ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 256 ดวงตาปราศจากแววแห่งรัก

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 256 ดวงตาปราศจากแววแห่งรัก

ตอนที่ 256 ดวงตาปราศจากแววแห่งรัก

หลังจากวางสายโทรศัพท์แล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ตกอยู่ในความสูญเสีย ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบอกผู้เฒ่าเสิ่น

“คุณลุง ฉันควรทำยังไงดีคะ? เฉินเจียซิ่งโทรมานัดให้ฉันไปหย่ากับเขาวันพรุ่งนี้”

“เราคงต้องต่อต้านเขา”

ผู้เฒ่าเสิ่นโกรธมาก ในที่สุดก็ตัดสินใจโทรไปที่บ้านตระกูลเฉิน

ครั้งนี้ผู้เฒ่าเฉินเป็นคนรับโทรศัพท์

พอรู้ว่าอีกฝ่ายโทรมาด้วยเหตุนี้ ผู้เฒ่าเฉินจึงบอกว่าคนหนุ่มสาวมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับการแต่งงานของตัวเอง ขนาดก่อนแต่งงานพ่อแม่ยังไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายในสิ่งที่พวกเขาเลือก ดังนั้นเขาก็จะไม่แทรกแซงเรื่องการหย่าร้างของหลานชายเช่นเดียวกัน

หลังจากที่ผู้เฒ่าเสิ่นวางสายแล้ว เขาก็ขว้างโทรศัพท์ทิ้งด้วยความโกรธจนสายโทรศัพท์ถูกยืดยาวออกจากตัวเครื่อง เสิ่นเสี่ยวเหมยรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บให้เข้าที่

“คุณลุง พวกเขาพูดว่ายังไงบ้างคะ?” เสิ่นเสี่ยวเหมยมองดูสีหน้าของผู้เป็นลุง รู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะต้องน่าผิดหวังเอามาก ๆ

ผู้เฒ่าเสิ่นยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่เมื่อถูกผู้เฒ่าเฉินตบหน้า

“โทรหาลูกพี่ลูกน้องของหลานซะ พวกเราบุกไปที่บ้านตระกูลเฉินด้วยกัน”

เสิ่นเสี่ยวเหมยโทรไปที่สำนักงานของโรงงานเครื่องจักร ปรากฏว่าเสิ่นเถี่ยจวินไม่อยู่ที่นั่น ผู้เฒ่าเสิ่นจึงทำได้เพียงพาเสิ่นเสี่ยวเหมยไปตามหาคนที่บ้านพักในเขตโรงงาน

ขณะที่ทั้งสองเดินผ่านไป ผู้คนที่กำลังเพลิดเพลินกับการหลบใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ด้านหลังต่างก็กระซิบกระซาบกัน

ถึงแม้บอกว่าเป็นการกระซิบ แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขากลับได้ยินเนื้อหาการสนทนาได้อย่างชัดเจนเพราะเสียงอันดังของพวกเขา

เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่คาดคิดว่าทุกคนที่โรงงานเครื่องจักรจะรู้ทั่วแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับหล่อนบ้าง หนำซ้ำยังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก

ทั้งเสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานไม่ได้อยู่ที่นั่น มีเพียงเสิ่นอวี้อิ๋งเท่านั้นที่อยู่ที่บ้าน

หลังจากที่เสิ่นเสี่ยวเหมยอธิบายสถานการณ์แล้ว เสิ่นอวี้อิ๋งก็ขันอาสา “คุณปู่ คุณอาคะ ฉันจะไปกับพวกคุณด้วย”

ผู้เฒ่าเสิ่นส่ายหัว “เธอยังต้องทำการบ้าน เป็นเด็กอย่าไปยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ที่นั่นเลย”

“คุณปู่ ฉันทำการบ้านเสร็จครบแล้วค่ะ ฉันเองก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเสิ่นเหมือนกัน แน่นอนว่าฉันอยากตามไปสนับสนุนอาด้วย ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงคิดว่าตระกูลเสิ่นของเราไม่มีใคร”

เสิ่นเสี่ยวเหมยรู้สึกประทับใจมากกับคำพูดของเสิ่นอวี้อิ๋ง

“อวี้อิ๋ง ขอบใจนะ”

“ไปกันเถอะ”

พวกเขาทั้งสามมาถึงเขตชุมชนบ้านพักทหารด้วยกัน เสิ่นอวี้อิ๋งเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เมื่อเห็นทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเขตชุมชน หล่อนก็ทั้งกริ่งเกรงและตกใจ

ไม่คาดคิดเลยว่าทั้งหลินเซี่ยและเสิ่นเสี่ยวเหมยจะได้แต่งงานกับสามีที่มาจากสถานที่อันทรงเกียรติแบบนี้

ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าใด เสิ่นอวี้อิ๋งก็ยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อมาถึงประตูบ้านตระกูลเฉิน เขาก็เคาะประตู

เฉินเจียวั่งเป็นคนมาเปิดประตูให้

“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่?” เฉินเจียวั่งดูไม่แยแสเมื่อเห็นว่าคนของตระกูลเสิ่นมาหาถึงที่

เสิ่นเสี่ยวเหมยพูดอย่างเย็นชา “เจียวั่ง พี่ชายนายกับฉันยังไม่ได้หย่ากัน ที่นี่ยังถือเป็นบ้านของฉัน”

เฉินเจียวั่งพูดไม่ออก เขาก้าวถอยหลังออกไป ก่อนจะเรียกสมาชิกในครอบครัวของเขาให้ออกมารับแขก

เสิ่นอวี้อิ๋งเดินตามอยู่ด้านหลัง แต่ในขณะนี้หล่อนกลับเดินออกมาอยู่เคียงข้างเสิ่นเสี่ยวเหมยและผู้เฒ่าเสิ่น แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินเจียวั่ง พูดอย่างจริงใจว่า “สวัสดีค่ะ คุณคงเป็นน้องชายของอาเขยเจียซิ่งใช่ไหม? ได้โปรดอำนวยความสะดวกให้พวกเราด้วย อาของฉันสำนึกแล้วว่าหล่อนตัดสินใจผิดพลาดและทำผิดต่อพี่รองของคุณ ต่อให้ทำลายวิหารสิบแห่ง ก็ไม่เท่ากับทำลายการแต่งงานครั้งเดียวนะคะ”

เฉินเจียวั่งเหลือบมองหล่อน จากนั้นก็ไม่สนใจอีก เดินตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่นแล้วขึ้นไปชั้นบน

เขาไม่อยากมีส่วนร่วมในความวุ่นวายทุกประเภท

ผู้เฒ่าสองคนของตระกูลเฉินไม่คาดคิดว่าผู้เฒ่าเสิ่นจะมาถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรผู้มาเยี่ยมก็ถือเป็นแขก เขาจึงขอให้เฉินเจียซิ่งชงชาอย่างรวดเร็ว

“เหล่าเสิ่น นั่งลงก่อน”

ผู้เฒ่าเสิ่นนั่งลง จากนั้นเสิ่นอวี้อิ๋งและเสิ่นเสี่ยวเหมยก็นั่งลงข้าง ๆ อย่างสุภาพเช่นกัน

ผู้เฒ่าเสิ่นมีทัศนคติที่ไม่ดีนัก

“เหล่าเฉิน ครอบครัวคุณทำแบบนี้กับพวกเราได้ยังไง? คิดจะยอมให้พวกเขาหย่าร้างกันจริง ๆ เหรอ? คุณยังมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่หรือเปล่า?”

ผู้เฒ่าเฉินเองก็แสดงสีหน้าจริงจังเช่นกัน “เหล่าเสิ่น หลานชายผมเขาอายุยี่สิบสี่ย่างยี่สิบห้าปีแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะตัดสินใจเรื่องของตัวเองได้ ตอนที่เขาเลือกจะแต่งงาน เขาก็ตัดสินใจเลือกภรรยาด้วยตัวเองเหมือนกัน ในเมื่อตอนนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะหย่า ผู้ใหญ่อย่างเราจึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้”

เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยเห็นว่าผู้อาวุโสในครอบครัวของสามีไม่มีวี่แววจะเกลี้ยกล่อมให้พวกตนสมานฉันท์ หล่อนก็ถึงรู้สถานการณ์ปัจจุบัน และรีบยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง “คุณปู่ คุณย่า ฉันสำนึกแล้วค่ะว่าครั้งนี้ฉันทำอะไรผิดไป ในอนาคตฉันจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีก จะให้ฉันไปขอโทษหลินเซี่ยด้วยตัวเองก็ได้ แต่คุณปู่ช่วยคุยกับเจียซิ่งไม่ให้เขาหย่ากับฉันหน่อยสิคะ ทำลายวิหารสิบแห่งยังบาปน้อยกว่าทำลายการแต่งงานครั้งเดียว ถ้าคุณสนับสนุนเขาในการหย่าร้างจากฉัน คุณจะไม่กลายเป็นคนบาปไปด้วยหรอกเหรอ?”

ผู้เฒ่าเฉินเองก็รู้สึกว่าในฐานะที่ตัวเองผู้อาวุโสไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากเกินไป เพราะกลัวว่าเฉินเจียซิ่งจะเสียใจในภายหลัง และพาลมาตำหนิพวกเขา

ผู้เฒ่าเฉินพูดกับเฉินเจียซิ่งว่า

“เจียซิ่ง เธอกับเสี่ยวเหมยควรไปคุยกันดี ๆ ก่อนดีกว่า”

“เสิ่นเสี่ยวเหมย ระหว่างเราไม่มีอะไรที่ต้องคุยกันอีก มาหย่ากันให้จบเรื่องโดยเร็วที่สุดดีกว่า ตั้งแต่เราแต่งงานกัน เราก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาโดยตลอด ไม่มีสินสมรสร่วมกัน สมุดบัญชีเงินเดือนของผมก็อยู่ในมือคุณ จำนวนเงินที่อยู่ในนั้นก็มีอยู่พอสมควร คุณไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นำส่งคืนให้ผม”

เฉินเจียซิ่งยังพูดต่อไปอีกว่า “ที่นี่มีของใช้ส่วนตัวของคุณอยู่ แต่ผมเก็บรวบรวมไว้ให้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะขนพวกมันกลับไปส่งให้ที่บ้านตระกูลเสิ่น แต่ในเมื่อคุณอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นขากลับก็ขนออกไปทีเดียวเลยแล้วกัน”

“ส่วนเรื่องสินสอด ครอบครัวคุณซื้อของชิ้นใหญ่เป็นโซฟาให้แค่อย่างเดียว ส่วนของมีค่าที่เหลืออย่างเช่นนาฬิกาก็อยู่ติดตัวคุณตลอดเวลา ถ้าคุณอยากได้โซฟาคืนผมก็ไม่ขัดข้อง หรือถ้าไม่ต้องการ ผมก็จะเอาไปขายแปลงเป็นเงินให้ครบตามมูลค่า เราจะไม่เก็บสินสอดของคุณไว้แม้แต่อย่างเดียว”

“คุณลองขึ้นไปดูเองแล้วกันว่ายังมีของอื่น ๆ ที่ผมเก็บให้ไม่ครบหรือเปล่า ถ้ายังมีก็เชิญคุณไปเก็บเอง”

เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่คาดคิดว่าเฉินเจียซิ่งจะจัดการทุกอย่างด้วยความรอบคอบขนาดนี้

หล่อนรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน และเห็นว่าข้าวของเครื่องใช้ทุกสิ่งในห้องถูกเฉินเจียซิ่งเก็บลงกล่องและกระเป๋าทั้งหมด

เฉินเจียซิ่งเดินตามขึ้นไป เสิ่นเสี่ยวเหมยปิดประตู มองเขาแล้วถามว่า

“คุณคิดจะหย่ากับฉันจริง ๆ เหรอ? เจียซิ่ง ทำไมคุณถึงใจร้ายได้ขนาดนี้?”

“เสี่ยวเหมย พวกเรามาถอยกันคนละก้าวดีกว่า อย่าเอาแต่สร้างปัญหาให้กับครอบครัวผมอีกเลย ผมเหนื่อยแล้ว”

เสิ่นเสี่ยวเหมยคว้าแขนของเขาแล้วเริ่มร้องไห้ “ฉันจะไม่จากไปไหนทั้งนั้น ตอนนั้นที่คุณพร่ำบอกว่ารักฉัน มันเป็นแค่คำโกหกหรือไง?”

“เมื่อก่อนผมเคยรักคุณมากก็จริง แต่ตอนนี้ผมกลับอยากจะอยู่ห่างจากคุณให้ไกล”

น้ำเสียงของเฉินเจียซิ่งสงบราบเรียบ แต่ทัศนคติเด็ดขาดมาก เขายกมือขึ้นแล้วชักแขนกลับ ก่อนจะก้าวถอยหลังให้ห่างออกมา

การก้าวถอยหลังของเขาเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่ทำให้เสิ่นเสี่ยวเหมยเจ็บปวดมาก

เสิ่นเสี่ยวเหมยมองลึกเข้าไปในดวงตาที่สงบราบเรียบของเขา ทันใดนั้นก็รู้ว่ามันจบลงแล้ว ทุกอย่างจบลงแล้ว

เมื่อครู่ตอนที่เฉินเจียซิ่งมองหน้าหล่อน ดวงตาของเขาก็ปราศจากแววแห่งรักโดยสิ้นเชิง

หัวใจของหล่อนจมดิ่งลงทันใด “คุณอยากทิ้งฉันมากใช่ไหม? ได้ งั้นฉันไปเอง”

ทันใดนั้นเสิ่นเสี่ยวเหมยก็สูญเสียการควบคุมอารมณ์ หยิบที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะกาแฟขึ้นมา จากนั้นเงื้อขึ้นสุดแรงแล้วทุบมันเข้ากับกระจกโต๊ะเครื่องแป้งในห้อง

กระจกร่วงลงแตกกระจายส่งเสียงดังเพล้ง

จากนั้นหล่อนก็เริ่มหันไปฉีกผ้าคลุมโซฟาอย่างบ้าคลั่ง

“ทำบ้าอะไรของคุณ? เป็นบ้าไปแล้วหรือไง?” เฉินเจียซิ่งพยายามดึงหล่อนออกไป

เสิ่นเสี่ยวเหมยส่ายหน้ารัว “ฉันมันบ้าไปแล้วล่ะ”

เวลานี้หล่อนกลายเป็นคนเสียสติโดยสิ้นเชิง เอาแต่กวาดข้าวของตกกระจาย ทุบทำลายพวกมันอย่างบ้าคลั่ง

เฉินเจียวั่งซึ่งอยู่ในห้องนอนข้าง ๆ ได้ยินเสียงโครมครามจึงวิ่งออกไปดู

เมื่อเห็นสภาพห้องที่เละเทะยุ่งเหยิงและเต็มไปด้วยเศษกระจกเกลื่อนพื้นห้อง เฉินเจียวั่งก็ยืนอยู่ที่หน้าประตู จากนั้นมองไปที่เฉินเจียซิ่งแล้วถามว่า “พี่รอง หล่อนคิดจะทำอะไรกันแน่?”

เฉินเจียซิ่งไร้ประสิทธิภาพในการพยายามหยุดยั้งหล่อน เขาได้แต่เดินไปรอบ ๆ ห้องอย่างหมดปัญญา และเอามือเท้าสะเอวไว้

จนถึงนาทีนี้ เมื่อเสิ่นเสี่ยวเหมยเริ่มก่อปัญหา เขาก็ยังไม่มีความสามารถพอที่จะควบคุมหล่อนได้

เฉินเจียซิ่งมองหญิงสาวที่อาละวาดทำลายข้าวของอย่างบ้าคลั่งด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง

ทำไมตอนนั้นเขาถึงได้ตาบอดไปตกหลุมรักนางปีศาจตัวนี้?

เฉินเจียวั่งทนไม่ได้กับการนิ่งเฉยของพี่ชายคนรอง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรีบเข้าไปห้ามปรามเสิ่นเสี่ยวเหมยด้วยตัวเอง “คุณทำลายข้าวของให้มันได้อะไรขึ้นมา? เป็นบ้าไปแล้วหรือไง?”

“ฉันเป็นบ้าเหรอ?”

เมื่อได้ยินเสียงของเฉินเจียวั่ง จู่ ๆ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็หยุดอาละวาด และมองไปที่เฉินเจียวั่งด้วยสายตาเยาะเย้ย “เฉินเจียวั่ง นายกล้าบอกว่าฉันเป็นบ้าจริง ๆ เหรอ? คิดว่าตัวเองไม่ใช่คนบ้าของครอบครัวนี้หรือไง?”

มือของเฉินเจียวั่งที่ห้อยอยู่ข้างตัวเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย

ดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะค่อย ๆ เย็นเยือก

“นายรู้ตัวเองบ้างไหมว่าตอนที่นายป่วย สภาพมันน่าสมเพชขนาดไหน? นายน่ะเหมือนหมาบ้ากว่าฉันซะอีก ชักดิ้นชักงอกระตุกไปทั้งตัว แถมยังน้ำลายฟูมปากแบบนี้…”

เสิ่นเสี่ยวเหมยเบ้ปาก พร้อมกับแยกเขี้ยวพลางใช้นิ้วแสดงท่าทางประกอบ สีหน้าทั้งดุร้ายและน่ากลัว

หลังจากเลียนแบบอาการชักของเฉินเจียวั่งแล้ว หล่อนก็มองเฉินเจียวั่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขยะแขยง ก่อนจะตะคอกอย่างเย็นชา “รู้แบบนี้แล้วยังมีหน้ามาเรียกฉันว่าคนบ้าอีก ไอ้สัตว์ประหลาด”

“พอได้แล้ว”

เมื่อเฉินเจียซิ่งได้ยินเสิ่นเสี่ยวเหมยถากถางจี้ปมด้อยของน้องชายตัวเองซึ่งหน้า เขาก็หันขวับกลับมาแล้วฟาดฝ่ามือตบหน้าเสิ่นเสี่ยวเหมยอย่างแรง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เออ สักที ยัยเหมยเน่านี่ควรโดนตบนานแล้ว อาละวาดไม่พอไปจี้ปมน้องชายเขาอีก ถ้าเป็นผู้แปลจะไม่ทำแค่ตบ แต่จะคว้าเศษกระจกในห้องนั้นมากรีดปากเน่าๆ นั่นของหล่อนด้วย

เจียวั่งอย่าเป็นอะไรไปนะ หวั่นใจเหลือเกินว่าอาการจะกำเริบไหม

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท