการเจียงพูดถูก เสี่ยวเสิ่น เรื่องนี้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างจริง ๆ โรงงานเรามีพนักงานร่วมร้อย เราต้องให้คำอธิบายกับทุกคนอย่างกระจ่าง ไม่อย่างนั้นจะยิ่งยากต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้พวกเขา!”
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะกล้าสั่งพักงานหล่อน ในขณะที่ลูกพี่ลูกน้องของหล่อนยังอยู่ต่อหน้า
หล่อนพูดอย่างไม่ยอมรับ “รองผู้อำนวยการเจียง อย่าเพิ่งพูดเรื่องส่วนตัวอื่น ๆ เลยค่ะ ฉันทำงานอยู่ฝ่ายการเงิน แล้วฉันไปทำให้แผนกบัญชีวุ่นวายตรงไหน?”
รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงถามกลับ “คุณย้ายไปเป็นผู้ช่วยฝ่ายบัญชีแล้วไม่ใช่เหรอ? จะไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบัญชีได้ยังไง?”
เมื่อหลิวจื้อหมิงได้ยินเจียงกั๋วเซิ่งพูดถึงปัญหาเกี่ยวกับฝ่ายบัญชี สายตาของเขาพลันสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะช่วยพูดแทนเสิ่นเสี่ยวเหมย “รองผู้อำนวยการเจียงครับ ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้น อย่าโอนอ่อนไปตามกระแสคนหมู่มากเลย ผมเชื่อว่าพี่เสี่ยวเหมยสามารถแก้ไขปัญหาส่วนตัวได้ หลังจากนี้มันจะไม่มีผลกระทบต่อการทำงานแน่ครับ”
“เสี่ยวหลิว คุณเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายผลิต สนใจแค่เรื่องจัดการการผลิตก็พอ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอื่น”
ทัศนคติของเจียงกั๋วเซิ่งแข็งแกร่งมาก จนหลิวจื้อหมิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหุบปาก และมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวิน
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองไปทางเสิ่นเถี่ยจวินซึ่งเอาแต่นิ่งเงียบ จากนั้นก็ขอความช่วยเหลือจากเขา “พี่ชาย สิ่งที่รองผู้อำนวยการเจียงว่ามาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงานของฉันเลย ฉันไม่มาทำงานก็เพราะมีเหตุผลส่วนตัว ถ้าฉันสบายดีจะขอลาหยุดพร่ำเพรื่อไปทำไม? ทั้งหมดเป็นปัญหาส่วนตัวของฉัน จะส่งผลต่อชื่อเสียงของโรงงานได้ยังไง?”
ก่อนที่เสิ่นเถี่ยจวินจะพูดอะไร เจียงกั๋วเซิ่งยังคงพูดเสียงเข้ม “เสี่ยวเสิ่น แม้แต่ผู้อำนวยการเสิ่นก็ไม่สามารถหนุนหลังคุณได้ในกรณีนี้ คุณควรพักงานสักระยะนะ ผมคิดว่าช่วงนี้คุณยังไม่เหมาะกับการกลับมาทำงาน ยิ่งเมื่อสถานการณ์ในโรงงานอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ กำลังการผลิตของโรงงานเรามีประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร พนักงานจำนวนมากอาจเผชิญกับการเลิกจ้าง คุณกลับไม่สนใจไยดีกับวิกฤติข้อนี้ และทำตัวเฉื่อยชาท่ามกลางความคับขัน ถ้าคุณยังไม่ถูกพักงาน เราคงอธิบายให้คนในโรงงานฟังไม่ได้”
ผู้อำนวยการเจิ้งแสดงท่าทางสนับสนุนเจียงกั๋วเซิ่ง
รองผู้อำนวยการโรงงานเจียงผู้ใจดีมาโดยตลอด วันนี้เหมือนเป็นคนละคน เขายืนกรานว่าจะสั่งพักงานให้ได้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพลักษณ์รองผู้อำนวยการโรงงานผู้ใจกว้างและมีเมตตาในอดีตนัก เห็นชัดว่าทัศนคติของเขามีความผิดปกติ
เสิ่นเสี่ยวเหมยเพิ่งจะสูญเสียสถานะการแต่งงานมาหมาด ๆ แน่นอนว่าหล่อนย่อมไม่อยากตกงาน
หล่อนมองไปที่เสิ่นเถี่ยจวินเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง “พี่ชาย พูดอะไรหน่อยสิ”
เสิ่นเถี่ยจวินพูดด้วยใบหน้ามืดมน “เธอพักงานไปสักระยะก่อนเถอะ แล้วค่อยกลับมาทำงานเมื่อพร้อม”
แม้แต่เสิ่นเถี่ยจวินยังไม่ปกป้องหล่อน
นั่นเพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะตามเช็ดตามล้าง เอกสารรายงานกระจัดกระจายไปทั่ว แถมเจียงกั๋วเซิ่งและผู้อำนวยการสำนักงานรัฐวิสาหกิจยังมีทัศนคติที่แข็งแกร่งแบบนี้ ต่อให้เขาจะเป็นผู้อำนวยการโรงงาน แต่ก็ไม่สามารถช่วยเสิ่นเสี่ยวเหมยได้ในเวลานี้
ใบหน้าของเสิ่นเสี่ยวเหมยบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ก่อนจะตะคอกอย่างเย็นชา
“ไม่ให้ทำงานก็ไม่ทำ ใครอยากจะสนใจชนชั้นแรงงานที่น่าสมเพชพวกนั้นล่ะ?”
หล่อนคว้ากระเป๋าแล้วเดินสะบัดจากไปด้วยความโกรธ
หลังออกจากโรงงานแล้ว หล่อนก็โกรธมากจนต้องไปหาเรื่องกับเฉินเจียซิ่ง
. เฉินเจียซิ่งทำงานอยู่ฝ่ายการตลาด หลังจากทำเรื่องหย่าเรียบร้อยแล้วเขาก็กลับไปทำงานทันที เพิ่งจะพักกินข้าวมื้อเที่ยงได้ไม่นาน ก็เห็นเสิ่นเสี่ยวเหมยเดินหน้างอตรงมาทางนี้
เฉินเจียซิ่งกำลังกัดเต้าหู้เข้าปาก เมื่อเห็นเสิ่นเสี่ยวเหมยใบหน้าของเขาก็มืดลงทันที “มาทำอะไรที่นี่อีก?”
พวกเขาหย่าขาดจากกันไปแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังไม่วายตามมาราวีเขา
กระทั่งเวลาพักกลางวันก็ไม่เว้น
เฉินเจียซิ่งมองดูอาหารในกล่องอาหารกลางวันตรงหน้า สูญเสียความอยากอาหารไปทันที
เสิ่นเสี่ยวเหมยมองหน้าเขาและสาปแช่งด้วยความโกรธ “เฉินเจียซิ่ง คุณมันไม่ใช่คนแล้ว”
“ผมไปทำอะไรให้คุณมิทราบ?” เฉินเจียซิ่งมองหล่อนด้วยความรังเกียจ
เสิ่นเสี่ยวเหมยตะคอกด้วยความโกรธและเสียใจ “ฉันอุตส่าห์ยอมหย่ากับคุณดี ๆ แล้ว ทำไมคุณยังเขียนรายงานส่งไปที่โรงงานเพื่อฟ้องผิดฉัน นี่มันวิธีสกปรกสิ้นดี คนโง่อย่างคุณรู้จักวิธีสกปรกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พูดเรื่องไร้สาระอะไรของคุณ? ผมไปเขียนรายงานพฤติกรรมของคุณตอนไหน?”
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว คุณมันขี้ขลาดตาขาว กล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ”
พอพวกเขาทั้งสองเผชิญหน้ากัน เฉินเจียซิ่งก็วางตะเกียบลง ยืนขึ้น และมองหล่อนอย่างจริงจังขณะที่พูด
“ผมยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเสมอ แต่ในเมื่อคุณสาดน้ำโสโครกใส่ผม จะให้ผมยืดอกยอมรับหรือยังไงกัน? ผมบอกแล้วว่าผมไม่ได้ทำ
เราหย่ากันแล้ว ผมได้แต่หวังว่าตัวเองจะอยู่ห่างจากคุณให้ไกลที่สุด แล้วผมจะใช้วิธีสกปรกมายั่วยุให้คุณตามมาหาเรื่องตัวเองอีกครั้งไปทำไม”
เฉินเจียซิ่งแสดงท่าทางชัดเจนว่าอยากจะอยู่ห่างจากหล่อนสักแปดศอก ทำให้เสิ่นเสี่ยวเหมยผ่อนคลายลง มองหน้าเขาแล้วถามยืนยันอีกครั้ง “ไม่ใช่คุณจริง ๆ เหรอ?”
“ไม่ใช่ผม จากนี้ไปอย่ามารบกวนผมอีก เราสองคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว”
เฉินเจียซิ่งหันหลังกลับและจากไปพร้อมกับกล่องอาหารกลางวันที่ถืออยู่ในมือ
เขาเพิ่งก้าวไปสองก้าว ทันใดนั้นก็หยุดชะงักฝีเท้ากลางคันราวกับนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้
แต่ไม่นานเขาก็เดินหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อเฉินเจียซิ่งปฏิเสธไม่ยอมรับ เสิ่นเสี่ยวเหมยจึงไม่สามารถเรียกร้องความยุติธรรมจากใครได้ สมองเอาแต่คิดว่าใครเป็นคนเขียนรายงานตลอดทาง
ในเมื่อไม่ใช่เฉินเจียซิ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นนังโสโครกหลินเซี่ย
เสิ่นเสี่ยวเหมยตั้งใจว่าจะบุกไปที่ร้านของหลินเซี่ยเพื่อสะสางคดีแค้น แต่แล้วก็ฉุกคิดว่าหลินเซี่ยต้องวิ่งโร่ไปแจ้งความเพื่อเอาผิดตนอีกแน่ นอกจากเอาเรื่องไม่ได้แล้วยังเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
นอกจากนี้ เนื้อหาในรายงานนั้นก็เป็นจริงตามนั้นทุกอย่าง
ดังนั้น เสิ่นเสี่ยวเหมยจึงต้องไปหาถังหลิง ด้วยต้องการฟังความคิดเห็นของหล่อนในฐานะนักวางแผนกลยุทธ์
ทุกครั้งที่เผชิญกับปัญหาใหญ่ หล่อนมักจะสูญเสียสติปัญญาในการวางแผนเสมอ ที่ผ่านมาหล่อนเคยชินกับการโจมตีทางวาจาอย่างหยาบคายเพื่อเอาชนะหลินเซี่ย แต่ดูเหมือนว่าวิธีการเหล่านั้นแบบเมื่อก่อนจะใช้ไม่ได้ผลเลยในตอนนี้
ด้วยการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ในที่สุดถังหลิงก็มีฐานลูกค้าจำนวนหนึ่งที่แวะเวียนมาใช้บริการที่ร้าน
ทั้งถังหลิงและหลิวลี่ลี่ต่างก็มีงานยุ่งตลอดทั้งวัน
เมื่อเห็นเสิ่นเสี่ยวเหมยเดินหน้าบูดเข้ามา ถังหลิงก็ขมวดคิ้วมุ่น
แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรอย่างมืออาชีพโดยเร็ว “เสี่ยวเหมย ลมอะไรหอบเธอมาถึงนี่ล่ะ?”
เสิ่นเสี่ยวเหมยทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “พี่หลิง ฉันหย่ากับเขาแล้ว”
“หืม? ไวขนาดนี้เชียวเหรอ?” ถังหลิงมองหน้าหล่อนพลางแสร้งทำเป็นแปลกใจ
เสิ่นเสี่ยวเหมยพยักหน้า “อืม”
“เฮ้อ คราวนี้เฉินเจียซิ่งหุนหันพลันแล่นเกินไปจริง ๆ ไม่ยอมรับฟังคำแนะนำจากใครทั้งนั้น เขาตัดสินใจพลาดแล้วล่ะที่หย่ากับเธอ ในอนาคตเขาจะต้องเสียใจภายหลังแน่ ๆ”
ถังหลิงตบไหล่ของหล่อนแล้วปลอบโยน “ไม่เป็นไรนะ ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าเธอยอมเปิดใจสักหน่อยจะรู้ว่าการหาคู่ครองคนใหม่ที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องยากเลย การที่เธอกับเฉินเจียซิ่งมีจุดจบแบบนี้ บางทีอาจเป็นเพราะไม่ได้เกิดมาคู่กันก็ได้”
หลังจากได้รับการปลอบโยนจากถังหลิงแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยก็รู้สึกดีขึ้นมาก
เฉินเจียซิ่งจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นแม้ว่าเขาจะกลับใจมาคุกเข่าตรงหน้าหล่อน หรือขอร้องอ้อนวอนให้หล่อนกลับไปแต่งงานกับเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสมหวัง
“ทำไมวันนี้เธอไม่ไปทำงานล่ะ?” ถังหลิงถามอีกครั้ง
“ฉันตกงานน่ะ”
พูดถึงเรื่องงาน เสิ่นเสี่ยวเหมยก็โกรธเคืองขึ้นมาอีก เหลือบมองไปทางร้านตัดผมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “นังสารเลวหลินเซี่ยนั่นเขียนรายงานถึงโรงงานเพื่อฟ้องผิดฉัน สำเนาเอกสารรายงานถูกพิมพ์เป็นใบปลิวปึกหนาแล้วโยนเกลื่อนไปทั่วทั้งในโรงงานและนอกโรงงาน กล่าวโทษฉันอย่างร้ายแรงจนฉันถูกพักงาน”
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง?” ถังหลิงก็เหลือบมองอีกด้านหนึ่ง “แน่ใจเหรอว่าเป็นหลินเซี่ยที่ทำแบบนี้?”
“ไม่ใช่หล่อนแล้วจะเป็นใครล่ะ ผู้หญิงคนนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันต้องหย่า ตอนนี้แม้แต่งานฉันยังกอดเอาไว้ไม่ได้ หล่อนคงคิดจะสู้กับฉันให้ตายกันไปข้าง”
เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่อยากปะทะกับหลินเซี่ยตัวต่อตัวในขณะนี้ ดังนั้นจึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับที่ปรึกษาประจำตัวอีกครั้ง “พี่หลิง ช่วยฉันคิดหาวิธีเร็วเข้า เราจะจัดการกับนังนั่นยังไงดี?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เตรียมเผชิญชีวิตแบบอยู่ไม่สู้ตายได้เลยนังเหมย บอกแล้วว่าอย่าไปหาเรื่องผิดคน
ยัยถังระแวงแล้วมั้ง ตัวเองทำท่าจะลอยแพนังเหมยเน่าอยู่แล้ว แต่ก็โดนตามมาราวีขอให้ช่วย
ไหหม่า(海馬)